ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 699 ผลึกส่องมาร
กอดอากาศที่ว่างเปล่าเข้าไปเต็มรัก เยี่ยจ้านก็มิได้รู้สึกขัดเขิน มือของเขากวาดเลยไปลูบลงบนศีรษะของตนเอง จากนั้นก็ค่อยหันเปลี่ยนทิศกลับมา
จากนั้นก็กางมือออกไป คิดจะให้อีกฝ่ายขยับเข้ามากอดเขา
จีเฉวียนมองดูเขา จากนั้นก็มองดูมือที่กางออกมาของเขา ค่อยเอ่ยอย่างเข้มงวดออกมาว่า “มือของเราผู้เป็นอ๋องกอดได้เพียงซิงซิงเท่านั้น มันไม่เต็มใจจะกอดเจ้า”
เยี่ยจ้าน “…..”
ว่าตามจริงแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา เขาก็ต้องรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย
น้ำเสียงนั้น ทำไมฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนมิใคร่ถูกต้องอยู่บ้าง
“เจ้าคือ?” พักใหญ่ เยี่ยจ้านค่อยได้สติขึ้นมา
เขาออกจะลังเลอยู่บ้าง หากคนตรงหน้ามิใช่ซื่อมั่ว …..แล้วกลิ่นอายตรงหน้านี้จะอธิบายอย่างไร?
ทันทีที่ถามออกไป จีเฉวียนก็ยกมือขึ้นคำนับเขาอย่างถูกต้องตามประเพณีครั้งหนึ่ง “ บุตรเขยจีเฉวียน คือว่าที่สามีของซิงซิง”
เยี่ยจ้าน “? ? ?”
ตอนนี้เขาแทบจะอยากควักลูกตาของอีกฝ่ายออกมาใส่ลงในดวงตาของตนเอง จะได้มองดูหน้าตาผีสางของอีกฝ่ายให้ชัดเจน
บุตรเขย?
บุตรสาวของเขาพึ่งจะอายุได้สิบแปดปีก็จะแต่งงานแล้ว?
อายุสิบแปดปี ในเผ่ามังกรทมิฬของพวกเขา ยังเป็นวัยกินนมอยู่เลย!
จีเฉวียนมองดูสีหน้าตกตะลึงของเขา ตนเองกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย คิดๆอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยอีกว่า “เจ้าจะเรียกข้าว่าเป็นซื่อมั่วก็ได้เช่นกัน”
เยี่ยจ้าน “! ! !”
จีเฉวียนพึ่งพูดออกไป ก็อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ
เยี่ยจ้านยิ่งฟังยิ่งมีโมโห ซื่อมั่วจากไปแล้ว…..แต่ก็ไม่ถือว่าจากไปเสียทีเดียว….
คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้…..
ในที่สุด เยี่ยจ้านค่อยดึงประเด็นสำคัญออกมาจากบทสนทนาเมื่อครู่ เขาเห็นซื่อมั่วเป็นพี่น้อง แต่ซื่อมั่วกลับตั้งใจจะเรียกเขาเป็นบิดาอยู่ตลอดเวลา?
บุตรสาวที่ยังอยู่ในวัยดื่มนมของเขา กลับถูกเขาส่งเข้ารังหมาป่าไป?
กับซื่อมั่วที่เป็นหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น…..เยี่ยจ้านแค่คิดก็ต้องหวาดกลัวอย่างที่สุดแล้ว
ในสมองของเขาตอนนี้มีแต่ความสับสนวุ่นวายไปหมด
ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาค่อยเอ่ยออกมาต้องการเปลี่ยนบรรยากาศว่า “ไม่ใช่….ข้าเพียงแต่รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง อยากจะซัดเจ้าแต่ก็กลัวว่าจะสู้ไม่ได้”
ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวหลันหลันถูกซื่อมั่วเลี้ยงดูขึ้นมากับมือจนเติบโต เยี่ยจ้านยังติดค้างพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้อยู่
คนที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเช่นเขา มองความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาแต่แรกแล้ว พอได้ยินว่าซื่อมั่วรวมจากสองคนกลายเป็นหนึ่ง เขาจึงมิได้ตื่นเต้นสักเท่าไร
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเขาแล้ว ซื่อมั่วมิได้หายไป บุรุษตรงหน้า มิได้ต่างอะไรกับซื่อมั่วเลย
มือที่ยกไว้จนสูงของเยี่ยจ้านยังไม่ได้วางลงไป จึงคลำไปยังด้านข้าง พิงร่างเข้ากับลำต้นพลางทรุดลงนั่ง จากนั้นสองมือของเขาก็กอดหัวเข่าเอาไว้ ทั้งโกรธและหงุดหงิด คิดจะต่อยคนแต่ก็ไม่กล้า
จีเฉวียนหลุบตาลง ตนเองก็พิงร่างเข้ากับกิ่งก้านที่อยู่ตรงข้ามกับเขา ทั้งไม่คิดจะถกเรื่องนี้เพื่อหาข้อยุติใดๆอีกต่อไป เขาเอ่ยว่า “เรื่องของแดนสวรรค์ยังไม่ทันได้ยุติ เกรงว่าคงจะมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกก่อนแล้ว”
เยี่ยจ้านถูไถดวงตาที่มิได้มีน้ำตาแม้แต่น้อย ค่อยเงยหน้าขึ้น สีหน้างุนงงไป “เฮอะ เกิดปวดท้องขี้ขึ้นมาตอนนี้หรือไร?”
ซื่อมั่วเคยพบเยี่ยจ้านมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จึงคุ้นเคยกับนิสัยและวิธีคิดของเขาดี
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนได้พบกับเขาจริงๆ เขารู้แล้วว่าซิงซิงได้นิสัยและความคิดแปลกๆแผลงๆมาจากผู้ใดกัน
ดังนั้นเขาจึงตอบเยี่ยจ้านไปว่า “ไม่ใช่ขี้ เป็นมาร”
บุรุษที่โดดเด่นจนทำให้โลกต้องตกตะลึง คำก็ขี้ๆ ช่างไม่ไหวเสียจริงๆ
เยี่ยจ้านได้ยินแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เขาผุดลุกขึ้นมาในทันที สีหน้ามิใช่คนอ่อนแอที่ทำตัวน่าสงสารอีกต่อไป แต่กลับเป็นจริงจังเคร่งเครียดขึ้นมา
“มาร?” เขาไม่อยากจะเชื่อ “ไอ้พวกนั้นมิใช่ว่าจบสิ้นไปแล้วหรอกหรือ?”
ตอนนั้นพวกเขาทั้งสองช่วยกัน สังหารกวาดล้างมารกลุ่มสุดท้ายทิ้งไปแล้วนี่น่า….
“ยังไม่อาจแน่ใจ” สีหน้าของจีเฉวียนสงบนิ่ง พลางยื่นมือออกไปหาเยี่ยจ้าน “ผลึกส่องมาร ให้ข้ายืมหน่อย”
ผลึกส่องมาร ตอนนั้นซื่อมั่วฝากเอาไว้ที่เยี่ยจ้าน ตอนนี้เมื่อเขาต้องการรับคืน ก็ไม่ถือว่าผิดอะไร
เยี่ยจ้านรีบยกมือขึ้นมา ล้วงลงไปในเป้ากางเกงอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เจอผลึกส่องมารที่เก็บเอาไว้นานปีชิ้นนั้น
จีเฉวียนเห็นเขาล้วงเอาผลึกส่องมารออกมาจากในเป้ากางเกง
จากนั้นก็พลิกฝ่ามือครั้งหนึ่ง โยนมันส่งไปที่มือของจีเฉวียน
ยังอุ่นๆอยู่เลย แถมมีกลิ่นเข้มข้นของเยี่ยจ้าน
จีเฉวียนเหลือบมองดูผลึกส่องมารนั่นแวบหนึ่ง พอได้กลิ่นนั่น ที่จริงเขาก็ไม่อยากจะได้มันแล้ว….
“ตอนนั้นรีบร้อนกระโดดลงมา ถุงเฉียนคุนหรืออะไรก็ไม่ได้พก เก็บเอาไว้ในเป้ากางเกงนี่ทั้งแนบเนียบและสะดวก จึงเอาไว้ในนี้แหละ” เยี่ยจ้านอุตส่าห์อธิบายให้ฟังอย่างใจกว้าง จากนั้นค่อยถามอย่างจริงจังว่า “เจ้ามิได้รังเกียจใช่หรือไม่?”
จีเฉวียนเกือบจะโยนผลึกส่องมารนั้นกลับไปอยู่แล้ว จึงได้แต่ต้องเก็บเอาไว้อย่างจำใจ
เขาเป็นโรคบ้าความสะอาด อย่างรุนแรง!
จมูกของเขาไวต่อกลิ่นต่างๆ ไม่อาจทนต่อกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
ตอนนี้ เพราะเห็นแก่ว่าอีกฝ่ายเป็นบิดาของซิงซิง จึงได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ก่อน
พอกลับไปแล้ว สองมือนี้คงต้องหาน้ำยาฆ่าเชื้อมาล้างสักสิบรอบ
เขามีความทรงจำของซื่อมั่วอยู่กับตัว ย่อมรู้จักดีว่ายาฆ่าเชื้อคืออะไร
ผลึกส่องมารนี้ เป็นของวิเศษของซื่อมั่ว ผลึกส่องมารสามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของพวกมาร ขอเพียงพกพาเอาไว้ ต่อให้เผ่ามารเหล่านั้นมีความสามารถในการปลอมแปลงอย่างไร ก็ล้วนสามารถชี้ตัวออกมาได้
เพราะว่าจีเฉวียนเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นจึงได้เดินทางมาขอรับผลึกส่องวิญญาณกับเยี่ยจ้าน
คราวนี้ หลังจากที่รับผลึกส่องมารไปแล้ว เขาค่อยเอ่ยว่า “วันที่แปดเดือนหน้า ข้ากับซิงซิงจะแต่งงานกัน เจ้าจะมาหรือไม่?”
เยี่ยจ้าน “เจ้า เจ้า เจ้า …..เจ้ามันคนไม่รักหน้า ไร้ยางอาย!”
เยี่ยจ้านอยากจะต่อยคนจริงๆ
เพื่อเสาะหาเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของชิงชิงกลับมา เขาเฝ้าอยู่ใต้หุบเหวไร้ก้นแห่งนี้มานานหลายปีแล้ว….ก่อนที่จะรวบรวมได้สำเร็จ เขาไม่อาจไปจากปากเหวแห่งนี้
แม้แต่ตอนที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่ใต้ก้นทะเลลึก เขาก็ยังไม่ได้ออกไป
งานแต่งงานของบุตรสาวสุดที่รัก เขาที่เป็นบิดามีหรือจะไม่อยากไป?
จีเฉวียน “ข้ายังต้องการหน้าตาอยู่”
ว่าแล้ว ก็คำนับอย่างมีมารยาทอีกครั้ง “ท่านพ่อตา”
เยี่ยจ้าน “แม่งเอ้ย!”
เขายังไม่ทันหายตกใจจากเรื่องที่ถูกซื่อมั่วขโมยหัวผักกาดขาวในบ้านไป จีเฉวียนก็ซ้ำเติมลงมาไม่ยอมหยุด ทำให้เยี่ยจ้านอยากจะถีบเขาลงบนพื้นฝังให้ตายๆไปซะเลย!
“หากว่าตัวเจ้าไม่อาจไปได้ ก็มอบสินสมรสหนักๆให้กับซิงซิงก็ได้” ว่าแล้ว จีเฉวียนก็เอ่ยต่อไปว่า “นางเห็นแล้ว จะต้องปลาบปลื้มใจเป็นแน่”
เขาไม่ได้บอกเรื่องที่จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันได้รับความกระทบกระเทือนให้เยี่ยจ้านฟัง เพราะไม่ต้องการให้เขาเป็นทุกข์กว่าเดิม
เยี่ยจ้าน “ใช่แล้วๆ….บุตรสาวสุดที่รักจะแต่งงานย่อมต้องมอบของที่ดีที่สุดให้กับนาง”
พูดจบแล้ว เขาก็เอามือล้วงลงไปในเป้ากางเกงอีก ล้วงไปล้วงมาอยู่หลายรอบ
จีเฉวียน “……”
“ช่างเถอะ ไม่ต้องแล้ว นางมีเสื้อผ้าอาหารบริบูรณ์ ไม่ขาดแคลนสิ่งใด เพียงแค่น้ำใจของเจ้า ก็พอแล้ว”
จีเฉวียนกำลังจะจากไป แต่แล้วก็กลับถูกเยี่ยจ้านคว้าแขนเสื้อเอาไว้
มืออีกข้างของเขายังคงล้วงไปล้วงมาอยู่ในเป้ากางเกง สีหน้าก็เอาจริงเอาจัง “เจ้าอย่าได้รีบร้อน แม้ว่าข้าจะมิได้ร่ำรวยเหมือนดังแต่ก่อน แต่ของที่ควรมอบให้บุตรสาวที่รัก ย่อมไม่อาจขี้ริ้วไปได้”
ว่าแล้ว ก็เห็นเขาล้วงเอาไข่มุกราตรีขนาดเท่าศีรษะผู้คนออกมาจากในเป้ากางเกง
“พรึบ …..” ไข่มุกราตรีพึ่งหล่นลงมา ก็เห็นเยี่ยจ้านล้วงเอาชุดแต่งงานสีแดงเพลิงชุดหนึ่งออกมาจากในเป้ากางเกงด้วย
……………