ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 701 คนโกหกย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน
มือของพวกเขาพึ่งจะยื่นออกไป ก็ได้ยินเสียงตู๋กูซิงหลันเรอเอิ้กออกมาเต็มรัก
ทั้งหมดตกอกตกใจขึ้นมา จนพวกเขาพากันถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง
ด้วยพลังการฝึกปรือของตู๋กูซิงหลัน หากคิดจะต่อสู้กับพวกเขา นั่นนับว่าเกินพอ
“ตกใจอะไร นางโดนยาสลบลงไปต่อให้เป็นหล่าเทพก็ยังไม่อาจคลายได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ก็แค่กินมากไปจนเรอออกมาเฉยๆ ดูสิพวกเจ้ากลับตกอกตกใจกันถึงเพียงนี้!”
พอเห็นตู๋กูซิงหลันสงบนิ่งลง ทั้งหมดก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง พอเดินถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ก็มีแต่ประกายคมดาบแวววับ
นั่นเป็นอาวุธดาบที่สร้างขึ้นจากวัตถุดิบพิเศษ แค่ฟันลงไปดาบเดียวก็สามารถตัดถึงกระดูก บาดแผลไม่อาจสมานตัว
จะแย่งชิงพลังวิญญาณของนาง อย่างแรกต้องกรีดเลือดนางออกมาก่อน พอดื่มเลือดนางลงไป ก็ค่อยดูดซับพลังวิญญาณในเลือดเนื้อของนาง จนแห้งตาย
ดาบเล่มหนึ่งพาดลงไปบนลำคอของตู๋กูซิงหลัน แต่ยังไม่ทันได้สร้างบาดแผลแม้แต่รอยขีดข่วน
ก็ได้ยินเสียง ‘ปู๊ดดด~’ ดังยาวขึ้นมา ตามด้วยกลิ่นเหม็นที่เสียดแทงจมูกไปหมด
คนที่กำลังพาดดาบ ถึงกับมือสั่นขึ้นมา เผลอบาดโดนหลังมือของตนเองไปรอยหนึ่ง
ปากแผลปริออกอย่างรวดเร็ว จนกระดูกมือมีไอสีดำระเหยออกมา
คนผู้นั้นเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเย็นๆเข้า แต่ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดังออกมา
มือข้างนั้นของเขาปริแตกกลายเป็นบาดแผลอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าต่อตา
คนที่เหลือต่างก็ไม่มีใครกังวลสนใจเขา ต่างก็ทยอยอุดจมูก พลางถอยไปที่ด้านหลังก้าวหนึ่ง
พวกมันมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นเหม็นที่สุด ย่อมทนต่อกลิ่นเช่นนี้ไม่ได้
บ้านหลังนี้แม้จะเก่าและทรุดโทรม แต่ว่ากลับกักอากาศได้มิดชิดอย่างยิ่ง กลิ่นนั้นคลุ้งเข้าไปในจมูกของแต่ละคน ทำเอาพวกเขาทรมานแทบตาย
“นี่มันใช่ตดของมนุษย์ธรรมดาหรือ เหม็นถึงเพียงนี้?”
แต่ละคนต่างก็ปิดจมูก คิดไปว่าตนเองกำลังถูกหลอกด้วยอะไรที่แปลกประหลาดหรือไม่
“สนใจไยว่านางจะตดหรืออะไร….รีบชักดาบลงมือ อย่าได้ชักช้า!”
มีคนทนไม่ไหว พุ่งเข้าไปลงมือแล้ว
คนอื่นๆก็ชักดาบขึ้นตามมาติดๆ ครั้งนี้เล็งตรงไปยังขั้วหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
เลือดจากลำคอ มักกระเด็นไกล สิ้นเปลืองโดยเปล่า
แทงลงไปตรงหัวใจ เลือดไหลออกมาจากตรงกลางเพียงพอให้พวกมันแบ่งปัน
ดาบนั้นแทงออกไป ประกายเย็นเฉียบสาดออกมาในความมืดสลัว
ทันทีที่สัมผัสโดนเสื้อผ้าของตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นดวงตาดอกท้อที่เดิมปิดสนิทคู่นั้น ลืมตากว้างขึ้นมาในทันที
ขนตายาวกระพริบ ดวงตาที่สดใสไร้เดียงสาปรากฏความผิดหวังขึ้นมา
“นู๋นึกว่าพวกเจ้าจะเป็นคนดีเสียอีก” แต่ว่ายามที่นางเอ่ยออกมา ยังคงยิ้มหวาน
“แต่ว่าพวกเจ้ากลับคิดฆ่านู๋….” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกว่า ในน้ำเสียงราวเด็กน้อยนั้นถึงมีความมืดมิดเจือปนอยู่
ทั้งหมดตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คนที่ตวัดดาบออกมาก่อนผู้นั้นรีบตะโกนบอก “รีบลงมือเร็วเข้า มัวรออะไรอยู่!”
คนผู้นั้นปราศจากความลังเล เสือกดาบแทงเข้าไปในทันที
ดาบเล่มนั้นแทงลงไปตรงๆ แต่กลับมิได้แทงลงไปในร่างของตู๋กูซิงหลัน หากแต่ว่าพุ่งเข้าใส่กำแพงด้านหลังของนาง ดาบนั้นแทงเข้าไปในเนื้อกำแพงจนฝังลงไปทั้งเล่ม
ทั้งหมดตกตะลึงที่ด้านหน้าของกำแพงนั้น มีตู๋กูซิงหลันอยู่ที่ไหนกัน?
พวกมันมองไปรอบด้าน ท่ามกลางความเงียบเชียบของห้องที่เหม็นตด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสของเด็กน้อยดังออกมา
“คนโกหกต้องจ่ายค่าตอบแทนน้า~”
สาวน้อยทางหนึ่งหัวเราะคิกคัก อีกทางก็ครุ่นคิดไปว่า “เอ้ จะให้จ่ายค่าตอบแทนเป็นอะไรดีน้า?”
น้ำเสียงที่เดิมทีแสนจะน่าฟัง แต่ว่าในยามนี้กลับฟังดูแล้วน่าขนลุกอย่างไรก็บอกไม่ถูก
คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางค่อยเอ่ยว่า “อืม คนโกหกต้องถูกตัดลิ้นลงมาเป็นอย่างแรก….”
“ดาบเล่มนั้นสวยดี เอามาตัดลิ้นของพวกเจ้าก็แล้วกัน….”
ทันทีที่สิ้นเสียง พวกเขาก็เห็นเงาร่างสีแดงที่เคลื่อนไหวได้สายหนึ่ง เงานั้นพุ่งเข้าไปยังกำแพงตรงนั้น จากนั้นก็เห็นดาบที่ถูกเสียบจนมิดเข้าไปในกำแพงปรากฏขึ้นมา พร้อมๆกับแสงสว่างบาดตาวูบหนึ่ง
จากนั้น ในอากาศก็มีกลิ่นคาวโลหิตโชยชายขึ้นมา
พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนสุดเสียงของคนบางคน
นั่นย่อมเป็นคนที่ลงมือเมื่อครู่
เพียงแค่พริบตาเดียว ก็เห็นเขาล้มลงไปกองกับพื้น ดิ้นรนอย่างทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ที่ข้างๆเขา มีสาวน้อยในชุดสีแดงผู้หนึ่งยืนอยู่
นางจับดาบเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างก็ถือลิ้นที่พึ่งจะตัดออกมาเอาไว้ ลิ้นชิ้นนี้แม้จะอยู่บนมือของนางแล้ว ก็ยังคงมีกำลังขยับเขยื้อนได้
มือของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ว่าคนยังคงคลี่ยิ้มหวาน
“เอาล่ะ ลิ้นชิ้นแรกก็ตัดออกมาแล้ว …..” สาวน้อยเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีและไร้เดียงสา จากนั้นก็กวาดมองมาที่ร่างของพวกมัน
บรรยากาศในบ้านหินมืดทึบ ทั้งยังจุดเทียนเอาไว้เพียงดวงเล็กๆดวงเดียว ภายใต้แสงสว่างอ่อนจาง เห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นกำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึง สีหน้าก็เขียวคล้ำไปตามๆกัน
ตู๋กูซิงหลันกุมดาบเอาไว้ ชี้ปลายดาบเข้าใส่กลุ่มคน หัวเราะคิกคักออกมาพลางกล่าวว่า “นับละนะ ยังมี หนึ่ง สอง สาม….สิบห้า อ้อ ยังมีอีกสิบห้าลิ้นที่จะต้องตัดทิ้งนี่เอง!”
นางนับหัวคนอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าในสายตาของนางคนเหล่านี้มิได้แตกต่างอะไรกับแพะที่จะกำลังถูกเชือดแม้แต่น้อย
ดวงตาหงส์ที่เดิมทีสดใสไร้เดียงสา ยามนี้อาบไล้ด้วยสีแดงจางๆ ดูท่าแล้ว เหมือนว่านางกำลังสนุกสนานอยู่ไม่น้อย
คนทั้งหมดทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธแค้น
ในเนื้อแพะย่างเมื่ครู่นั้น ใส่ยาสลบเอาไว้มากถึงระดับหนึ่ง นางก็กินเข้าไปจนหมดแล้วนี่หน่า!
แล้วทำไมถึงได้ตื่นขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้?
รึ…..หรือว่าจริงๆแล้วจะมิใช่คนปัญญาอ่อน?
นังปัญญาอ่อนนี่พอโหดขึ้นมา ก็อันตรายจริงๆด้วย!
สตรีผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่ม นางแย้มยิ้มอย่างใจดี ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและปราศจากอันตรายใดๆทั้งสิ้น “แม่นางน้อย เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว พวกเราเห็นว่าเจ้างดงามน่ารัก จึงอยากคบหาเป็นสหาย จึงได้พาเจ้ามาที่นี่ยังไงละ……”
“พวกเราต่างก็เป็นคนของทุ่งหญ้า ที่ทุ่งหญ้ามีแพะและแกะมากมายที่สุด เห็นเจ้าชอบกินเนื้อถึงขนาดนี้ จึงคิดจะเชิญเจ้ามารับประทานจนอิ่มหนำสักมื้อ”
สตรีผู้นั้นพึ่งจะกล่าวจบ คนอื่นๆก็รีบขานรับในทันทีทันใด “ใช่แล้วๆ พวกเราอยากจะพาเจ้ากลับไปกินเนื้อที่บ้านเกิดจริงๆ”
ว่าแล้ว สตรีผู้นั้นก็กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ค่อยกล่าวต่อไปว่า “ดาบในมือของเจ้าเล่มนั้น คือดาบที่พวกเราใช้สำหรับเชือดแกะฆ่าวัวให้กับเจ้า ไม่ใช่ให้เอามาใช้สังหารผู้คนนะ”
“มา เด็กดี วางดาบลงก่อน พี่สาวจะพาเจ้ากลับไปกินเนื้อแพะย่างต้นตำหรับที่ทุ่งหญ้าเอง”
นางพูดพลาง ก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้กับตู๋กูซิงหลัน
ก็แค่คนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง จะไปใช้ไม้แข็งกับนางทำไม กล่อมสักนิดสักหน่อยก็ใช้ได้แล้วมั้ง?
วันนี้ดูท่าคงจะไม่อาจลงมือได้แล้ว เช่นนั้นก็พานางกลับไปก่อน….แล้วค่อยบูชายันถวายจอมมารแล้วกัน
ภายใต้แสงสว่างอันอ่อนจาง นางมองเห็นแม่นางน้อยคลายความระวังป้องกันอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นจับจ้องมองดูนางด้วยกริยาที่ดูไร้เดียงสา
สตรีผู้นั้นก็เกิดความพอใจขึ้นมา ดูสิ ว่าแล้ว ว่าเป็นแค่คนปัญญาอ่อน
นางเดินไปที่เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน พลางยื่นมือออกไปหา “เด็กดีที่เชื่อฟัง ส่งดาบเล่มนั้นให้กับพี่สาวเถอะนะ พี่สาวขอรับร้องว่าจะไม่โกหกเจ้า”
ลองคิดดูสิ เด็กปัญญาอ่อนผู้นี้เมื่อครู่ยังถูกพวกเขาหลอกเอาตัวมาได้ง่ายๆ ตอนนี้ก็แค่ใช้คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเหมือนกันใช่ไหม?
ทั้งหมดเริ่มจะวางใจลงได้บ้าง
เมื่อครู่ทำเอาพวกมันตกอกตกใจจนแทบจะกระโดดกันหมด
“อ้าก!” หัวใจที่ยังไม่ทันวางกลับลงไปที่เดิม ก็ถูกเสียงกรีดร้องของสตรีผู้นั้นกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
และในทันใดนั้นเอง ก็เห็นว่ามีมือข้างหนึ่งตกอยู่บนพื้น
น้ำเสียงของเด็กน้อยที่โหดเหี้ยมและเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเห็นนู๋เป็นคนปัญญาอ่อนหรือ? เมื่อครู่พวกเจ้าพึ่งจะปรึกษากันว่าจะฆ่าข้า ข้าได้ยินหมดแล้ว!”
“นู๋สามขวบแล้วนะ! ที่จริงถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วยรู้ไหม?”
นางทำมือทำไม้เป็นเลขสามเพื่ออธิบาย จากนั้นก็สะกิดปลายเท้าตวัดออกไปวูบหนึ่ง ขยับดาบในมือออกไป เฉือนลิ้นของสตรีผู้นั้นลงมา
…………