ยัยหมอวายร้ายที่รัก - บทที่ 1447 ที่รัก เราไปเยี่ยมกันหน่อยเถอะนะ
ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 1447 ที่รัก เราไปเยี่ยมกันหน่อยเถอะนะ
เมื่อเห็นฉากนี้ เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าโดนคนตบหน้าเข้าไปหนึ่งฉาดเเรงๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาจากเเดงก็เป็นขาว และขาวก็เป็นเขียวอีกแล้ว ไม่อาจที่จะบรรยายความน่าอัศจรรย์ออกมาได้
“พี่ครับ ขอโทษด้วย วันนี้ตอนเช้า เป็นผมเองที่นอนเพลินไปครับ”
“เหอะๆ”
นอนเพลิน
ผู้ชายมาที่นี่แต่เช้าก็โดนผลกระทบทางด้านอารมณ์เข้าให้แล้ว จึงยิ้มอย่างเย็นชาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้า
เพราะงั้น บ้านนี้ ยังจะหวังอะไรได้อีกล่ะ?
ในวันแรกของปีใหม่ บ้านไม่เหมือนบ้าน คนก็ยิ่งไม่เหมือนคนเข้าไปอีก บ้านแบบนี้ แสนรักไม่รู้จริงๆว่า จะยังคงมีอยู่บนโลกใบนี้ทำไม?
เเสนรักหันหลังกลับอย่างไม่สนใจใยดีเอ่ยว่า : “ไปกันเถอะ”
เส้นหมี่ : “……”
เธอหันหลังกลับทันที มองไปทางพิมแสงที่กำลังมองทางนี้อย่างไม่มีชีวิตชีวาอยู่ด้านหลัง
“พิม ไปกันเถอะ กลับบ้านกับฉันนะ” เธอก้าวไปข้างหน้าจับเขาไว้
แต่หลังจากที่พิมแสงได้ยินคำพูดนี้ เเววตาก็ไปทางบนบันไดทันที หลังจากนั้นไม่นาน มือของเธอก็เริ่มเหวี่ยงออกไป
“ฉัน……ฉันไม่ไปหรอก สวยใส วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่นะ ฉันอยู่ในบ้านดีกว่า”
“แต่ว่า……”
เส้นหมี่กำลังโมโหเธอจะตายอยู่เเล้ว
ในบ้าน?
นึกไม่ถึงว่าเธอยังถือว่าสถานที่เย็นชาแบบนี้เป็นบ้าน? ตกลงว่าเธอมีสมองไหมเนี้ย? เธอมองไม่เห็นหรอกเหรอว่าคนพวกนี้ปฏิบัติต่อเธอกันยังไง?
เส้นหมี่กระวนกระวายใจ จึงพูดโพลงออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรองยั้งคิดในสถานที่นั้นว่า : “พิมแสง เธอต้องประพฤติตนไม่ดีแบบนี้ให้ได้เลยเหรอ?” เธอรู้ไหมถ้าทำแบบนี้ต่อไปจะเป็นอันตรายมาก? เธอมีลูกอยู่ในท้องทั้งคนนะ”
พิมแสง : “……”
เพียงพริบตาเดียว ใบหน้าของเธอก็ซีดจนเเทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่สักนิดเดียว
ประพฤติตนไม่ดี!
อันที่จริง ตอนนี้เธอก็ด้วย
จนกระทั่งเพื่อนรักคนนี้ถูกสามีของเขาลากตัวไป เธอก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าถูกปิดตายอยู่ในนั้น
มารีเห็นเเล้วว่า ไม่มีใครทำให้เธอหวาดกลัวได้อีก จึงด่าสาดเสียเทเสียอย่างรุนแรงขึ้นมาว่า : “เห็นกันแล้วสินะ ก็เพราะนังแพศยาอย่างเธอคนเดียวแท้ๆเลย ทำให้พวกเราโดนคนด่ากันแต่เช้า”
สามีของเธอก็ดูหมิ่นและเยาะเย้ยถากถางด้วยเช่นกัน
พิมแสงออกเเรงบีบนิ้วเพิ่มขึ้นบนอุ้งมือของตนเองทันที
“พอได้แล้ว ไสหัวออกไปให้หมด!”
ในที่สุดมาร์ตินก็เอ่ยอยู่บนบันได หลังจากเห็นว่างานเลี้ยงที่เขาเตรียมการกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ถูกคนพวกนี้ทำพังจนหมดสิ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็อาละวาดให้พวกเขาไสหัวออกไปให้หมดเสียที
พิมแสงเงยหน้าขึ้นในทันที
เวลานี้ เมื่อมองไปที่ผู้ชายคนนี้ ในดวงตาของเธอ เสมือนว่าความหวังอันริบหรี่ได้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
เส้นหมี่และทั้งสองคนกลับไหล่เขากันแล้ว
ตลอดทาง เพราะว่าเรื่องของพิมแสง เธอก็ยังคงอารมณ์ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม นอกเสียจากความโมโหโกรธาแล้ว สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือทั้งเจ็บใจและเป็นกังวลเกี่ยวกับเพื่อนรักคนนี้อยู่
“พี่ว่า ตอนนี้เธอเป็นสภาพนี้ ต่อไปเมื่อคลอดลูกแล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ตระกูลโรแกนไม่มีใครดีสักคนเดียว มาร์ตินคนหยิ่งทะนงตนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา คนที่ใกล้จะสามสิบแล้ว ยังทำตัวราวกับเด็กไม่รู้จักโตเสียด้วยซ้ำ พี่ว่าต่อไปเธอจะทำยังไงดีล่ะคะ?”
เอ่ยสองสามคำติดๆกันมาว่า “จะทำยังไงดี”
ถามแสนรักที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆจนคิ้วขมวดกันแล้ว
“เธอกังวลมากขนาดนั้นไปทำไม? คนที่หัวแข็งคนนึง ต่อให้ตอนนี้เธอจะคิดเผื่อแทนเขา เขาก็ไม่ซาบซึ้งในน้ำใจของเธอหรอก และไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอีกด้วยซ้ำไป”
“แต่ว่า…..”
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เขามาตระกูลโรแกนแล้ว เธอก็อยู่ไม่ห่างจากเขาสักหน่อย เธอสามารถไปเยี่ยมเขาได้ตลอดเวลา หลังฉลองปีใหม่สิ้นสุดลงแล้ว”
แสนรักทำได้เพียงยอมถอยคนละก้าว
เพราะว่า หากตามนิสัยแต่ก่อนของเขา ผู้หญิงที่ไร้สมองแบบนี้ เดิมทีก็ไม่มีสิทธิ์ปรากฏออกมาอยู่ในปากของเขาอีกครั้ง
กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง!
ยังดีที่ หลังจากที่เขาเอ่ยประโยคนี้ ผุู้หญิงที่เป็นทุกข์เป็นร้อนมาตลอดจึงรู้สึกโล่งอกนิดหน่อย หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนมาถึงไหล่เขา บอกคณาธิปว่าไม่ต้องไปตระกูลโรแกนแล้ว
คณาธิปอึ้งไปสักพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า : “เป็นอะไรไปเหรอ?”
เส้นหมี่ : “อย่าไปเอ่ยถึงมันเลยค่ะ พิมแสงทำให้น้องโมโหจะตายอยู่แล้ว เธอตั้งครรภ์จริงๆ เจ็ดเดือนแล้วด้วย แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเป็นคนใช้ตระกูลโรแกนให้พวกเขา น้องให้เขากลับมากับน้องด้วยกัน ก็ยังคงไม่ยินยอมอีก”
หลังจากที่เธอได้ยินคำถามนี้ ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟอีกครั้งต่อหน้าคนๆนี้
พิมแสงนับว่าเป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสองคน และพวกเขาทั้งสามคนก็รู้จักกัน เมื่อตอนที่อยู่ที่เมืองเคลียร์
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่คณาธิปล้มป่วย และก็เป็นพิมแสงนี่เเหละที่ดูแลเขา ดังนั้นในแง่ของความสัมพันธ์แล้ว ตอนที่เส้นหมี่กล่าวถึงผู้หญิงคนนี้ จึงมีหัวข้อสนทนากับคณาธิปมากยิ่งขึ้น
เป็นไปตามที่คาดไว้ หลังจากที่คณาธิปได้ยินแล้ว หน้าตาที่หล่อเหลาหมดจดจึงปกคลุมไปด้วยความเศร้าหดหู่ใจ
“ทำไมเธอถึงหัวดื้อขนาดนี้นะ? ตอนนั้นพี่เคยเตือนเธอแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเธอยังจะเดินมาจนถึงขั้นนี้อีก”
“เหอะๆ ก็เธอมันโง่ยังไงล่ะ!”
เส้นหมี่ด่ามาอีกประโยคหนึ่งแล้ว
เพราะว่าตอนบ่ายยังตัองออกเดินทางบินไปเมืองหลวง ในตอนนั้น หลังจากที่เส้นหมี่และทั้งสองคนอยู่ไหล่เขากันไปสักพักหนึ่ง ตอนที่เตรียมตัวจะกลับกันแล้ว ก่อนไป เธอกำชับคณาธิปไว้ประโยคหนึ่งเป็นพิเศษว่า
“พี่ธิป ช่วยน้องสอดส่อง ทางพิมแสงหน่อยนะ สถานการณ์วันนี้นั้น โครตแย่สุดๆเลยค่ะ เธอยังตั้งครรภ์อยู่นะ หากว่าพี่มีเวลา ไปเยี่ยมเธอหน่อยได้ไหมคะ?”
“อืม วางใจเถอะ”
คณาธิปตบปากรับคำรวดเดียว
เส้นหมี่ถึงจะจากไปอย่างสบายใจ
เชียนหยวนล๋ายเย่ก็สอดส่องทั้งสองคนที่คุยกันถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด แขกที่อยู่ในบ้านไปกันหมดแล้ว หลังจากที่เธอทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อย ก็วิ่งเข้ามาสอบถามอย่างเป็นห่วง