ยัยหมอวายร้ายที่รัก - บทที่ 16 ถูกทารุณ
เส้นหมี่ไม่อยากพูดเรื่องพวกนั้นกับลูกชาย เธอพูดเฉไฉไปทางอื่น อยากให้ลูกคนนี้กลับเข้าห้องโดยเร็ว
ที่นี่ลมแรงมาก ถึงแม้การเล่นเครื่องบินบังคับจะไม่ได้อันตรายมากนัก แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้ว บวกกับอยู่บนผิวน้ำทะเลที่มีความชื้นสูง เธอกังวลว่าเขาจะเป็นหวัด
ทว่าชินจังไม่ฟังเธอ เห็นเส้นหมี่ไม่ตอบคำถามเขา เขาก็รีบเบือนหน้าเดินจากไป
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม นายไปเอาถ่านมาให้ผมด้วย”
“คุณชายเล็ก……”
บอดี้การ์ดเผยสีหน้าอึดอัดใจ
เส้นหมี่เห็นก็รู้สึกอนาทรร้อนใจ ขณะที่เตรียมจะโน้มน้าวก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏบนดาดฟ้า เมื่ออีกฝ่ายเห็นชินจังก็ก้าวเท้ายาวเข้ามา
“ชินจัง ห้ามเล่นอีก ผมเล่นนานแล้ว ควรกลับเข้าห้องได้แล้ว ไม่งั้นจะโดนคุณพ่อดุได้นะ”
เส้นหมี่รีบมองไปยังอีกฝ่าย แม้จะมองแค่ปราดเดียว ทว่าก็สามารถเห็นเป็นหญิงสาวแต่งหน้าและแต่งตัวได้อย่างเลิศหรูแล้ว
แป้งร่ำ?เธอก็อยู่บนเรือลำนี้ด้วยเหรอ?
เส้นหมี่รู้สึกงวยงง ทว่าไม่นานเมื่อเธอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายชิงหมาเกิดแล้วก็ไม่ได้แปลกใจอะไรอีก
“ชินจัง ดูตัวเองสิ เสื้อก็เปียกไปหมดแล้ว มือก็เย็นจี๊ดเลย ฉันเคยบอกแล้วว่าอย่าออกมาเล่น เดี๋ยวไม่สบายจะทำยังไง?ไม่รู้ตัวว่าร่างกายตัวเองไม่แข็งแรงหรอกหรือ?ไม่ต้องเล่นแล้ว เก็บเดี๋ยวนี้”
แป้งร่ำเดินเข้าไปเห็นชินจังยังคงเล่นอยู่ จึงจับ
เขาอย่างเหลืออด เมื่อเห็นว่าเสื้อเปียกสีหน้าของเธอก็ย่ำแย่ขึ้นมา
ทว่าชินจังยอมฟังเธอเสียที่ไหน เธอบ่นกระปอดกระแปด แต่เขากลับทำเป็นหูทวนลม เล่นเครื่องบินบังคับต่อ
“ชินจัง!ทำไมไม่ยอมฟังกันเลย?อยากโดนตีอีกใช่ไหม?รีบวางเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้เห็นเด็กไม่เชื่อฟังก็เริ่มก่นด่า ไม่เพียงเท่านี้ยังหยิกมือเล็กแรง ๆ สองครั้งด้วย ก่อนจะเริ่มแย่ง รีโมทขึ้นมา
ทันใดนั้นดวงตาเส้นหมี่เต็มไปด้วยโกรธเคือง
ชินจังเป็นเด็กดื้อด้านคนหนึ่ง
เขาไม่เหมือนคิวคิว เพราะร่างกายเขาอ่อนแอและป่วยกระเสาะกระแสะแต่เล็ก ทั้งยังขาดความรักจากมารดาด้วย ส่งผลให้เป็นคนเก็บตัวและดื้อดึง ถ้าพูดดี ๆ ด้วยอาจจะมีสิทธิ์เจรจากับเขาอยู่
แต่ถ้าใช้ไม้แข็ง เขาจะยิ่งต่อต้านและไม่เชื่อฟัง
เส้นหมี่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ต้องมองผู้หญิงคนนั้นยื้อแย่งกับลูกชายของตนโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้มือเล็กของลูกซีดขาว ใบหน้าเขียวช้ำ และกัดฟันจับไว้แน่นแบบไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ
แป้งร่ำเห็นก็ดึงนิ้วของชินจังออก เส้นหมี่มองจากบริเวณที่ไกลออกไป ทว่าก็ยังคงเห็นมือเล็กถูกดึงจนซีดขาวมากขึ้น
ไอ้สารเลว!สัตว์เดรัจฉาน!!
เส้นหมี่กระโดดขึ้นมา“แป้งร่ำ คุณทำอะไร?ไอ้สารเลว รีบปล่อยเขานะ ใครให้คุณทำแบบนี้?อย่าแตะต้องเขานะ ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
เธอเดือดดาลถึงขีดสุด ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่ในห้องบนเรือ
แป้งร่ำที่กำลังดึงนิ้วของเด็กหน้าถอดสีทันที
ให้ตายสิ เมื่อกี้เธอมัวแต่สั่งสอนเด็กจนลืมไปว่าที่นี่ยังขังผู้หญิงไว้หนึ่งคน?
ตอนนี้ทำยังไงดี?อีกฝ่ายเห็นการกระทำของตนแล้ว หากมันไปฟ้องแสนรักแล้วเธอจะทำยังไง?บรรทัดฐานที่ห้ามล้ำเส้นของผู้ชายคนนี้ก็คือลูกในสายเลือด หากเขาตั้งมั่นสิ่งใดแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไปแน่
ผู้หญิงคนนี้ปล่อยมือในชั่วพริบตา สีหน้าเผยความกระวนกระวายอย่างแจ่มชัด
“แป้งร่ำ ที่แท้ตลอดห้าปีมานี้ คุณทำแบบนี้กับเขาเหรอเนี่ย?ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้?ถึงแม้เขาไม่ได้คนที่คุณคลอดออกมาเอง แต่เขาก็เป็นลูกชายของแสนรัก?คุณแต่งงานกับแสนรักก็ควรดีกับเขาหน่อยสิ?เขาพึ่งจะอายุห้าขวบ ห้าขวบเท่านั้นแป้งร่ำ!!”
“คุณเส้นหมี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่?ฉันไม่เข้าใจ ฉันทำอะไรเหรอ?ฉันแค่กังวลว่าเขาจะเป็นหวัด เลยมาพาเขากลับเข้าห้อง ฉันทำผิดตรงไหน?”
คาดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่วินาที ไอสารเลวคนนี้ก็ดึงสติกลับมา จากนั้นก็โต้แย้งเส้นหมี่อย่างมั่นหน้าหนึ่งประโยค
ทันใดนั้นเส้นหมี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนจะเป็นบ้า!
“คุณคิดว่าฉันตาบอดหรือไง?พึงเมื่อฉันเห็นเต็มสองตา คุณดึงนิ้วเขาแล้วยังหยิกเขาด้วย ฉันเห็นหมดแหละ บอดี้การ์ดคนนั้นก็เห็น คุณยังกล้าแก้ต่างอีก?”
เธอชี้ไปยังบอดี้การ์ดคนนั้น
ทว่าสิ่งที่น่ากลัวก็คือ ผู้หญิงคนนี้ได้ยินว่ามีพยานคนก็คลี่ยิ้มสวยเพริศพริ้ง ก่อนจะเดินไปข้างกายบอดี้การ์ดผู้นี้
“นายเห็นไหม?”
“……”
ภายในหนึ่งวินาที เส้นหมี่เห็นหน้าผากบอดี้การ์ดคนนี้หยาดเหงื่อผุดพราย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดหวั่น
“ไม่……ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นครับ”
“ได้ยินไหม เขาบอกว่าไม่ได้ยิน ดังนั้นคุณเส้นหมี่ปรักปรำฉันจริง ๆ หรือคุณตั้งใจใส่ร้ายป้ายสีฉัน เพื่อจะช่วงชิงตำแหน่งนายหญิงแห่งตระกูลหิรัญชากลับคืนไป?งั้นฉันขอบอกแกไว้เลย อย่าฝันลม ๆ แล้ง ๆ เลย เพราะตอนนี้ฉันต่างหากที่เป็นผู้หญิงของแสนรัก”
“!!!!”
เส้นหมี่โมโหจนจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อแล้ว
เธอไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ จากดำเป็นขาว และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือลูกน้องใน ตระกูลหิรัญชายังเชื่อฟังเธอ ถ้าเป็นแบบนี้ เส้นหมี่อย่างเธอจะเปิดโปงความคิดของหล่อนก็คงไม่มีใครเชื่อ