ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 134 ขอความช่วยเหลือ
ให้หลานทิงนำไข่มุกจากตะวันออกมาส่งให้พวกนางสองพี่น้องคงเป็นเรื่องหลอก แต่ต้องการยืมมือของพี่สาวช่วยจัดการหลานทิงต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง!
โจวเสาจิ่นนำไข่มุกจากตะวันออกที่บรรจุอยู่เต็มกล่องมาเทลงบนผ้านวมสีแดงสดลายนกตันเฟิ่ง[1]แหงนหน้าชมตะวัน
ไข่มุกจากตะวันออกขนาดเท่าเม็ดบัวกลมมนแวววาว เมื่อสะท้อนกับความเรืองแสงของผ้านวมสีสดใสแล้ว ทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้นเลยทีเดียว
โจวชูจิ่นนั่งลงข้างๆ เตียง จับไข่มุกมารวมๆ กันไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โตขนาดนี้แล้ว ยังชอบเล่นของพวกนี้อยู่อีก ยังไม่รีบเก็บขึ้นมาอีก ระวังเถิดจะทำหล่นไปสักเม็ด แล้วทำให้ซือเซียงต้องลำบากหาเสียทั่วทุกที่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า นำไข่มุกไปเก็บลงในกล่อง
โจวชูจิ่นถามนางว่า “เจ้าจะไม่ไปเจอหลานทิงกับข้าจริงๆ หรือ”
“ไม่ไปจริงๆ เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นใช้นิ้วเขี่ยไข่มุกในกล่องไปมาจนเกิดเสียงดัง ต๊อกแต๊ก พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรท่านพี่คุยกับนางเสียก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน หลี่ซื่อขายหลานทิงให้กับพ่อค้าที่ผ่านทางมาผู้หนึ่ง
ก่อนที่นางจะถูกขายออกไปนั้น คงมีลางสังหรณ์บางอย่าง ก็เลยเขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือจากพี่สาว
ทว่าพี่สาวกลับไม่ได้สนใจนาง
ในเวลานั้นโจวเสาจิ่นยังจัดการไม่ได้แม้แต่เรื่องของตัวเอง จึงไม่ทราบเรื่องนี้เลย จนกระทั่งตอนที่นางทราบเรื่อง ตอนนั้นโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อก็หมางเมินใส่กันไปเรียบร้อยแล้ว
นางเคยถามพี่สาวว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
พี่สาวบอกนางว่า ท่านแม่ทิ้งนางเอาไว้เพื่อให้นางดูแลเจ้า ถึงแม้ต่อมาท่านยายรับพวกเรามาอยู่ด้วย แต่หลังจากที่ท่านพ่อไว้ทุกข์จนครบตามกำหนดแล้ว นางกลับติดตามไปอยู่กับท่านพ่อที่ไปรับราชการด้วย หากนางยังสำนึกในบุญคุณของท่านแม่ ตอนที่ท่านพ่ออยู่ในช่วงไว้ทุกข์นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะตามพวกเราเข้ามาอยู่กับท่านยายด้วยถึงจะถูก
นางไม่รู้ว่าพี่สาวทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร
แต่นางเชื่อในตัวพี่สาว
ในเมื่อชาติก่อนหลานทิงยังไม่อาจตบตาพี่สาวได้ นางเชื่อว่าชาตินี้พี่สาวก็จะมองคนอย่างหลานทิงออกว่าเป็นคนเช่นไรได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน
โจวเสาจิ่นยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าให้ต้องทำ
ชาติก่อน นางแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งตอนอายุสิบหกปี ในเวลานั้นมีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลมู่ได้หนึ่งปีแล้ว เมื่อคำนวณเวลาแล้ว อย่างมากที่สุดก็อีกสามปี ตระกูลของมู่อี๋เหนียงก็จะถูกล้มล้างและลบชื่อออกไป นอกจากนี้เวลาสามปีก็ผ่านไปไวเพียงกะพริบตาครั้งหนึ่งเท่านั้น โจวเสาจิ่นมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว แต่นางกลับยังไม่มีวิธีดีๆ ที่จะทำให้มู่อี๋เหนียงหลีกหนีจากหายนะนี้ไปได้
ดังนั้นเมื่อนางได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวว่าบ้านเดิมของนางอยู่ที่ชังโจวนั้น นางก็ลอบมีแผนการอยู่ในใจ เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะหาโอกาสไปคุยกับจี๋อิ๋งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จี๋อิ๋งก็ถูกท่านน้าฉือสั่งกักบริเวณไปเสียก่อน
ต้องคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ครบห้าร้อยจบเสียก่อนถึงจะพ้นจากการกักบริเวณ…เช่นนั้นต้องรอถึงเมื่อไรกันนะ
ยังมีทางด้านของท่านน้าฉืออีก นางเสียแรงเสียความพยายามไปตั้งมากกว่าจะได้พบเขา แต่เขานั้นบ้างก็ไม่ยอมให้พบ บ้างก็สนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ไล่นางกลับแล้ว นางเคยคิดว่ายิ่งเข้าใจมากขึ้นก็จะยิ่งมีวิธีเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้มากขึ้นตามไปด้วย แต่หลังจากที่นางเริ่มปะติดปะต่อและเข้าใจจากส่วนประกอบชิ้นเล็กชิ้นน้อยจริงๆ แล้วนั้น กลับพบว่าภายในใจยิ่งเกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น
นางจะทำอย่างไรให้คำพูดของตนมีน้ำหนักยามพูดต่อหน้าท่านน้าฉือได้
โจวเสาจิ่นขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือ
ซือเซียงเป็นกังวลใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางกล่าวกับฝานหลิวซื่อว่า “นี่คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือ หลังจากที่นางลื่นล้มตั้งแต่เดือนสามเป็นต้นมา หากไม่ใช่ว่าทำงานเย็บปักอยู่ในห้องก็จะออกไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน นับเป็นครั้งแรกที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือเป็นเวลานานกว่าหลายชั่วยามเช่นนี้ ท่านคิดว่า ต้องส่งคนไปแจ้งคุณหนูใหญ่สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่า” ฝานหลิวซื่อเองก็เป็นกังวลใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าพูดเองว่า คุณหนูรองไม่เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เป็นไปได้ว่าคุณหนูรองเพียงอยากอยู่เงียบๆ ในห้องหนังสือเพื่อคิดอะไรเพียงลำพังบ้างเท่านั้นก็เป็นได้”
ซือเซียงและฝานหลิวซื่อชอบโจวเสาจิ่นในปัจจุบันมากกว่าในอดีต
ไม่ใช่ว่าโจวเสาจิ่นในอดีตไม่ดี เพียงแต่ว่าโจวเสาจิ่นในอดีตนั้นไม่ค่อยเจรจาพาที มีเรื่องอะไรก็ชอบเก็บไปคิดคนเดียวในใจ ไม่เหมือนกับโจวเสาจิ่นในปัจจุบัน ที่ไม่เพียงพูดคุยเล่นหัวกับพวกนางเท่านั้น ยังวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในเรือนได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นใจและใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
ซือเซียงสั่งให้สาวใช้เด็กผู้หนึ่งคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู สั่งการเอาไว้ว่า “ถ้าคุณหนูรองออกมาให้เจ้ารีบไปเรียกข้าทันที”
สาวใช้เด็กจึงนั่งอยู่บนขั้นบันไดของห้องหนังสือโดยตลอด
กระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยงโจวเสาจิ่นถึงได้ออกมาจากห้องหนังสือเพื่อรับมื้อเที่ยง จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังอีกครั้งเป็นเวลานาน ทำให้นางไปถึงเรือนหานปี้ซานช้ากว่าในยามปกติถึงสองเค่อ
ภายในเรือนหานปี้ซานเงียบเชียบ บรรดาสาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ต่างยืนอยู่อย่างนอบน้อม แล้วก็มีเสียงหัวเราะเบิกบานดังออกมาจากทางด้านห้องรับแขก
ปี้อวี้กระซิบบอกนางว่า “เป็นคุณชายตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยน สหายที่คุณชายใหญ่ไปทำความรู้จักเมื่อครั้งไปเยือนเมืองหังโจว เขามาเยี่ยมคุณชายใหญ่ และตั้งใจมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
คงจะเป็นหมิ่นเจี้ยนเฉียงผู้นั้น
โจวเสาจิ่นหมุนตัวกลับแล้วตรงไปที่ห้องพระเลย
ช่วงเย็น เฉิงสวี่จัดงานเลี้ยงต้อนรับหมิ่นเจี้ยนเฉียง และเป็นครั้งแรกที่ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนรองมาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงด้วย
โจวชูจิ่นถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยนมีอำนาจโดดเด่นมากเลยหรือ เหตุใดท่านผู้นำตระกูลถึงให้เกียรติคุณชายหมิ่นผู้นั้นมากขนาดนี้”
หมิ่นเจี้ยนเฉียงเป็นเพียงจวี่เหรินผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่หากเฉิงซวี่มีเจตนาจะปูทางเชื่อมสะพานให้เฉิงสือแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
โจวเสาจิ่นหัวเราะ
วันต่อมานางไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
คนที่อยู่เฝ้าเวรยามอยู่คือชิงเฟิง
สีหน้าของชิงเฟิงยังคงไม่รับแขกเช่นเดิม แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้นางยืนแห้งเ**่ยวอยู่ตรงนั้นเหมือนครั้งที่แล้ว เขากล่าวเสียงเคร่งขรึมประโยคหนึ่งว่า “เชิญท่านรอสักครู่ขอรับ” แล้วก็หมุนกายเข้าไปรายงานให้นาง
ไม่นาน เขาก็กลับออกมา และมีหนานผิงออกมาพร้อมกับเขาด้วย
“คุณหนูรอง” สีหน้าของนางเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิด “ต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ! จี๋อิ๋งยังคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ไม่เสร็จ จำต้องรบกวนให้ท่านเดินมาหาด้วยตัวเอง”
ตามหลักแล้ว ควรจะเป็นจี๋อิ๋งที่เป็นคนไปพบนางถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าตั้งใจมาเยี่ยมนาง จะได้มาดื่มชาที่ห้องของนางสักถ้วยด้วยพอดี”
หนานผิงไปส่งนางที่ห้องของจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งต้อนรับโจวเสาจิ่นเข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น ยกของกินเล่นมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง ยังชี้ไปที่ขนมเปี๊ยะในกล่องใส่ขนมสีแดงลายดอกไห่ถัง พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองชิมดู ขนมของร้านหมี่จี้”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง แล้วก็หัวเราะฮ่าออกมาเสียงดัง
จี๋อิ๋งเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ
น้อยครั้งมากที่โจวเสาจิ่นจะหัวเราะเช่นนี้
“เมื่อวานข้าดื่มชากับพวกปี้อวี้ที่เรือนหานปี้ซาน…” นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นให้จี๋อิ๋งฟังรอบหนึ่ง “พวกข้ายังพูดถึงขนมเปี๊ยะและขนมแป้งทอดของร้านหมี่จี้อยู่เลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้กิน จวนหลักของพวกเจ้านี้ ช่างรู้จักสรรหาของกินเสียจริงๆ”
จี๋อิ๋งเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย กล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “นั่นมันของแน่อยู่แล้ว มนุษย์บนโลกนี้ มักจะมีงานอดิเรกบางอย่าง และงานอดิเรกของข้าก็คือการกิน!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพลางหัวเราะจนตาหยี กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกกักบริเวณอยู่หรือ เช่นนั้นผู้ใดไปซื้อขนมมาให้เจ้ากัน”
“ข้าเพียงถูกห้ามไม่ให้ออกไปไหน ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้กินเสียหน่อย” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ฉินจื่อผิงเป็นคนไปซื้อมาให้”
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่โจวเสาจิ่นได้ยินชื่อของฉินจื่อผิง และทุกครั้งก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับของกินทั้งสิ้น นางอดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉินจื่อผิงก็ชื่นชอบการกินด้วยหรือ”
“ก็พอได้!” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าเขาสะดวก เนื่องจากช่วงนี้เฉิงจื่อชวนกำลังฝึกฝนเขาอยู่ เขาจึงต้องวิ่งทำธุระอยู่ข้างนอกแทบจะทุกวัน”
โจวเสาจิ่นชิมขนมเปี๊ยะไปชิ้นหนึ่ง
ช่างกรอบและอร่อยจริงๆ ด้วย
นางถามจี๋อิ๋ง “เจ้าคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ไปถึงไหนแล้ว”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วไหล่ทั้งสองข้างพลันลู่ตกลงมา กล่าวขึ้นว่า “ก็ไม่ถึงไหน…” นางไม่ทันได้กล่าวจนจบ นัยน์ตาพลันแวววาวขึ้นมาในทันใด ขยับเข้ามาใกล้โจวเสาจิ่น แล้วกล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ เจ้าก็ช่วยข้าคัดด้วยสักสองสามจบดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นปฏิเสธนางในทันที กล่าวว่า “เลิกคิดได้เลย! ข้าต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานทุกวัน ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาช่วยเจ้า เรื่องของเจ้า เจ้าก็ต้องทำเอง” ยังกล่าวอีกว่า “นอกจากนี้ลายมือของพวกเราก็ไม่เหมือนกัน เจ้าไม่กลัวว่าท่านน้าฉือจะลงโทษให้เจ้าคัดอีกห้าร้อยจบหรือ”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็กระโดดโหยงขึ้นมาอย่างยินดี ยื่นมือออกไปลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “เจ้าฉลาดเสียจริง! เหตุใดข้าถึงไม่เคยคิดมาก่อน เฉิงจื่อชวนเพียงให้ข้าคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ ห้าร้อยจบ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าให้ข้าคัดด้วยตัวเอง ข้าจะไปขอให้ฉินจื่อผิงช่วย ให้เขาจ้างใครสักคนมาช่วยข้าคัดสักห้าร้อยจบก็ได้แล้ว!”
“เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ” โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดไม่ออก
“จะได้หรือไม่ได้ก็ต้องลองดูก่อน” ท่าทางของจี๋อิ๋งไม่เป็นกังวลเลยสักนิด กล่าวขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “เลวร้ายที่สุดเขาก็แค่ลงโทษให้ข้าคัดอีกห้าร้อยจบเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
จี๋อิ๋งกล่าว “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมีเวลามาหาข้าได้ งานเย็บปักของเจ้าทำเสร็จแล้วหรือ”
“สำหรับงานเย็บปักนั้นไหนเลยจะมีช่วงที่ทำเสร็จกัน” โจวเสาจิ่นครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีเรื่องต้องการขอร้องเจ้า…” นางถามต่อว่า “ท่านน้าฉืออนุญาตให้เจ้าติดต่อกับคนที่บ้านหรือไม่”
“ไม่รู้เหมือนกัน” จี๋อิ๋งกล่าว “ตั้งแต่ที่ข้ามาที่นี่ ก็ไม่เคยติดต่อกับคนที่บ้านอีกเลย ข้ากลัวว่าข้าจะทนไม่ได้แล้วแอบหนีกลับไป…”
เช่นนั้นก็ไม่อาจขอให้จี๋อิ๋งช่วยเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นกล่าว “เช่นนั้นเจ้าให้ฉินจื่อผิงช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่…แต่ว่า เรื่องนี้ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ”
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “เจ้าต้องการส่งสิ่งของหรือไม่ก็ส่งคนไปที่ไหนสักที่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าตนเพียงพูดไปไม่กี่ประโยคก็ถูกจี๋อิ๋งมองออกจนทะลุปรุโปร่งแล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางหัวเราะออกมาอย่างกระดากอาย พลางกล่าว “อยากจะส่งใครคนหนึ่งไปที่จิงเฉิง จากนั้นก็พาเขากลับมาอีกครั้งโดยสวัสดิภาพ”
“โดยที่ไม่ต้องการให้คนในบ้านรู้?”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลางกล่าว “เรื่องนี้สำคัญกับข้าเป็นอย่างมาก จะให้ดีที่สุดคือแม้แต่เทพหรือภูตผีที่ไหนก็ให้รู้ไม่ได้”
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ฉินจื่อผิงเป็นคนของน้าฉือของเจ้า หากให้เขาช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ให้เจ้า เช่นนั้นน้าฉือของเจ้าจะไม่ทราบเรื่องได้อย่างไร”
หากว่ากันตามนี้ ก็หมายความว่าทำไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน!
โจวเสาจิ่นซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่มิด
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าจะยอมแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ต่อให้ไม่มีฉินจื่อผิง ก็ไม่ใช่ว่ายังมีข้าอยู่หรอกหรือ”
โจวเสาจิ่นโบกไม้โบกมือ “ช่างมันเถิด ข้าค่อยคิดหาวิธีอื่นดูก็แล้วกัน”
“เจ้าจะคิดวิธีอะไรออกมาได้อีกอย่างนั้นหรือ” จี๋อิ๋งชำเลืองมองนาง “นิสัยของเจ้านั้นทำไมข้าจะไม่รู้ หากไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้ว เจ้าจะมาเอ่ยปากกับข้าได้อย่างไร เจ้าวางใจเถิด ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านมานานแล้ว แต่ท่านพ่อของข้ายังคงเป็นห่วงข้าเป็นอย่างมาก บอกว่าหากข้ามีเรื่องอะไรก็ให้คนนำจดหมายไปฝากเอาไว้ที่ร้านข้าวสารเม่าจี้ข้างๆ สะพานแม่น้ำตงเจียงของจินหลิง เจ้ามีเรื่องอะไร ข้าให้พวกเขาไปทำให้ก็ได้แล้ว”
เหตุใดฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนัก!
โจวเสาจิ่นกล่าว “เช่นนั้นมันจะสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าหรือท่านน้าฉือหรือไม่”
จี๋อิ๋งหยิกแก้มของโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “เห็นทีว่าที่ข้าเล่านิทานเรื่องนั้นให้เจ้าฟังไปนั้นเป็นการเล่าไปโดยเปล่าประโยชน์สินะ เจ้าจะสนใจผู้อื่นไปไย ทำธุระของตัวเองให้เสร็จต่างหากเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้…” โจวเสาจิ่นอยากจะหลบเลี่ยงจี๋อิ๋งทว่าทำอย่างไรก็หลบไม่พ้น ยังคงถูกจี๋อิ๋งหยิกแก้มอยู่ดี นางพึมพำกล่าวขึ้นว่า “คงไม่อาจสนใจแต่ตัวเองหรอกกระมัง…”
จี๋อิ๋งจึงจ้องนางตาไม่กะพริบ
โจวเสาจิ่นรีบจบหัวข้อสนทนานี้เสีย
จี๋อิ๋งส่งเสียงอืมออกมาอย่างพึงพอใจ พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้ารีบพูดมาว่าต้องการทำอะไร”
โจวเสาจิ่นเชื่อในตัวจี๋อิ๋งโดยสัญชาตญาณ นางกล่าวขึ้นว่า “ข้ามีสหายผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่ซอยต้าก่วนเหรินในเมืองจิงเฉิง ข้าอยากให้บ่าวชายของข้านำจดหมายไปส่งให้นางฉบับหนึ่ง เจ้าให้คนพาบ่าวชายของข้าไปส่งให้ถึงเมืองจิงเฉิง จากนั้นหลังจากที่รอเขาทำธุระให้ข้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พาเขากลับมาส่งที่นี่อีกครั้งก็ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย”
“และยังต้องปกปิดคนที่บ้านด้วยใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นยิ้มแหยอย่างเสียไม่ได้
“ได้!” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้ารอข่าวจากข้าก็พอ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมาก “ขอบคุณมากๆ!”
“มีอะไรให้ต้องขอบคุณ” จี๋อิ๋งถอนหายใจพลางกล่าว “หากว่าเป็นเมื่อก่อน ข้าคงไปทำเรื่องนี้ให้เจ้าด้วยตัวเองแล้ว”
ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นก็อย่าเลยดีกว่า
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เป็นเช่นในตอนนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
………………………………………………………………………
[1] นกตันเฟิ่ง นกฟินิกซ์แดง