ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 138 จัดการ
ถ้าหากว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง เช่นนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นในปีนั้นกันแน่จึงทำให้เฉิงฉือออกจากตระกูลเฉิงหลังจากการเสียชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
น้ำที่แข็งตัวจนหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเพียงวันเดียวฉันใด ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็คงไม่ได้สะสมขึ้นเพียงวันเดียวฉันนั้น
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองที่พยายามขัดขวางเฉิงฉือ นึกถึงพฤติกรรมของเฉิงฉือ…หากว่าเฉิงฉือมีแผนการที่จะออกจากตระกูลเฉิงตั้งแต่ตอนนี้ เช่นนั้น ทุกอย่างก็ถือว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว ทั้งเรื่องที่เขาปฏิบัติต่อเฉิงสวี่อย่างเย็นชา การจัดเตรียมบ่าวรับใช้ข้างกาย การวางแผนเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง…ล้วนมีคำตอบอยู่ในนั้นทั้งหมด
นางถึงกับเคยคิดว่า ถ้าเป็นตน เกรงว่าก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน
เพราะตัดสินใจว่าจะออกจากตระกูล เพราะฉะนั้นยิ่งห่วงใยให้น้อยลงได้มากเท่าไรก็เป็นการดีมากเท่านั้น ความรู้สึกที่มีต่อกันยิ่งเหินห่างมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
“คิดอะไรอยู่หรือ” ใบหน้าที่เย็นชาทว่าสง่างามของจี๋อิ๋งมาปรากฏอยู่ต่อหน้านาง “ตะโกนเรียกเจ้าไปตั้งหลายทีเจ้าก็ไม่ตอบ”
โจวเสาจิ่นรีบหันไปส่งยิ้มให้นางอย่างขอลุแก่โทษ
จี๋อิ๋งกล่าว “วันนี้คงไม่อาจดื่มสุราที่ว่าแล้ว เพราะข้าถูกกักบริเวณ ไม่อนุญาตให้ออกจากธรณีประตูนี้ไปได้ ส่วนเจ้าก็ไม่มีแรง คงไปขุดไหสุราไม่ไหว คงได้แต่รอให้ฉินจื่อผิงกลับมาตอนเย็นแล้วค่อยขอให้เขาช่วย”
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่มีอารมณ์จะดื่มสุรากับจี๋อิ๋งแล้วเช่นกัน จึงทิ้งปูเอาไว้ให้ แล้วนัดแนะกันว่าค่อยมาหาใหม่ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็กลับเรือนหว่านเซียง
แต่ ณ เรือนลี่เสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไรนั้น เฉิงฉือกำลังนั่งดูสมุดบัญชีอยู่
เขาถามไหวซานที่ยืนกุมมือทั้งสองข้างอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ “ผู้จัดการรองของสิบสามห้างก่วงตงว่าอย่างไรบ้าง”
ไหวซานตอบอย่างนอบน้อมว่า “บอกว่าปีนี้ได้ทำสัญญากับการรับประกันราคาของเหล่าทัพทั้งเก้า ต้องจ่ายล่วงหน้าไปก่อนส่วนหนึ่ง ทำให้ช่วงนี้ไม่อาจดึงเงินสดออกมามากขนาดนั้นได้ จะขอจ่ายครึ่งหนึ่งก่อนได้หรือไม่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือพวกเขาจะใช้สาขาที่ก่วงตง พานอวี๋ ฝัวซาน และฮุ่ยโจวทั้งสี่สาขาเป็นหลักประกัน โดยใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละสาม และจะคืนทั้งหมดให้ภายในเวลาสองปี…”
“ไม่ได้!” ไหวซานยังพูดไม่จบ เฉิงฉือที่พลิกสมุดบัญชีไปหนึ่งหน้าก็เอ่ยขัดคำพูดของเขาขึ้นมาเสียก่อนด้วยท่าทางดุดันว่า “ไปบอกพวกเขาว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละหนึ่ง แต่ต้องชำระทั้งหมดคืนมาในคราวเดียว หากพวกเขาดึงเงินสดออกมาไม่ได้ ก็ให้ไปแจ้งตระกูลอันที่ฝูเจี้ยน ให้พวกเขาเตรียมเงินเอาไว้”
ไหวซานกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “นายท่านสี่ สาขาก่วงตง พานอวี๋ ฝัวซาน และฮุ่ยโจวทั้งสี่สาขาเป็นสาขาที่เก่าแก่ที่สุดของสิบสามห้าง และยังถือเป็นหน้าเป็นตาของสิบสามห้างอีกด้วย การที่พวกเขาดึงเอาทั้งสี่สาขานี้มาเป็นหลักประกัน แสดงให้เห็นว่าต้องการทำสัญญากับการเดินเรือของพวกเราด้วยความจริงใจ นอกจากนี้ข้าก็ได้ไปสืบมาอย่างละเอียดแล้วว่า เพื่อทำสัญญากับการรับประกันราคาของเหล่าทัพทั้งเก้าและร้านหย่งฝูเซิ่งของจิงเฉิงในครั้งนี้แล้ว สิบสามห้างยอมเสี่ยงขาดทุนทั้งสองทาง ของรอบนี้คุณภาพต่ำลงมาเช่นนี้ อย่างไรก็ขาดทุนอย่างแน่นอน เพียงต้องดูว่าจะขาดทุนเป็นจำนวนเท่าไรเท่านั้น เหตุใดท่านต้องเร่งรัดผู้อื่นด้วยขอรับ นายห้างใหญ่ของสิบสามห้างก็เป็นผู้ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง ส่วนตระกูลอันที่ฝูเจี้ยนนั้นกลับเป็นตระกูลที่ก่อตั้งขึ้นมาจากการสมคบคิดกับโจรสลัดชาววัวโค่ว[1] เงินที่มีอยู่ในมือล้วนเป็นเงินไม่สะอาด หากว่าทางการตรวจสอบขึ้นมา จะยุ่งยากเป็นอย่างยิ่งขอรับ…”
“ไหวซาน!” เฉิงฉือวางสมุดบัญชีในมือลง ใช้มือนวดหว่างคิ้วของตัวเองอย่างอ่อนล้าเล็กน้อย พลางกล่าว “พวกเราจำเป็นต้องใช้เงินสด ข้าไม่มีเวลามานั่งรอพวกเขาถึงสองปีได้ เวลาสองปี ความผันแปรมีมากเกินไป ข้าไม่อยากรออีกแล้ว!”
“นายท่านสี่!” ไหวซานก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเล็กน้อย
ขณะที่มองเขา เฉิงฉือก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยืนข้างๆ เขาพลางตบไหล่เขาไปด้วย กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาดีต่อข้า ยังหวังให้ข้าสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้ตัวเองอยู่ในเจียงหนานแห่งนี้ในฐานะนายท่านสี่ของตระกูลเฉิง แต่ข้ากลับเหนื่อยหน่ายแล้ว ข้าอยากจะดื่มด่ำเหล้าข้าวหมักสักขวด อยากจะตื่นขึ้นมาท่ามกลางเม็ดทรายที่ปลิวไปตามสายลมอ่อนในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ อยากจะชงชาเขียวสักหนึ่งกา และฟังเสียงคลื่นของทะเลในยามราตรีกาลจนเคลิ้มหลับไป…”
“นายท่านสี่!” ไหวซานเงยหน้าขึ้นอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย นัยน์ตารื้นชื้นด้วยหยาดน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “ท่านอย่าพูดอีกเลย ข้าจะไปแจ้งตระกูลอันที่ฝูเจี้ยนเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
มือของเฉิงฉือที่วางอยู่บนไหล่ของไหวซานกลับยั้งเขาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ช่างมันเถิด! ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ตระกูลอันกระทำการอุกอาจเกินไป ไม่ช้าก็เร็วคงต้องมีปัญหาเกิดขึ้น หากกระทบมาถึงตระกูลเฉิงคงไม่ดีแน่ เจ้าไปบอกผู้จัดการรองของสิบสามห้างก็แล้วกัน ว่าให้ยึดตามที่พวกเขาเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชำระเงินมากึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือชำระให้แล้วเสร็จภายในสองปีให้หลัง”
“นายท่านสี่!” ไหวซานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ
เรื่องที่เฉิงฉือตัดสินใจแล้ว น้อยครั้งนักที่จะเปลี่ยนใจ
“บางทีอาจเป็นเพราะข้าอายุมากขึ้นแล้ว ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใจอ่อน” เฉิงฉือเองก็รู้ดี เขาหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ข้าอาจจะไม่สนใจผู้อื่นได้ แต่ไม่สนใจแม่ของข้าไม่ได้ เรื่องนี้…ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
ไหวซานพยักหน้า กล่าวอย่างลังเลว่า “นายท่านสี่ ส่วนทางด้านของแม่นางจี๋อิ๋ง…”
“เจ้าหมายถึงเรื่องของร้านข้าวสารเม่าจี้หรือ” เฉิงฉือกล่าวเสียงเรียบ หมุนกายนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนด้านหน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง แล้วกล่าวต่อว่า “ให้คนเฝ้าติดตามบ่าวชายผู้นั้นเอาไว้ก็พอ ต่อให้จี๋อิ๋งจะไม่รู้จักผิดชอบจริง แต่ตระกูลจี้ไม่มีทางคิดเล่นแง่ตุกติกไปกับนางด้วยเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่ขีดเส้นกั้นกับตระกูลเจียวอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ได้เตือนข้าเช่นเดียวกัน คุณหนูรองของตระกูลโจวผู้นั้น เจ้าให้คนไปสืบประวัติของนางมาสักหน่อย การที่นางชักจูงจี๋อิ๋งช่วยเป็นธุระให้นางได้ เกรงว่าจะไม่ใช่คนเรียบง่ายผู้หนึ่งเช่นกัน”
เขานึกถึงนางที่หาโอกาสเข้าใกล้เขาหลายครั้ง เคยคิดว่าเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวเท่านั้น แต่ดูจากตอนนี้แล้ว อาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้
แววตาของเฉิงฉือเคร่งขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูดุร้ายประหนึ่งดาบคมที่พร้อมจะฟาดฟันได้อย่างรวดเร็วขึ้นมา
ไหวซานตัวสั่น ก้มหน้าลงราวกับว่าไม่กล้ามองตรงๆ ขานตอบว่า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” โค้งตัวคำนับพร้อมกับเดินถอยไปจนถึงประตู แล้วถึงได้เดินจากไป
เฉิงฉือนั่งอยู่ภายในห้องลำพัง นั่งมองลำแสงภายในห้องที่ค่อยๆ เลือนลับหายไป จนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมตัวเขาจนมิด
***
วันต่อมา โจวเสาจิ่นไม่ได้ไปกินปูกับจี๋อิ๋ง
เนื่องจากหลานทิงโวยวายว่าต้องการพบนาง เพื่อการนี้แล้วยังประท้วงด้วยการอดอาหารอีกด้วย
โจวชูจิ่นกรุ่นโกรธเป็นอย่างมาก กล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานที่มารายงานข่าวว่า “หากนางยินดีที่จะตายจริงๆ ก็คงตายไปตั้งนานแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจนาง เจ้าเพียงส่งข้าวไปให้นางวันละสามมื้อก็พอ นางจะกินหรือไม่กิน ก็เป็นเรื่องของนาง”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปดูนางสักหน่อยก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “นางทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้เจ้าไปพบนาง”
โจวเสาจิ่นรู้ดี ทุกคนต่างคิดว่านางเป็นคนใจอ่อน เรื่องที่ขอจากพี่สาวไม่ได้ก็จะมาหานางแทน ชาติก่อนนางมักจะส่ายหัวปฏิเสธอยู่ตลอด แต่ชาตินี้ไม่อาจเอาแต่ผลักเรื่องพวกนี้ไปเป็นภาระของพี่สาว และปล่อยให้พี่สาวต้องแบกชื่อเสียงเสียหายว่าเป็นคน ‘อกตัญญู’ เอาไว้เพียงผู้เดียวได้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เรื่องนี้ยังมีสาเหตุมาจากตัวนางอีกด้วย!
“ไม่ใช่ว่านางพูดอยู่ตลอดว่านางทำตามคำสั่งของท่านแม่หรอกหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวกับพี่สาว “เช่นนั้นพวกเราก็นำเอาคำพูดของท่านแม่ออกมาพูดเสียให้ชัดเจน ดูว่าตั้งแต่ต้นนั้นท่านแม่ปฏิบัติกับนางอย่างไรบ้าง ทุกอย่างที่ท่านแม่ปฏิบัติกับนางมาอย่างไร พวกเราก็จะปฏิบัติตามตามนั้นก็พอ แต่อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านแม่เคยกระทำ พวกเราก็ไม่อาจกระทำตามสิ่งที่นางพูดขึ้นมาเองได้ ไม่เช่นนั้นบรรดามามาทั้งหลายที่เคยให้นมพวกเรามานั้นจะทำอย่างไร”
โจวชูจิ่นฟังแล้วก็เห็นว่าคำพูดนี้มีเหตุผล มองน้องสาวด้วยสายตาชื่นชมมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ระหว่างที่เจ้าพูดคุยกับนาง ข้าจะนั่งฟังอยู่หลังฉากกั้นไปด้วย”
พี่สาวยังคงกลัวว่านางจะถูกหลอก
แต่นี่ก็ถือว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกก้าวหนึ่งแล้ว
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า หลังจากที่อธิบายเหตุผลให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังเรียบร้อยแล้ว นางกับพี่สาวก็กลับบ้านตระกูลโจวไปพร้อมกับภรรยาของหม่าฟู่ซาน
ภรรยาของหม่าฟู่ซานจัดให้หลานทิงไปอยู่ในห้องข้างที่อยู่ด้านหลังของเรือนหลัก พร้อมกับจัดเตรียมสาวใช้เด็กหนึ่งคนและป้ารับใช้อีกหนึ่งคนไป ‘ดูแล’ นาง
ชาติก่อน ความทรงจำที่โจวเสาจิ่นมีต่อหลานทิงนั้นจำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องที่ว่า ‘เก็บบุตรกำจัดมารดา’ เท่านั้น เมื่อได้พบกันในชาตินี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลอบสำรวจนางไปหลายครั้ง
ดูไปแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้ารีเรียวเล็ก ดวงตาโตทั้งคู่ฉ่ำน้ำแวววาว ดูน่ารักและงดงามจนไม่อาจหาคำอธิบาย
โจวเสาจิ่นแปลกใจยิ่งนัก
มารดาเสียชีวิตไปสิบเอ็ดปีแล้ว อย่างน้อยที่สุดหลานทิงก็น่าจะมีอายุยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี
นางคิดไม่ถึงว่าหลานทิงจะดูอ่อยวัยขนาดนี้
พอเห็นหน้าโจวเสาจิ่น นางก็คุกเข่าลงตรงหน้าโจวเสาจิ่น น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาประดุจสายฝนกระหน่ำ
“คุณหนูรอง ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว ตอนที่ข้าจากไปนั้น ท่านยังตัวเล็กมากอยู่เลยเจ้าค่ะ” นางเช็ดน้ำตา “ข้าอาภัพนักที่คิดถึงคุณหนูรองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ากลับไม่กล้าขัดเจตนารมณ์ของฮูหยินปล่อยให้นายท่านไปประจำการเพียงผู้เดียวเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจความกรุ่นโกรธของพี่สาวแล้ว
มารดาเสียชีวิตไปแล้ว แต่นางกลับยังนำเอาชื่อของมารดามาอ้างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง…ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
โจวเสาจิ่นตัดบทอาการสะอื้นไห้ของหลานทิง กล่าวขึ้นว่า “ลุกขึ้นมาคุยเถอะ! บนพื้นเย็นนัก”
หลานทิงชะงัก จากนั้นไม่นานน้ำตาก็ร่วงรินหนักยิ่งกว่าเดิม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านเหมือนฮูหยินยิ่งนัก จิตใจดีเช่นเดียวกันเลยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นเพียงยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร เดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ในห้องโถง จากนั้นถามหลานทิงว่า “เจ้าเขียนหนังสือได้หรือไม่”
การพูดออกมาลอยๆ เช่นนี้ ทำให้หลานทิงจับต้นชนปลายไม่ถูกเล็กน้อย
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ได้เจ้าค่ะ เมื่อก่อนฮูหยินเคยสอนเอาไว้”
“เช่นนั้นก็ดี” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงนุ่ม “ข้ารู้มาว่าก่อนที่ท่านแม่จะเสียชีวิตนั้นได้วางใจมอบพวกข้าสองพี่น้องเอาไว้กับเจ้า ทำให้หลายปีมานี้ ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อเองก็ให้เกียรติเจ้าไม่น้อย ที่ให้นำไข่มุกกลับมาส่งให้ในครั้งนี้ ความจริงแล้วก็เป็นเจตนาของพวกข้าสองพี่น้อง”
หลานทิงตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นทำเสมือนกับว่ามองไม่เห็น ยังคงกล่าวต่อไปอย่างสบายๆ ว่า “ตอนที่ท่านแม่เสียชีวิตนั้นพวกข้าสองพี่น้องยังเล็กนัก มาวันนี้นึกขึ้นมาได้ว่า หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อแขวนภาพเหมือนของท่านแม่เอาไว้ในห้องหนังสือแล้วละก็ เกรงว่าแม้แต่หน้าตาของท่านแม่พวกข้าก็คงไม่รู้จักแล้วว่าเป็นอย่างไร พวกข้าสองพี่น้องก็เลยปรึกษากันและเรียกเจ้ากลับมา ในเมื่อเจ้าเขียนหนังสือได้ เช่นนั้นก็เขียนสิ่งที่ท่านแม่เคยบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเสียชีวิตมาให้พวกข้าสักหน่อย ถือเป็นของที่ระลึกให้พวกข้าสองพี่น้อง”
หลานทิงพลันตระหนักได้แล้วว่าโจวเสาจิ่นกำลังขุ่นเคืองที่นางมักจะใช้ชื่อของจวงซื่อมาเป็นข้ออ้าง
นางแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
สิ่งที่จวงซื่อเคยพูดเอาไว้ก่อนเสียชีวิตนั้น โจวเจิ้นก็ไม่ได้อยู่ด้วย เช่นนั้นก็เพียงแค่ไม่ว่านางพูดสิ่งใดก็หมายถึงสิ่งนั้นก็เท่านั้น!
นางพยักหน้าอย่างหวาดเกรง
โจวเสาจิ่นให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานเตรียมเครื่องเขียนให้นาง
ภรรยาของหม่าฟู่ซานส่งสายตาชื่นชมมาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกระดากอาย
นางรู้ว่าภรรยาของหม่าฟู่ซานกำลังเข้าใจผิด นางเพียงไม่อยากฟังเสียงหนวกหูของหลานทิงก็เท่านั้น
ไม่นาน หลานทิงก็เขียน ‘คำสั่งเสีย’ ของจวงซื่อจนแล้วเสร็จ
โจวเสาจิ่นกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นถามหลานทิงว่า “เจ้าจะบอกว่า ท่านแม่ให้เจ้าดูแลท่านพ่อกับพวกข้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หลานทิงกล่าวด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ก้มหน้าลงเล็กน้อย ดูไปแล้วเหมือนกำลังเอียงอาย
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่ประโยคนี้สำคัญที่สุด
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากว่าเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมรั้งอยู่ที่ตระกูลโจว ตอนนี้ท่านพ่อมีมารดาเลี้ยงคอยดูแลแล้ว แต่พวกข้าพี่น้องยังขาดคนมาช่วยดูแลอยู่ข้างกาย หรือว่าไม่ยินดีมาดูแลพวกข้าพี่น้องอย่างนั้นหรือ”
หลานทิงชะงักงัน
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกันแน่
นางมองใบหน้าที่งดงามหมดจดทว่ายังไร้เดียงสาของโจวเสาจิ่นแล้ว พลันรู้สึกว่าตนคงจะเข้าหาผิดคนเสียแล้ว!
แต่ว่าโจวชูจิ่นน่ายำเกรงกว่าอีก
อยู่ในเงื้อมมือของโจวชูจิ่น นางไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าจะสำเร็จ
น้ำตาของหลานทิงไหลรินออกมาอีกครั้ง นางคุกเข่าลงตรงหน้าของโจวเสาจิ่นอีก พลางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองมีคนจากตระกูลเฉิงคอยดูแล แต่นายท่านกลับต้องไปรับราชการอยู่ข้างนอกเพียงผู้เดียว ข้าจะทิ้งให้นายท่านไปประจำการอยู่เพียงผู้เดียวได้อย่างไรเจ้าคะ…”
…………………………………………………………………
[1] ชาววัวโค่ว คือชาวญี่ปุ่น