ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 139 ขายทิ้ง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้น ท่านพ่อไปรับราชการอยู่ข้างนอกเกือบจะสิบปี เห็นทีว่าคงจะปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อ ให้เขายกเจ้าให้พวกข้าสองพี่น้อง ข้าคิดว่าท่านพ่อย่อมต้องไว้หน้าพวกข้าสองพี่น้องอย่างแน่นอน” ขณะที่กล่าว ก็ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานเตรียมเครื่องเขียนมาให้
ในที่สุดหลานทิงก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
แน่นอนว่าพวกนางสองพี่น้องต้องปรึกษากันมาก่อนแล้ว ไม่ว่านางจะพูดอะไร ล้วนแล้วแต่ต้องการให้นางรั้งอยู่ที่จินหลิง
นี่ต้องเป็นความคิดของโจวชูจิ่นอย่างแน่นอน
นางรีบคุกเข่าลงไปกอดขาของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ร้องห่มร้องไห้พลางกล่าว “คุณหนูรอง ขอร้องท่านช่วยส่งข้ากลับเป่าติ้งด้วยเถิดนะเจ้าคะ ท่านไม่รู้หรอกเจ้าค่ะว่าคนจากตระกูลหลี่เหล่านั้นน่ารังเกียจขนาดไหน ที่พวกเขาให้หลี่ซื่อแต่งเข้ามา ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะเห็นแก่คุณธรรมหรือความสามารถของนายท่าน แต่เพราะเห็นแก่ตำแหน่งอันสูงส่งของนายท่าน ว่าจะช่วยเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับคนในแวดวงขุนนาง เพื่อให้กิจการของพวกเขาเติบโตยิ่งๆ ขึ้น โดยไม่สนใจว่านายท่านจะลำบากใจหรือไม่ และก็ไม่สนใจเลยว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของนายท่านเสื่อมเสียหรือไม่ พวกเขาหวังแต่จะมาสูบเลือดสูบเนื้อของนายท่านเท่านั้น…”
แต่การกระโดดเข้าใส่เช่นนั้นของนางกลับทำให้โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี นางกระโดดลุกพรวดขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้เบี่ยงกายหลบ ก็ถูกหลานทิงกอดเอาไว้จนแน่นเสียก่อน
มองดูหลานทิงที่ร้องไห้กระซิกอยู่ตรงเท้าแล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกอัดอัดใจยิ่งนัก
เป็นคนมาสองชาติภพ ยังไม่เคยมีคนมาร้องไห้ต่อหน้านางเช่นนี้มาก่อนเลย
นางรีบกล่าว “เจ้ามีเรื่องอะไรก็ลุกขึ้นมาคุยดีๆ ลุกขึ้นมาเถิด”
ทว่าหลานทิงกลับยิ่งกอดนางให้แน่นมากขึ้น
ภรรยาของหม่าฟู่ซานเห็นแล้วก็โกรธจนหน้าแดง ขยับออกไปดึงนาง “เจ้ามาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าคุณหนูรองเช่นนี้ไปทำไม”
แรงของนางค่อนข้างมาก หลานทิงถูกนางทั้งดึงทั้งลากจนซวนเซไปมาแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ “คุณหนูรอง ข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ข้าทำเพื่อท่านกับคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ ท่านไม่รู้อะไร พอหลี่ซื่อผู้นั้นแต่งเข้ามา ก็เอาภาพเหมือนของฮูหยินไปเก็บเสีย หากไม่ใช่เพราะนายท่านติเตียน นางก็คงเอาไปทิ้งแล้ว นายท่านบอกว่าอยากจะรับท่านกับคุณหนูใหญ่ไปอยู่ด้วย ให้นางจัดเรือนให้เรียบร้อย นางก็ไม่ยอม ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่งข่าวมาแจ้งว่า ต้องการให้พวกท่านสองพี่น้องรั้งอยู่กับนาง ก็เป็นหลี่ซื่อที่ยุยงให้นายท่านปล่อยให้ท่านกับคุณหนูใหญ่อยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไป นางปรารถนาจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของพวกท่านนะเจ้าคะ…”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
หลี่ซื่อเห็นแก่ตัว แล้วตัวนางเองไม่เห็นแก่ตัวหรืออย่างไร ในเมื่อต่างคนก็ต่างเหมือนๆ กัน เช่นนั้นจะค่อนแคะผู้อื่นไปเพื่ออะไร
เมื่อเห็นว่าไม่ว่าอย่างไรหลานทิงก็ไม่ยอมปล่อยมือ นางจำต้องกล่าวข่มขู่ไปว่า “หากว่าเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะตะโกนเรียกให้คนเข้ามา”
โดยเนื้อแท้แล้วโจวเสาจิ่นเป็นคนอ่อนโยน ต่อให้กำลังโกรธ การกระทำที่ออกมาก็ยังเผยความนุ่มนวลออกมาอยู่หลายส่วน นอกจากทำให้หลานทิงกลัวไม่ได้แล้ว กลับกันยังทำให้หลานทิงสลัดภรรยาของหม่าฟู่ซานออกไปได้อย่างรวดเร็ว
โจวชูจิ่นจึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด “นี่เจ้าต้องการจะทำอะไร ต้องการบีบบังคับให้คุณหนูทำตามคำพูดของเจ้าให้ได้ถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ หากเป็นบ่าวผู้จงรักภักดี จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร”
หลานทิงมองโจวชูจิ่นด้วยดวงตาลุกเป็นไฟทั้งสองข้าง
หากไม่ใช่เพราะนางถูกหลี่ซื่อซื้อตัวไปแล้ว ตนจะมาอยู่ในจุดที่ตกต่ำขนาดนี้ได้อย่างไร
นางจำได้อย่างแม่นยำ หลี่ซื่อส่งเงินส่วนตัวมาให้พวกนางสองพี่น้องติดๆ กันเกือบห้าร้อยเหลี่ยงเงิน สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว หากมีสินสอดติดตัวจำนวนเท่านี้ ต่อให้เป็นคนพิกลพิการผู้หนึ่งก็ยังหาคู่ที่ครบสามสิบสองมาแต่งงานด้วยได้
“คุณหนูใหญ่ ความจริงแล้วท่านก็เป็นเพียงแค่ลูกเลี้ยงของฮูหยินเท่านั้น” สายตาที่หลานทิงใช้มองโจวชูจิ่นนั้นราวกับมีดอาบยาพิษก็ไม่ปาน “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคุณหนูรอง ในเมื่อเป็นเรื่องของคุณหนูรอง ท่านอย่าสอดมือเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
นางรู้ดีว่าคนที่เป็นใหญ่ของตระกูลโจวที่เมืองจินหลิงนี้คือโจวชูจิ่น และนางก็รู้ด้วยว่าตนไม่อาจเอาชนะโจวชูจิ่นได้ แต่เรื่องของนางก็ถูกกวนจนขุ่นมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากจะถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว ไม่สู้ใช้โอกาสนี้สร้างความบาดหมางให้โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น นางไม่เชื่อว่า พี่สาวน้องสาวที่ถือกำเนิดมาจากมารดาคนละคนกันนั้น จะไม่มีความแตกแยกเลยแม้แต่นิดเดียว หรือต่อให้ไม่มี โจวชูจิ่นมีนิสัยเด็ดขาดขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีบางเวลาที่โจวเสาจิ่นรู้สึกขมขื่นบ้าง ขอเพียงเวลาที่โจวเสาจิ่นรู้สึกขมขื่นแล้วนึกถึงคำพูดของนางก็พอแล้ว
โจวชูจิ่นโกรธจนหน้าซีดเผือด ออกคำสั่งภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “เรียกป้ารับใช้เข้ามาสองคน แล้วจับคนมัดเอาไว้”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบออกไปตะโกนเรียกคน
หลานทิงกระโดดพรวดขึ้นมาแล้วพุ่งตัวไปทางโจวเสาจิ่น
นางคิดจะเข้าไปกอดแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้เพื่อเป็นที่กำบัง
แต่ในสายตาของโจวชูจิ่นแล้วกลับคิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นางเข้าใจว่าหลานทิงคิดจะใช้โจวเสาจิ่นมาบีบบังคับตน
โจวชูจิ่นหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ตะโกนเสียงดุดันว่า “เสาจิ่น หลบไป”
โจวเสาจิ่นระแวดระวังตัวเองเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่รอให้หลานทิงได้เข้ามาประชิดตัว ก็หมุนกายวิ่งไปถึงเสาที่อยู่ข้างๆ เก้าอี้มีเท้าแขนแล้ว
หลานทิงคว้าน้ำเหลว
โจวชูจิ่นรีบก้าวไปยืนขวางอยู่ตรงหน้าของโจวเสาจิ่นด้วยความรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นรีบเข้าไปดึงโจวชูจิ่น “ท่านพี่ๆ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางอยากจะดึงโจวชูจิ่นไปไว้ข้างหลังตัวเอง
โจวชูจิ่นยังไม่ขยับเขยื้อน แสยะยิ้มเย็นให้หลานทิงพลางกล่าวขึ้นว่า “ว่าอย่างไร เจ้ายังคิดจะทำร้ายผู้อื่นอีกอย่างนั้นหรือ”
ลำแสงพยาบาทสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของหลานทิง เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่จะได้กระทำอะไร ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็นำป้ารับใช้ร่างบึกบึนสองคนเข้ามาถึงอย่างรวดเร็ว
โจวชูจิ่นเห็นลำแสงในดวงตาของหลานทิงแล้วใจเต้น ตึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง
นางไม่น่าให้โจวเสาจิ่นมาที่นี่เลย
หลานทิงในตอนนี้เหมือนกับสัตว์ร้ายที่จนตรอก ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ศัตรูของมันได้ทุกเมื่อ
โดยไม่คิด นางดึงโจวเสาจิ่นไปหลบอยู่หลังเสา
หลานทิงไล่ตามเข้ามา
โจวชูจิ่นพาโจวเสาจิ่นไปซ่อนอยู่หลังโต๊ะวางดอกไม้ พร้อมกับยกกระถางดอกไม้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา เตรียมเอาไว้ว่าหากหลานทิงยังจะไล่กวดเข้ามาอีกนางจะเขวี้ยงมันออกไป
แต่ภรรยาของหม่าฟู่ซานที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ตกใจจนสติแตก นางกระโจนเข้าใส่หลานทิงอย่างไม่คิดชีวิต
หลานทิงโซซัดโซเซ ถูกกระโจนเข้าใส่จนล้มลงไปกลิ้งกับพื้น
ป้ารับใช้ร่างบึกบึนทั้งสองคนรีบวิ่งเข้าไป จับหลานทิงมัดเอาไว้ ยังอุดปากนางเอาไว้อีกด้วย
โจวชูจิ่นโกรธจนตัวสั่นระริกไม่หยุด ครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “เรียกคนจากสำนักนายหน้ามาให้ข้า ข้าจะขายสิ่งของที่ไม่รู้จักชั่วดีชิ้นนี้ทิ้งไปเสีย”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบกอดแขนของพี่สาวเอาไว้ ปลอบโยนพี่สาวว่า “อย่าโกรธเลยเจ้าค่ะๆ ระวังจะทำลายสุขภาพเอาได้นะเจ้าคะ”
แต่ตัวเองกลับลอบถอนหายใจอยู่ในใจ
สุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงจุดนี้จนได้
เห็นได้ชัดว่าเรื่องบางอย่างเปลี่ยนได้ แต่เรื่องบางอย่างก็เปลี่ยนไม่ได้
เช่นนั้นชะตาชีวิตของนางและอนาคตของตระกูลเฉิงเล่าจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
โจวเสาจิ่นเหม่อลอยเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่ง
โจวชูจิ่นกลับดึงตัวโจวเสาจิ่นออก แล้วมองสำรวจนางหัวจดเท้าไปมา ถามนางอย่างเอาใจใส่ว่า “นางได้ทำร้ายเจ้าตรงไหนหรือไม่”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
โจวชูจิ่นหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าหลานทิงเป็นคนที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ แต่เมื่อครู่เจ้าไม่ได้เห็นสายตาของนาง…ข้าเห็นแล้วยังรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ขายนางออกไปนั่นแหละดีแล้ว” กล่าวอีกว่า “อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เคยรับใช้ท่านแม่มาก่อน อีกทั้งยังอยู่ข้างกายท่านพ่อมานานขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่อาจปฏิบัติกับนางอย่างไม่เป็นธรรมเช่นกัน”
พี่สาวกำลังกลัวว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจ!
“ข้ารู้เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นเข้าไปซบตัวพี่สาว กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า เห็นว่าควรจะจัดการกับนางอย่างไรก็จัดการไปตามนั้นเถิดเจ้าค่ะ ถึงแม้ในใจข้าจะกระวนกระวาย แต่นิทานเรื่องหมาป่าอกตัญญูนั้นข้ารู้ดีเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นลูบศีรษะของนาง ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
ทางด้านภรรยาของหม่าฟู่ซานและคนอื่นๆ จับหลานทิงมัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พอได้ยินคำสั่งของโจวชูจิ่น นางถามขึ้นอย่างลังเลว่า “คุณหนูใหญ่ จะให้ไปเรียกคนจากสำนักนายหน้ามาจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ที่ผ่านมาตระกูลโจวยังไม่เคยขายคนออกไปเลยสักครั้ง
โจวชูจิ่นพยักหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “คนผู้นี้เก็บไว้ไม่ได้”
“เช่นนั้นคุณหนูทั้งสองท่านไปดื่มชาและพักผ่อนที่เรือนหลักก่อนเถิดนะเจ้าคะ” ภรรยาของหม่าฟู่ซานกล่าว “เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า สั่งการนางว่า “หาคนที่ภรรยาเสียชีวิตแล้วและต้องการแต่งงานใหม่มาผู้หนึ่ง ไม่เกี่ยงว่าจะขายในราคาเท่าไร แล้วก็นำเงินยี่สิบเหลี่ยงมอบให้คนที่มาซื้อด้วย บอกไปว่าเป็นค่าสินสอดจากข้า ต่อไปหากว่ามีเรื่องอะไร ก็มาหาเจ้าได้ แต่ต้องจับตาดูหลานทิงเอาไว้ดีๆ ห้ามให้นางหนีไปได้”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานขานรับแล้วออกไป
หลานทิงถูกกดอยู่บนพื้น ร้องไห้โฮๆ นัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำขณะจ้องโจวชูจิ่นไม่วางตา
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วใจสั่นระริก โอบไหล่ของโจวชูจิ่นเอาไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก “ท่านพี่ พวกเราไปเรือนหลักกันเถิดเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นก็ไม่อยากให้น้องสาวเห็นภาพโสมมนี้ จึงออกจากห้องโถงไปพร้อมกับโจวเสาจิ่น
ทั้งสองคนไปนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของเรือนหลัก ดื่มชาไปหลายจิบ อารมณ์ถึงค่อยสงบลงมา
ภรรยาของหม่าฟู่ซานได้นำคนของสำนักนายหน้าเข้ามาแล้ว จึงมาถามโจวชูจิ่นว่าต้องการพบสักหน่อยหรือไม่
“ไม่ต้อง” โจวชูจิ่นกล่าวอย่างอ่อนล้าเล็กน้อย “เจ้าคอยดูเอาไว้ก็พอแล้ว”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานขานรับแล้วถอยออกไป
โจวชูจิ่นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “พอข้าคิดว่าต่อไปข้าต้องมีชีวิตเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าการแต่งงานไม่มีความหมายอะไร…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
มีชีวิตมาสองชาติภพ นี่นับเป็นครั้งแรกที่พี่สาวพูดกับนางเช่นนี้
นางก้าวออกไปย่อเข่าลงตรงหน้าพี่สาว จับมือของพี่สาวเอาไว้ กล่าวอย่างจริงใจว่า “จะไม่เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ! พี่เขยเป็นคนที่ดีมาก เขาจะเป็นที่กำบังลมและที่หลบฝนให้ท่านได้ ท่านกับพี่เขยจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก และอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพลันหน้าแดงเรื่อ กล่าวเสียงขุ่นอย่างขัดเขินว่า “เจ้าเด็กแก่แดดผู้นี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าพูดออกมาได้ อย่าให้ผู้อื่นได้ยินเข้าเชียว!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่าพลางกล่าว “หากว่าท่านพี่ไม่เชื่อ ให้คนไปสืบดูก็ได้! พี่เขยเป็นคนที่ดีมากเจ้าค่ะ”
เลี่ยวเส้าถังเป็นคนดีมากจริงๆ
ก่อนแต่งงานมีสาวใช้อุ่นเตียงหนึ่งคน หลังจากที่ตกลงหมั้นหมายกับพี่สาวแล้วก็ขายออกไป จากนั้นก็ครองคู่อยู่กับพี่สาวด้วยดีเสมอมา ไม่ว่าคนตระกูลเลี่ยวจะพูดอะไร หรือแม้แต่ตอนที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลเฉิง พี่เขยก็คอยปกป้องพี่สาวอยู่ตลอด
หากว่ามีบุตรให้เร็วอีกสักหน่อย เช่นนั้นก็คงจะดียิ่งขึ้นไปอีก
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะรีบปักภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่จะมอบให้พี่สาวให้เสร็จเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
หากว่าปีหน้าโชคดีติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปจุดธูปที่เขาผู่ถัวได้จริงๆ ล่ะก็ นางจะเผาพระธรรมเพื่อขอพรให้พี่สาวสักหนึ่งเล่มก็แล้วกัน ส่วนตัวนางเองนั้น…อายุนางยังน้อย วันข้างหน้าก็ยังมีโอกาสอีก
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางลุกขึ้นยืน
ภรรยาของหม่าฟู่ซานส่งเสียงดังโหวกเหวกเข้ามา
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง” สีหน้าของนางกระวนกระวายเล็กน้อย “ท่านรีบไปดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ! หลานทิงเริ่มพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว”
ถ้วยชาในมือของโจวชูจิ่นร่วงลงบนโต๊ะน้ำชาเสียงดังกึงกัง “เช่นนั้นก็ไปบอกนาง นางอยากให้ข้ากรอกยาให้นางเป็นใบ้แล้วขายออกไป หรือว่าอยากออกไปในขณะที่ร่างกายยังสมบูรณ์ดีเช่นนี้”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานกลับอึกๆ อักๆ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน
โจวชูจิ่นย่นคิ้วขึ้น
ภรรยาของหม่าฟู่ซานจึงก้าวออกมาสองก้าว กระซิบข้างหูโจวชูจิ่นว่า “หลานทิงกล่าวว่า เฉิงไป่ทำให้ฮูหยินต้องตายเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมา
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดึงมือของพี่สาวเอาไว้อย่างร้อนรน ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะๆ”
โจวชูจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร สายตาจับจ้องค้างอยู่บนใบหน้าของโจวเสาจิ่น
นางนึกถึงท่าทางของน้องสาวตอนยังตัวแดงๆ และถูกห่ออยู่ในผ้าอ้อมยามเกิดมาใหม่ๆ นึกถึงท่าทางของนางตอนส่งยิ้มขัดเขินมาให้ตนยามกระทำผิดแล้วถูกตนอบรมสั่งสอน นึกถึงท่าทางของนางตอนกระโจนตัวเข้ามาสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมอกของตนยามนางได้รับความทุกข์ใจ…แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ นึกถึงท่าทางของน้องสาวตอนทำเสื้อผ้าให้ตน ท่าทางหัวเราะคิกคักยามกอดแขนของตนเอาไว้ และท่าทางยามต้องการใช้ตัวนางบังตนเอาไว้ด้วยกลัวว่าหลานทิงจะมาทำร้ายตน
น้องสาวค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
รู้จักรักและเป็นห่วงนางแล้ว
โจวชูจิ่นน้ำตาคลอ สีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าตามข้ามา!”
…………………………………………………………………………….