ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 146 เทศกาลล่าปา
เมื่อถึงวันเทศกาลล่าปาในวันนั้น อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับในทันทีทันใด จู่ๆ ก็มีลมหนาวที่หนาวเสียดแทงถึงกระดูกพัดโชยมา
เฉิงเจียสวมชุดเสื้อคลุมขนกระรอกเดินเข้ามา ใบหน้าแดงระเรื่อ มาถึงแล้วแต่ไม่เข้ามาในห้อง กลับยืนอยู่ใต้โถงทางเดินมองไปยังกิ่งไม้แห้งไร้ใบของต้นทับทิมที่ถูกลมพัดไปทางซ้ายทีทางขวาทีจนคดงอแล้วหัวเราะเสียงดัง เอ่ยถามโจวเสาจิ่นที่เดินออกมาต้อนรับนางว่า “เจ้าว่าปีนี้จะมีหิมะตกหนักหรือไม่”
ความทรงจำของโจวเสาจิ่นยังคงหยุดอยู่ที่ฤดูหนาวของจิงเฉิงที่มีหิมะตกจนกองสูงเป็นพะเนิน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดมึนงงไม่ได้
เฉิงเจียถอนหายใจกล่าว “ปีที่แล้วไม่มีหิมะตก แต่หวังว่าปีนี้จะมีหิมะตก พวกเราจะได้ปั้นตุ๊กตาหิมะเล่นกัน!”
อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะห่วงเล่นเรื่องพวกนี้อยู่อีก
โจวเสาจิ่นรีบกวักมือเรียกนางเข้าไปนั่งในห้อง “…ด้านนอกอากาศหนาวเกินไปแล้ว”
“หนาวสิถึงจะดี” เฉิงเจียกล่าวยิ้มๆ “อากาศหนาวเหมาะกับการรับประทานโจ๊กพอดี” และถามนางว่า “โจ๊กของเจ้าใส่อะไรบ้างหรือ”
“มีเม็ดบัว ถั่วลิสง ถั่วแดง ลำไย ลูกเดือย…” โจวเสาจิ่นพูดไปด้วยพลางเดินเข้าเข้าไปด้านในพร้อมกับเฉิงเจียไปด้วย “เป็นอะไรไป”
ภายในห้องจุดเตาไฟเอาไว้สองเตา ลมร้อนลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้เฉิงเจียลมหายใจสะดุด
นางร้องขึ้นว่า “เจ้าจุดเตาไฟเยอะแยะขนาดนี้ไปทำไมกัน”
“ก็มันหนาวมาก” โจวเสาจิ่นกล่าว “ต้องซุกตัวอยู่ในผ้านวมกว่าครึ่งค่อนวันถึงจะรู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย”
เฉิงเจียเบิกตาโตอย่างตกใจ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ใช้โถน้ำร้อนหรือ”
“โถน้ำร้อนก็ไม่ช่วยอะไร” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้ารู้สึกว่ามันหนาวมาก”
ไม่เหมือนกับตอนอยู่จิงเฉิง ความร้อนกระจายอยู่ตามท่อใต้พื้นเรือน ไม่ว่ามือจะไปแตะโดนที่ใดก็ร้อนไปเสียทุกที่
เฉิงเจียรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อไรจี๋อิ๋งจะมาหรือ ตอนที่ข้าออกมา พี่สะใภ้สือนำโจ๊กล่าปาไปส่งให้พอดี เห็นว่ามีข้าวเหนียวขาว ข้าวฟ่าง ข้าวหอมแดง ข้าวเหนียวดำ…เคี่ยวออกมาจากข้าวทั้งหมดแปดชนิด ให้ความสดชื่นว่าโจ๊กล่าปาทั่วไปนัก ข้าอยากจะชิมสักคำก่อนแล้วค่อยออกมา แต่ก็กลัวว่าพวกเจ้าจะรอ ยังไม่ทันได้เหลือบดูสักครั้งก็เร่งรีบมาที่นี่เสียก่อน หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจี๋อิ๋งยังไม่มา ข้าก็คงจะออกให้ช้ากว่านี้อีกสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นนิ่งงัน
โจวชูจิ่นเดินเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเอาโจ๊กไปอุ่นเอาไว้ที่เตาในห้องน้ำชาแล้ว รอจี๋อิ๋งมาถึงก็รับประทานกันได้เลย”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เฉิงเจียกระโดดตัวโหยงขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าเป็นโจ๊กล่าปาที่เจ้าทำขึ้นเองหรอกหรือ เหตุใดถึงเป็นพี่สาวชูจิ่นเป็นผู้ลงครัวไปทำได้เล่า”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโจ๊กล่าปานั้นต้องทำอย่างไรบ้าง” โจวเสาจิ่นถลึงตาใส่เฉิงเจียพลางกล่าว “อย่างพวกเม็ดบัว ถั่วแดง และลูกเดือยพวกนั้น ต้องแช่น้ำเอาไว้ล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน…วันนี้ข้าตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยามเหม่าเจิ้ง[1] คอยใช้ทัพพีคนโจ๊กอยู่ตลอดด้วยกลัวว่าพวกมันจะจับตัวกันเป็นก้อน หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงจะสวมผ้ากันเปื้อนสักผืนขณะออกไปต้อนรับเจ้า!”
เฉิงเจียหัวเราะร่า ดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่น พลางกระซิบว่า “เลวร้ายที่สุด งั้นข้าจะเลี้ยงขนมเค้กเกาลัดของร้านฉีฟางไจเจ้าก็แล้วกัน”
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา
ขณะที่ภายในห้องกำลังครื้นเครงกันอยู่นั้น ซือเซียงก็เข้ามารายงานว่า “แม่นางจี๋อิ๋งมาแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญนางเข้ามา” ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังพูด ผ้าม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น แล้วจี๋อิ๋งก็เดินเข้ามาด้วยตัวเอง
นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงกุหลาบลายดอกไม้ ด้านในเป็นเสื้อเจี๋ยเอ่ากันหนาวสีเขียวอ่อนต้นหลิว เส้นผมดำขลับนั้นม้วนขึ้นเป็นมวยง่ายๆ มวยหนึ่ง สวมตุ้มหูไข่มุก ในมือถือกล่องของขวัญเอาไว้ด้วยหนึ่งกล่อง ประหนึ่งกำลังจะไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านของใครสักคนก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกออกมา
จี๋อิ๋งมองโจวเสาจิ่นอย่างไม่เข้าใจ
โจวเสาจิ่นกลัวว่าจี๋อิ๋งจะเข้าใจผิดว่านางหัวเราะเยาะนาง จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าดูท่าทางของเจ้าแล้วเสมือนกับว่ากำลังจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านอย่างไรอย่างนั้น นี่ยังไม่ถึงเทศกาลปีใหม่เลย! หรือต่อให้เป็นช่วงขึ้นปีใหม่ ก็เพียงพี่สาวน้องสาวที่อาศัยอยู่ในซอยเดียวกันผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการขนาดนี้ก็ได้”
จี๋อิ๋งถึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมา
ทันใดนั้นนางก็กัดฟันกรอด กล่าวขึ้นว่า “ฉินจื่อผิง เจ้ารอเอาไว้เลย คอยดูเถิดข้ากลับไปแล้วจะจัดการเจ้าให้สาสม!”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “นี่เกี่ยวอะไรกับฉินจื่อผิงด้วยรึ”
“นี่เป็นของที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ข้า!” จี๋อิ๋งชี้ไปที่กล่องของขวัญ “เป็นขนมทั้งแปดของร้านฉีฟางไจ ข้าบอกว่าไม่ต้อง เขาก็ยังยืนยันจะให้ข้าให้ได้ ยังบอกด้วยว่านี่เป็นธรรมเนียมของพวกเจ้าที่นี่!”
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา
โจวชูจิ่นบอกนางเสียงอ่อนโยนว่า “หากมีของขวัญมากผู้คนย่อมไม่ตำหนิ แต่วันนี้เป็นเพียงการรวมตัวกันเล็กๆ ระหว่างพี่สาวน้องสาวกันเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจมากขนาดนี้ก็ได้ แต่หากเจ้าคิดจะนำของอะไรมาให้จริงๆ ก็ให้เลือกจากของที่ตัวเจ้าเองชอบกินหรือที่เจ้าเห็นว่าน่ารับประทาน แล้วนำมาให้พวกนางลองชิมดูสักหน่อยก็พอแล้ว”
จี๋อิ๋งกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ครั้งนี้โจวชูจิ่นเห็นชัดเจนแล้ว
คนอื่นอาจมองว่าจี๋อิ๋งมีหน้าตางดงามและเย็นชาทำให้ผู้คนหวาดหวั่นใจ ทว่าจริงๆ แล้วกลับเหมือนโจวเสาจิ่นไม่มีผิด เป็นคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรในใจ
นางสั่งให้ซือเซียงไปยกโจ๊กเข้ามา จากนั้นพวกนางก็นั่งล้อมวงกันที่โต๊ะกลมในห้องโถงรับแขก
ซือเซียงยกโจ๊กเข้ามา กำลังจะกล่าวคำอวยพร เฉิงอี้ก็เข้ามาพอดี
“กลิ่นหอมยิ่งนัก!” เขาทำจมูกฟุดฟิด “พวกเจ้าแอบมากินโจ๊กกันอยู่ที่นี่แต่กลับไม่ยอมเรียกข้าด้วย” ขณะที่เขากล่าว สายตาที่ตกอยู่บนร่างของจี๋อิ๋งก็ถูกความงามนั้นทำให้ตกตะลึงจนตาค้าง
จี๋อิ๋งย่นคิ้วขึ้น
โจวเสาจิ่นรีบกระแอมไอทีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายอี้ ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“หากไม่มีเรื่องอะไรข้ามาหาเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร” นัยน์ตาของเฉิงอี้ราวกับตอกตรึงติดอยู่บนร่างของจี๋อิ๋ง กล่าวขึ้นอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “พวกเจ้าคงไม่ทำโจ๊กเพียงเท่านี้หรอกกระมัง ตักมาให้ข้าชิมสักชามเถอะ! ข้าจะดูว่าต่างกับโจ๊กที่ท่านแม่ของข้าทำมาอย่างไรบ้าง”
เฉิงเจียรับไม่ได้ ตรงเข้าไปเตะเท้าของเฉิงอี้
เฉิงอี้กุมหน้าแข้งเอาไว้ ขมวดคิ้วมุ่น หมายจะพูดบางอย่างกับเฉิงเจีย ปรากฏว่าเมื่อเหลือบมองไปทางหางตา ก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดนั้นลงไป จากนั้นปล่อยมือออกจากหน้าแข้ง พลางปัดปลายชุดคลุมทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวขึ้นว่า “บุรุษที่ดีไม่ทะเลาะกับสตรี ข้าไม่ทำตัวระดับเดียวกับเจ้าหรอก”
เฉิงเจียสีหน้าเปลี่ยน
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
ตัวนางเองก็เคยพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน และก็ทราบอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายของจี๋อิ๋งเป็นอย่างดี แต่คนที่ทำเรื่องนี้เป็นพี่ชายที่นางเล่นด้วยมาตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้นางไล่เขากลับออกไป เกรงว่าเขาก็คงหน้าหนาอยู่ที่นี่ต่อไปและไม่ยอมจากไปเป็นแน่
โจวเสาจิ่นหันไปส่งสายตาให้ซือเซียงครั้งหนึ่ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ประเดี๋ยวให้เจ้าบอกว่าท่านยายตามหาเขา แล้วส่งเขาออกไปเสีย”
ซือเซียงเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี หลังจากที่วางชามและตะเกียบเรียบร้อยแล้วก็ออกไปรอด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “คุณชายรอง นายหญิงผู้เฒ่าให้ท่านไปหาเจ้าค่ะ!”
เฉิงอี้ที่กำลังกระซิบถามโจวเสาจิ่นว่าจี๋อิ๋งเป็นใครอยู่พอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้กระมัง”
ซือเซียงกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ข้าจะหลอกท่านไปเพื่ออะไรล่ะเจ้าคะ! สะใภ้ใหญ่สือนำมาโจ๊กล่าปามาส่งให้แล้วเจ้าค่ะ”
โดยปกติแล้วในเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะนำโจ๊กมาแบ่งให้พวกเขา
เฉิงอี้จำต้องเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้
จี๋อิ๋งผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขาเป็นพี่ชายของเจ้าล่ะก็ ข้าก็คงจะฟาดฝ่ามือเข้าให้ไปตั้งนานแล้ว”
โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียต่างยิ้มออกมาอย่างอีหลักอีเหลื่อ
โจวชูจิ่นเองเองก็อดยิ้มไม่ได้ รู้สึกว่าจี๋อิ๋งเป็นอย่างที่น้องสาวบอกเอาไว้จริงๆ ช่างเป็นคนที่มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก
มีคนเลิกผ้าม่านขึ้นเดินเข้ามา
จี๋อิ๋งและคนอื่นๆ สีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย เมื่อหันมองไปตามเสียงกลับพบว่าเป็นฉือเซียง
ทั้งสามคนผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
ฉือเซียงรายงานว่า “พ่อบ้านหม่าให้คนนำความมาแจ้งว่า เรือขนฝ้ายจากเมืองจิงโจวลำนั้นจะเข้ามาเทียบท่าที่สะพานเจียงตงในอีกหนึ่งชั่วยามนี้ จึงมาถามคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองว่าจะไปรออยู่ที่ถนนผิงเฉียวเลย หรือว่าจะรอให้มีเวลาว่างแล้วค่อยไปเจ้าคะ”
สองพี่น้องตระกูลโจวลุกขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
โจวชูจิ่นหมุนกายไปกดตัวของโจวเสาจิ่นให้นั่งลงบนเบาะที่นั่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกหม่าฟู่ซานว่าข้าจะไปรออยู่ที่ถนนผิงเฉียว”
โจวเสาจิ่นเปล่งเสียงเรียก “พี่สาว” ออกมาครั้งหนึ่งอย่างร้อนรน หมายจะลุกขึ้นยืน
โจวชูจิ่นออกแรงกดโจวเสาจิ่นให้นั่งลงไป กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารออยู่ที่บ้านนี่แหละ ถึงเวลาค่อยช่วยข้าเขียนจดหมายไปบอกท่านพ่อก็พอ”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าตนตามไปด้วยไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าเพราะมีเฉิงเจียกับจี๋อิ๋งอยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้พวกนางไม่อยู่ที่นี่ด้วย การที่พวกนางสองพี่น้องกลับไปที่ถนนผิงเฉียวติดต่อกันเช่นนี้ ย่อมอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความสนใจใคร่รู้ได้
นางต้องรั้งอยู่ที่นี่เพื่อเป็นกำบังให้พี่สาว
นอกจากนี้วันนี้ยังเป็นเทศกาลล่าปา อีกประเดี๋ยวยังต้องไปคำนับท่านยายอีก พวกนางสองพี่น้องจะไม่อยู่บ้านพร้อมกันได้อย่างไร “ท่านพี่” โจวเสาจิ่นเงยหน้ามองโจวชูจิ่น ในดวงตากลมโตแววใสคู่นั้นมีความวิตกกังวลมากมาย “ท่านรีบไปรีบกลับนะเจ้าคะ โจ๊กที่สะใภ้ใหญ่สือส่งมาให้นั้น ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
มีความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของโจวชูจิ่น
นางคิดไม่ถึงว่าน้องสาวจะเข้าใจความหมายของนาง
โจวชูจิ่นอดยิ้มออกมาไม่ได้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ากินโจ๊กเถอะ ไม่ต้องรอข้า ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด”
ทั้งสามคนลุกขึ้นไปส่งโจวชูจิ่นที่ประตู
เฉิงเจียจึงถามขึ้นว่า “ที่บ้านของพวกเจ้ายังทำกิจการค้าฝ้ายอยู่อีกหรือ เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าควรมอบให้พ่อบ้านเป็นผู้จัดการหรอกหรือ เหตุใดพี่ชูจิ่นถึงต้องออกหน้าเองด้วย หรือไม่ ให้ข้าไปบอกพี่ชายของข้า ให้เขาส่งพ่อบ้านไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
จี๋อิ๋งกลับดูจมอยู่ในห้วงความคิด
โจวเสาจิ่นรู้ว่าจี๋อิ๋งกำลังสงสัยอยู่ในใจ จ้องมองนางขณะที่นางตอบคำถามเฉิงเจีย “ช่วงนี้ที่บ้านของข้าเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย พี่สาวไปดูสักหน่อยก็พอ ตอนนี้ยังไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไร หากว่าต้องการเมื่อไร ข้าจะบอกเจ้าอย่างแน่นอน”
เฉิงเจียพยักหน้า แล้วนั่งลงข้างๆ โต๊ะกลม
จี๋อิ๋งหันไปยิ้มให้โจวเสาจิ่นอย่างโล่งใจ
***
ตอนที่โจวชูจิ่นกลับมาถึงนั้นก็เริ่มจุดตะเกียงยามเย็นแล้ว
ครั้งนี้ดูไม่ยินดีเหมือนตอนที่ได้รับข่าวจากหม่าชื่อในครั้งก่อน เห็นได้ชัดว่านางทั้งโกรธแค้นและเหนื่อยอ่อน
โจวเสาจิ่นกระวีกระวาดเข้าไปประคองโจวชูจิ่นเอาไว้
“ซินหลานเป็นคนทำจริงๆ!” นางหน้าซีดเผือด ทว่าแก้มกลับแดงก่ำประหนึ่งแต้มแต่งด้วยสีชาดก็ไม่ปาน “เป็นเฉิงไป่ที่ยุยงส่งเสริมให้นางทำ…นางรู้สึกว่าท่านแม่ควรจะแต่งให้กับเฉิงไป่ หากเป็นเช่นนั้นนางเองก็จะได้รับใช้เฉิงไป่ด้วย…เฉิงไป่สัญญาว่าหลังจากที่เรื่องสำเร็จแล้วจะให้นางไปอยู่ด้วย นางก็เลยทำ…ข้าอยากจะเลาะหนังของนางเสีย…”
โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร
นางหายใจไม่ออกรู้สึกในใจหนักอึ้งราวกับผ้าที่ถูกพรมน้ำจนเปียกชื้น ทว่าท่อนขากลับไร้เรี่ยวแรงบางเบาประหนึ่งย่ำอยู่บนสำลีอย่างไรอย่างนั้น
แค่เพราะว่าชอบเฉิงไป่ ถึงกับช่วยเฉิงไป่ทำร้ายคนอื่นได้เลยหรือ!
นางนึกถึงเฉิงลู่
ความโกรธแค้นในชาติก่อนดูเหมือนกับได้เดินทางผ่านห้วงแห่งกาลเวลามาลุกไหม้อยู่ในใจนาง
เหตุใดถึงมีคนที่จิตใจเลวทรามไร้ซึ่งความละอายได้ขนาดนี้ ทำร้ายมารดาของนางจนตายไปแล้ว ยังจะมาทำร้ายนางอีก!
ยังมีหลานทิงอีกคน ทั้งๆ ที่ค้นพบว่าเฉิงไป่กับซินหลานสมรู้ร่วมคิดกัน เหตุใดถึงไม่บอกบิดาของนาง ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องมาโดยตลอด ท่านแม่เคยดุด่านางอย่างไร้เหตุผลหรือว่าเคยลงโทษนางอย่างไม่เป็นธรรมหรืออย่างไร นางไม่สำนึกในบุญคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ยังมองดูซินหลานที่ลอยนวลจากการลงโทษของกฎหมายได้อย่างสบายใจได้อยู่อีก!
จิตใจของพวกนางทำด้วยอะไรกันแน่!
“ท่านพี่” โจวเสาจิ่นได้ยินตัวเองกล่าวขึ้นเสียงแหลมว่า “ต้องให้ทางการตัดสินโทษพวกนางอย่างสาสม ไม่อาจปล่อยพวกนางไปเช่นนี้ได้! ท่านแม่ต้องเสียชีวิตไปอย่างอยุติธรรมเกินไปแล้ว!”
โจวเสาจิ่นนึกถึงมารดาผู้ที่นางไม่เคยมีภาพความทรงจำหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อยแล้ว ขอบตาของนางก็รื้นชื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ข้ารู้ๆ” เมื่อกลับถึงห้องของตัวเอง โจวชูจิ่นก็ล้มตัวลงบนเตียงเสมือนกับว่าได้ถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้นแล้ว “หากตอบแทนกรรมชั่วด้วยกรรมดีแล้ว จะตอบแทนกรรมดีด้วยอะไรเล่า ถ้าหากฆ่าคนแล้วเพียงวางมีดลง เพียงยอมแก้ไขตัวเองเป็นคนใหม่ เพียงร้องไห้แล้วพร่ำพูดเพียงไม่กี่ครั้งว่า เป็นข้าที่ทำไม่ถูกต้อง แล้วก็ได้รับการให้อภัยแล้ว เช่นนั้นจะมีผู้ใดอยากเป็นคนดีและทำตามกฎหมายของบ้านเมืองเล่า พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านลุงใหญ่เหมี่ยน ท่านพ่ออยู่ไกลเกินไป เรื่องนี้คงต้องให้ตระกูลเฉิงช่วยออกหน้าให้”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปเขียนจดหมายเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………………..
[1] ยามเหม่าเจิ้ง คือ เวลา 6 นาฬิกา