ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 149 กลับมา
ไหวซานเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ในเมื่อท่านไม่ได้รับราชการ เหตุใดถึงอยากจะได้ตำแหน่งยศผิ่นขั้นสี่หรือขอรับ”
เฉิงฉือพิงพนักเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างอิดโรยเล็กน้อย พลางตอบว่า “หลายปีมานี้เซียงจื้อหย่งผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของไหวอันช่วยพวกเราเอาไว้ไม่น้อย ข้าจะไปแล้ว แต่ไม่อาจไม่เตรียมการเอาไว้ให้ผู้คนเหล่านี้ได้ ไหวอันนั้นสลับซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร เบื้องหน้ามีจวนของผู้ว่าการขนส่งทางน้ำกับผู้ว่าการจัดการเกลือของสองฟากฝั่งแม่น้ำไหว เบื้องหลังมีเจ้าเมืองไหวอันกับนายอำเภอไหวอัน ข้าไตร่ตรองดูแล้วหากโยกย้ายเขาไปที่ซงเจียงหรือหูโจว จะดีจะร้ายก็เป็นขุนนางชั้นสูงที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมของกรมใดกรมหนึ่ง ไม่ต้องถูกผู้อื่นบีบคั้นมากนัก”
คำพูดที่เสมือนกับคำสั่งเสียเช่นนี้ทำให้ไหวซานรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาพยักหน้าตอบเบาๆ พลางกล่าวว่า “นายท่านสี่พิจารณาได้อย่างรอบคอบ เซียงจื้อหย่งผู้นี้ก็รั้งอยู่ในตำแหน่งเลขานุการของเมืองไหวอันมาเกือบสิบปีแล้ว จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการโยกย้ายสถานที่แล้วขอรับ”
เฉิงฉือพยักหน้า พลางกล่าวว่า “หลักๆ เป็นเพราะเขาพัวพันกับพวกเรามากเกินไป หลังจากที่ข้าไปแล้ว เกรงว่าวันเวลาของเขาจะไม่สู้ดี แต่ที่เจ้อเจียงมีซ่งเซียนหมิง ด้วยเห็นแก่หน้าของข้า ขอเพียงเซียงจื้อหย่งไม่กระทำความผิดใดๆ ไม่ว่าอย่างไรซ่งเซียนหมิงก็ปกป้องเขาให้อยู่รอดปลอดภัยได้ รออีกสักสองสามปี เมื่อเรื่องเงียบลงแล้ว วิหคก็จะโบยบินสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ได้อย่างอิสระ มัจฉาก็จะแหวกว่ายไปตามมหาสมุทรอันไพศาลได้อย่างเสรีแล้ว”
ไหวซานนิ่งงัน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “จริงสิ ในเมื่อเฉิงเจียซ่านจะไม่กลับมาฉลองปีใหม่ที่นี่ ด้วยอุปนิสัยของท่านแม่ของข้า ย่อมต้องให้หยวนซื่อไปร่วมฉลองกับพวกเขาพ่อลูกที่จิงเฉิงด้วยอย่างแน่นอน ตรุษจีนปีนี้ท่านแม่คงจะรู้สึกโดดเดี่ยวไม่น้อย เจ้าไปแจ้งคนที่เรือนหานปี้ซานให้ที บอกว่าปีนี้ข้าจะร่วมส่งท้ายปีกับท่านแม่ พวกเจ้าก็จัดเตรียมพลุกับดอกไม้ไฟเอาไว้สักหน่อย…ท่านแม่ชื่นชอบการจุดพลุยิ่งนัก ข้ายังจำตอนที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่ได้ดี ทุกๆ ปีในช่วงตรุษจีนเขาจะซื้อพลุกลับมามากมาย อ้างว่าซื้อมาเพื่อให้ข้าเล่น แต่ความจริงแล้วก็คือต้องการจะเอาใจท่านแม่…”
ขณะที่เขากล่าว ก็ค่อยๆ ดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความทรงจำ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา
***
ณ เรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นมองซือเซียงอย่างประหลาดใจ พลางเอ่ยว่า “เจ้าว่าอะไรนะ หลี่ฉางกุ้ยกลับมาแล้ว!”
หลี่ฉางกุ้ยคือบริวารของโจวเจิ้น
“เจ้าค่ะ!” ซือเซียงตอบ “บอกว่าพอนายท่านได้รับจดหมายของคุณหนู ก็เดือดดาลยิ่งนัก และให้หลี่ฉางกุ้ยเร่งกลับมาภายในคืนนั้นเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินได้ยินว่าหลี่ฉางกุ้ยจะกลับมา ก็คิดได้ว่าใกล้ถึงปีใหม่แล้ว จึงส่งหลี่มามาคนข้างกายเดินทางมาคารวะคุณหนูทั้งสองท่านด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นย่นคิ้ว พลางถามว่า “นับวันดูแล้ว ฮูหยินก็น่าจะใกล้คลอดแล้วกระมัง เวลาเช่นนี้ ไฉนถึงได้ส่งหลี่มามามาอีก ส่งมามาคนอื่นมาสักคนก็ได้แล้ว นี่จะไม่เป็นการสร้างความลำบากอย่างไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”
ซือเซียงเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทว่ากลับขบคิดอยู่ในใจ เกรงว่าพอฮูหยินคนใหม่ได้รับข่าว แล้วทราบว่าคุณหนูทั้งสองคนจับหลานทิงเข้าคุกไปแล้ว จึงรู้สึกลิงโลดอยู่ในใจ และส่งมามาคนสนิทมากล่าวขอบคุณคุณหนูทั้งสองท่านเป็นแน่
จะว่ามากล่าวขอบคุณ ก็เกรงว่ายังไม่อาจเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมาได้
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อหลี่มามาผู้นั้นได้พบคุณหนูทั้งสองท่านแล้วจะกล่าวอะไรบ้าง
นางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูใหญ่กำลังสนทนากับหลี่ฉางกุ้ยอยู่เจ้าค่ะ หลี่มามาจึงรออยู่ด้านานอก ท่านว่า…”
“เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาเถอะ!” โจวเสาจิ่นตอบ ครุ่นคิดว่าตนเองก็ควรจะช่วยพี่สาวดูแลจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้าง นอกจากนี้นางก็อยากจะทราบเหลือเกินว่าตอนนี้บิดาเป็นอย่างไรแล้ว
ซือเซียงตอบรับแล้วออกไป ไม่นานนักก็เดินนำหลี่มามาเข้ามา
หรือว่าด้วยเหตุที่เร่งเดินทางมาข้ามวันข้ามคืน หลี่มามาที่สวมชุดสีเขียวนกแก้วจึงดูซีดเซียวลงไปเล็กน้อย
ครั้นนางเดินเข้ามาก็โขกศีรษะให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นตกใจเล็กน้อย
แม้จะกล่าวว่ามาคารวะพวกนางพี่น้อง แต่หลี่มามาเป็นบ่าวรับใช้ของหลี่ซื่อ หลี่ซื่อเป็นมารดาเลี้ยงของพวกนาง เมื่อน้ำขึ้นเรือย่อมลอยสูงขึ้น หลี่มามาควรปฏิบัติกับพวกนางอย่างเคารพนบนอบก็จริง แต่นี่ก็ออกจะพินอบพิเทาเกินไปแล้ว!
นางบอกให้ซือเซียงยกเก้าอี้เล็กตัวหนึ่งเข้ามา
หลี่มามากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะๆ” แล้วกล่าวอีกว่า “ตอนที่ข้าเดินทางมา ฮูหยินกำชับเอาไว้ว่า ห้ามผู้น้อยเสียกิริยายามอยู่ต่อหน้าคุณหนูทั้งสองท่านเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นจึงไม่รบเร้าอีก แล้วถามไถ่ถึงหลี่ซื่อก่อน พอทราบว่านางสบายดีทุกประการ จากนั้นจึงถามไถ่ถึงโจวเจิ้นว่า “…ท่านพ่อสบายดีหรือไม่”
“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นายท่านจะสบายดีได้อย่างไรเจ้าคะ!” หลี่มามาซับขอบตา “ทั้งกินไม่ได้ ดื่มไม่ลง และนอนไม่หลับเลยเจ้าค่ะ เพียงผ่านไปแค่คืนเดียว ก็เห็นได้ว่าซูบผอมลงไปมาก บุคคลที่ใจดีขนาดนั้น ที่ยามเห็นพวกข้าที่แม้จะเป็นบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็ยังปฏิบัติด้วยอย่างเมตตาปรานี ทว่าตอนนี้แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเรื่องเดียวกลับบันดาลโทสะดั่งอัสนีบาต พวกข้าก็ไม่รู้ว่ากระทำผิดตรงที่ใด ทั้งๆ ที่กระทำทุกอย่างเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจสักอย่างเลยเจ้าค่ะ…ฮูหยินกล่าวว่า นายท่านราวกับมีเพลิงพลุ่งพล่านอยู่ในใจก็ไม่ปาน! ปล่อยให้ระบายเพลิงโทสะนี้ออกมาให้หมดก็คงจะดีขึ้น แต่สุดท้ายฮูหยินกลับยังคงเป็นห่วงนายท่าน แม้อุ้มท้องแก่อยู่ และมองเห็นว่าใกล้คลอดเต็มที แต่ก็ยังรออยู่ในห้องน้ำชาทุกวัน ด้วยเกรงว่านายท่านจะต้องการน้ำหรือน้ำชา…ฮูหยินครุ่นคิดดูแล้วก็กลัวว่าคุณหนูทั้งสองท่านจะรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งเป็นกังวลถึงนายท่าน จึงให้ข้ากลับมาพร้อมกับหลี่ฉางกุ้ยเป็นการเฉพาะ บอกว่าเผื่อคุณหนูทั้งสองท่านมีคำถามอะไร หากข้ากลับมาด้วยก็จะมีคนตอบคำถามได้สักคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อขบคิดได้อย่างรอบคอบจริงๆ
โจวเสาจิ่นผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “หลี่ฉางกุ้ยจะกลับไปเมื่อใด”
หลี่มามากัดฟันแน่นพลางตอบว่า “เขาจะรอจนกว่าหลานทิงกับซินหลานบ่าวชั่วช้าสองคนนั้นถูกตัดสินโทษก่อนถึงจะกลับไปเจ้าค่ะ แต่ข้าต้องเร่งกลับไปคืนนี้ ฮูหยินใกล้จะคลอดแล้ว ข้าไม่กล้ารั้งอยู่นานเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลางกล่าวว่า “ทางด้านท่านพ่อ คงต้องขอให้ฮูหยินช่วยดูแลใส่ใจให้มาก ส่วนฮูหยิน เจ้าก็ต้องดูแลให้ดี”
“เป็นหน้าที่ของบ่าวเฒ่าผู้นี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ ไม่กล้าให้คุณหนูต้องกำชับเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค จากนั้นหลี่มามาก็ล้วงถุงเงินสองถุงออกจากแขนเสื้อ เป็นถุงสีแดงชาดใบหนึ่ง สีน้ำเงินไพลินใบหนึ่ง ต่างปักเอาไว้ด้วยลายดอกไม้ “เนื่องจากรีบออกเดินทาง ฮูหยินจึงหาซื้อของขวัญให้คุณหนูทั้งสองท่านไม่ทัน ทำได้เพียงมอบถุงเงินสองถุงให้ข้านำมามอบให้คุณหนูทั้งสองท่านเท่านั้น บอกว่ามอบเป็นเงินแต๊ะเอียล่วงหน้าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงรับมา
จากนั้นโจวชูจิ่นก็เดินเข้ามา
สีหน้าของนางเยียบเย็นเล็กน้อย พูดคุยกับหลี่มามาสองสามประโยค พอทราบว่านางเพียงแค่มาคารวะพวกนางสองพี่น้อง จึงตกรางวัลเป็นอาหารมื้อหนึ่งและเงินอีกสิบเหลี่ยงให้นาง แล้วให้ฉือเซียงติดตามนางไปรับอาหารมื้อนั้นที่เรือนหลัง
โจวเสาจิ่นรีบนั่งลงข้างพี่สาว พลางเอ่ยถามว่า “หลี่ฉางกุ้ยว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ทว่าโจวชูจิ่นกลับเลี่ยงที่จะตอบ “จี๋อิ๋งไม่น่าจะเป็นทาสรับใช้หรอกกระมัง เจ้าพอทราบหรือไม่ว่าบ้านของนางอยู่ที่ใด ครอบครัวของนางมีคนเช่นไรบ้าง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นตกตะลึง “ไฉนจู่ๆ ท่านจึงถามถึงจี๋อิ๋งล่ะเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นตอบว่า “หลี่ฉางกุ้ยกลับมาจากคุกของศาลาว่าการเมือง แล้วถามว่าพวกเราสองพี่น้องรู้เรื่องที่มีพัศดีอยู่ในคุกได้อย่างไร ถามว่าเป็นความคิดของท่านลุงใหญ่เหมี่ยนหรือเปล่า ยังกล่าวอีกว่า ที่ท่านพ่อส่งเขามาคราวนี้ก็เพื่อจัดการเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าพวกเราสองพี่น้องกับบิดาจะคิดเห็นเหมือนกัน ยังชมข้าอีกว่านี่คือกลวิธีที่มากด้วยประสบการณ์ มีเพียงขุนนางอาวุโสเหล่านั้นเท่านั้นที่จะรู้”
แม้ว่าเมื่อนางมีเรื่องอะไรก็จะเล่าให้พี่สาวฟังทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจี๋อิ๋ง หากจี๋อิ๋งไม่ยินยอม นางก็ไม่อาจบอกพี่สาวได้ แต่จะปกปิดไม่บอกพี่สาวนางก็ทำไม่ได้อีก
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีก กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องถามจี๋อิ๋งก่อนถึงจะเล่าเรื่องของครอบครัวนางให้ท่านฟังได้เจ้าค่ะ”
เห็นทีว่าก็มีเรื่องที่ตนเลือกไม่ได้อยู่เหมือนกัน!
แต่ที่จี๋อิ๋งทำดีกับน้องสาวก็เป็นความจริงใจอย่างแท้จริง
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” โจวชูจิ่นเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมาบนใบหน้า “ผู้อื่นแนะนำวิธีดีๆ มาให้พวกเรา พวก…เรากลับคิดจะซักไซ้ไล่เลียงถึงชาติกำเนิดของคนผู้นั้น คิดดูแล้วคงจะทำให้คนผู้นั้นผิดหวังและเสียใจยิ่งนัก วันหลังหากมีโอกาส ข้าค่อยไปถามนางด้วยตนเองก็แล้วกัน”
เป็นเช่นนี้ก็ดี
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “แล้วหลี่ฉางกุ้ยยังกล่าวอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านพ่อให้เขาอยู่หารือกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยน ดูว่าจะลงโทษประหารซินหลานกับหลานทิงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงได้หรือไม่” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขัดใจเล็กน้อย “เช่นนั้นจะไม่เป็นการปล่อยให้สองคนนั้นมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งปีหรอกหรือ”
ตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หากจะรอประหารในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้า
โจวเสาจิ่นเห็นว่าพี่สาวดูท่าทางไม่พอใจยิ่งนัก จึงกล่าวขึ้นอย่างคาดคะเนว่า “ไม่ใช่ว่าเพราะให้พวกนางสองคนต้องรอความตายอยู่ในคุกเช่นนี้ จะยิ่งทำให้พวกนางทุกข์ทรมานกว่าสั่งประหารพวกนางในทันทีหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” โจวชูจิ่นตอบ “ฉะนั้นจึงยิ่งรู้สึกขอบคุณจี๋อิ๋ง หากไม่ใช่เพราะนาง ไหนเลยพวกเราจะรู้ได้ว่ายังมีวิธีการนี้อยู่ด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “ตระกูลของพวกเราไม่มีผู้ใดที่กระทำชั่วผิดอาญา ย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
นางกล่าวแล้วก็รู้สึกสะดุดใจ
หรือว่าในครอบครัวของจี๋อิ๋งจะมีผู้ที่กระทำชั่วผิดอาญากันนะ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ จี๋อิ๋งดีต่อนางขนาดนี้ นางก็ไม่ควรจะทำตัวห่างเหินหรือรังเกียจนางถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาว
จากนั้นโจวชูจิ่นก็เอ่ยถึงเรื่องของเฉิงอี้ว่า “…เมื่อครู่ข้าได้ยินมาว่า ครั้งนี้น้องชายอี้ดื้อดึงยิ่งนัก ไม่ว่าท่านป้าใหญ่จะดุด่า ร้องไห้ ข่มขู่หรือหลอกล่ออย่างไร เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ แม้โดนท่านลุงใหญ่ตบหน้าไปสองทีก็ไม่เอ่ยปากยอมรับผิด ด้วยเหตุนี้ท่านยายจึงร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ เจ้าช่วยไปบอกจี๋อิ๋งสักหน่อยได้หรือไม่ เรื่องเช่นนี้ โดยปกติแล้วล้วนเป็นสาวใช้ที่เสียเปรียบ หากว่านางขอให้ท่านน้าฉือออกหน้าช่วย เช่นนั้นก็คงจะดียิ่ง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว
นางรู้ว่าเฉิงอี้กำลังโวยวายประท้วงอยู่ แต่ก็เป็นเพราะนางที่ไปฟ้องพวกผู้ใหญ่ แม้นางจะคิดว่าตนเองไม่ผิด ทว่าตอนที่เฉิงอี้ถูกลากตัวออกไปก็ได้ตะโกนตำหนินางไปหนหนึ่ง ทั้งยังทำให้นางรู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ จึงไม่ได้ไปไถ่ถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่นึกเลยว่าเฉิงอี้จะดึงดันได้ขนาดนี้!
ชาติก่อน แม้แต่นางที่เป็นคุณหนูเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้หนึ่ง ตอนที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นก็ยังถูกคนอื่นประณามหยามเหยียด นับประสาอะไรกับจี๋อิ๋งที่เป็นเพียงสาวใช้ผู้หนึ่ง?
โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไป “ข้าจะไปพูดกับจี๋อิ๋งสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นรั้งนางเอาไว้ พลางกล่าวว่า “เจ้าลองไปพูดกับจี๋อิ๋งดูก่อน ลองฟังความเห็นของนางดู หากจี๋อิ๋งคิดว่าควรจะบอกท่านน้าฉือ ค่อยบอกท่านน้าฉือก็ยังไม่สาย…ข้ามองว่าจี๋อิ๋งไม่เหมือนสาวใช้ที่รับใช้อยู่ข้างกายของท่านน้าฉือ อีกทั้งนางยังโฉมสะคราญขนาดนี้ หากท่านน้าฉือเตรียมการเอาไว้สำหรับนางแล้วก็ดีไป แต่หากว่าไม่ได้เตรียมการเอาไว้ ในภายหน้าอย่างมากที่สุดก็คงจะแต่งให้กับพ่อบ้านสักคนหนึ่ง ไหนเลยจะไปห้ามความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้ เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เข้าใจหรือไม่”
โจวเสาจิ่นขบคิดตามแล้วถึงได้เข้าใจความหมายของพี่สาว
พี่สาวกำลังกล่าวว่าความงามของสตรีเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะอยู่กระมัง!
ด้วยรูปโฉมของจี๋อิ๋ง หากว่าท่านน้าฉือไม่รับนางเอาไว้ ก็คงจะหาตระกูลที่ดูแลปกป้องนางได้ ไม่เช่นนั้นไม่สู้ฉวยโอกาสนี้ให้ติดตามเฉิงอี้ไปเสียยังจะดีกว่า แม้ว่าเฉิงอี้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนจิตใจดี ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้น ถือได้ว่าพอจะมีที่ให้พึ่งพิงได้ที่หนึ่ง
แต่สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจเลือกอย่างไรนั้น ยังคงต้องฟังความคิดเห็นของจี๋อิ๋งก่อนอยู่ดี
น้ำผึ้งของผู้หนึ่งอาจจะเป็นยาพิษในสายตาของอีกผู้หนึ่งก็เป็นได้ สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของนาง พวกนางไม่อาจตัดสินใจแทนจี๋อิ๋งได้
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นถึงได้มีความมั่นใจอย่างหนึ่งอยู่ในใจ
นางคิดว่าจี๋อิ๋งไม่มีวันยอมตกลงที่จะติดตามเฉิงอี้เป็นแน่
นอกจากความแตกต่างด้านอายุ ความรู้ และสถานะแล้ว จี๋อิ๋งไม่มีวันยอมให้ตนเองได้รับความอับอายขายหน้าเช่นนี้อย่างแน่นอน
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นพยักหน้าตอบ แล้วกระวีกระวาดไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
จี๋อิ๋งสีหน้าขุ่นมัว พลางยืนอยู่ที่ระเบียงอย่างเกรี้ยวกราด “…นี่เป็นพระราชวังขององค์ฮ่องเต้หรือว่าเป็นศาลาว่าการของหกกระทรวงหรืออย่างไร จะย้ายเรือนก็ไม่ยอมหาคนมาช่วยเลยสักคน ให้พวกข้าช่วยกันย้ายเพียงไม่กี่คน ไม่ต้องกล่าวถึงวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบสองหรอก ต่อให้เป็นวันที่สองเดือนหนึ่ง ก็เกรงว่ายังจะย้ายไม่เสร็จ หากว่านายท่านสี่ร้อนเงินนัก เจ้าไปบอกเขาว่า ให้ข้าควักเงินจ่ายเองได้หรือไม่”
………………………………………………………………….