ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 18 กัวซื่อ
ตอนที่ 18 กัวซื่อ
โจวเสาจิ่นรีบขยับขึ้นด้านหน้าไปทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับทำหน้าแปลกใจ “ผู้นี้คือ?”
“คือโจวเสาจิ่น หลานสาวคนเล็กของข้าคนนั้นเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในหมู่ญาติพี่น้อง ครั้งนี้มีโอกาสได้พบแล้ว ข้าจึงให้นางมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวงุนงงสักพัก ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘หลานสาวคนเล็ก’ ผู้นี้เป็นใคร
นางหันไปยิ้มน้อยๆ ให้โจวเสาจิ่นพลางหยักหน้า กล่าวชื่นชมว่า “เป็นเด็กสาวที่งดงามผู้หนึ่ง!”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้ถือเอาคำพูดของการเข้าสังคมในโอกาสนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่การพบปะที่อ่อนละมุนเช่นนี้ นางก็คิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
นางผ่อนลมหายใจทีหนึ่ง
“เป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับความกรุณาของท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากวนสุภาพ ทว่าท่าทีนั้นยากที่จะปิดความยินดีเอาไว้ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเช่นนั้น ขบคิดเล็กน้อยสักครู่ ก็ดึงแหวนที่นิ้วมือออกมา “ของเก่าแล้ว พวกเด็กสาวอาจจะไม่ชื่นชอบ ยังดีที่คุณภาพไม่แย่นัก เปลี่ยนจี้หรืออะไรสักหน่อย ก็ยังพอดูได้” ขณะที่กล่าวก็ยื่นแหวนส่งให้โจวเสาจิ่น “ถือเป็นของขวัญสำหรับการพบหน้ากัน”
โจวเสาจิ่นตกใจ ไหนเลยจะกล้ารับมา “สิ่งของล้ำค่าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้ม “ผู้ใหญ่ให้ของ เจ้าก็เพียงรับไว้”
โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย ย่อเข่าคารวะ หันไปกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวสำหรับความกรุณา แล้วรับแหวนมา
“อย่างนี้สิถึงจะถูก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ประหม่าเท่าเมื่อกี้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องเยี่ยนซี นั่งลงบนตั่งเตี้ยด้านซ้ายคนหนึ่งและด้านขวาคนหนึ่ง
ซื่อเอ๋อร์นำสาวใช้ถือน้ำชาและของว่างเข้ามา
โจวเสาจิ่นยืนนิ่งไม่ขยับ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหันไปส่งสายตาให้นาง
ผ่านไปครู่หนึ่งโจวเสาจิ่นถึงได้เข้าใจความหมาย กล่าวคือ ท่านยายต้องการให้นางเอาใจใส่สักหน่อยยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
นางหน้าร้อนผะผ่าว
ก่อนแต่งงาน นางก็จมจ่อมอยู่กับความเสียใจในข้อผิดพลาดและความต้องการที่จะปรับปรุงแก้ใขตัวเองของตนเอง ไม่เคยใส่ใจผู้อื่นมาก่อน หลังแต่งงานแล้ว นางก็ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านสวนในต้าซิ่งที่มีแต่ตนเองให้ต้องเคารพ ไม่ติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น มีเพียงคนอื่นมาประจบเอาใจนาง นางเคยประจบเอาใจผู้อื่นเสียเมื่อไหร่กัน
แต่เพราะว่าตอนนี้นางตัดสินใจว่าจะช่วยเหลือตระกูลเฉิง จึงไม่อาจเป็นเหมือนเช่นชาติที่แล้วอีก
โจวเสาจิ่นหวนนึกถึงตอนที่พวกซือเซียงรินน้ำชาให้นางว่า ตอนนั้นพวกนางทำกันอย่างไรอย่างละเอียด แล้วก็เลียนแบบลักษณะของพวกนางรินน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นนางเชื่อฟังและรู้ความ ก็พอใจยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ได้เก็บเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ
ไม่ว่าบุตรชาย บุตรสะใภ้ หลานชาย หลานสาวล้วนเชื่อฟังและกตัญญู อีกทั้งข้างกายของนางก็ไม่ขาดแคลนคนคอยรับใช้ ในสายตาของนางแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นปกติ
เพียงแต่ว่าโจวเสาจิ่นนั้นสุภาพและอ่อนโยน กิริยาท่าทางที่แสดงออกมานั้นสง่างามและอ่อนหวาน ดูแล้วให้ความสบายใจยิ่ง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเกิดความรู้สึกดี รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นขึ้นน้ำชาเสร็จแล้ว นางยิ้มถือถ้วยชาเอาไว้พลางกล่าว “เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นมีสาวใช้คอยจัดการอยู่แล้ว เจ้าก็นั่งลงเสียเถอะ”
ครั้งนี้โจวเสาจิ่นถอนสายบัวตอบเสียงเบา แล้วยืนอยู่ที่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางแล้วก็นึกถึงเฉิงเซิง หลานสาวคนที่สามของตัวเอง หากว่าคนที่ถูกตามใจผู้นั้นอยู่ที่นี่ด้วย คงจะริมฝีปากราวปืนลิ้นราวดาบคุยโอ้อวดการกระทำของตัวเองเป็นแน่ รอจนได้รับคำชมจากนางแล้วถึงจะยอมหยุด…คนหนึ่งก็เงียบเกินไป อีกคนหนึ่งก็เสียงดังเกินไป กล่าวตามจริงแล้ว คงเป็นเพราะภูมิหลังและสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ความคิดเหล่านี้ก็เพียงวาบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวถึงธุระที่มาในครั้งนี้ขึ้นมา “ข้ากำลังคิดว่า การชุมนุมกันทางศาสนาในวันที่แปดนั้น พวกเราควรจะไปฟังเสียหน่อยถึงจะดี งานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลนั้นเป็นเรื่องของพวกผู้ชาย ถึงพวกเราจะรั้งอยู่ที่จวนด้วยก็จะทำอะไรได้?”
ที่แท้มาด้วยเรื่องนี้นี่เอง
เกรงว่าจวนรองจะไม่คิดเช่นนี้!
โจวเสาจิ่นเงี่ยหูฟัง
วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าของทุกปี สตรีจากตระกูลโจวล้วนไปขึ้นธูปที่วัดกันเฉวียน แต่ว่าวันที่สิบสองเดือนสี่ของปีนี้เป็นวันเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง จวนรองได้กล่าวเอาไว้นานแล้วว่า ต้องการจัดงานให้ท่านผู้นำตระกูลอย่างยิ่งใหญ่ ตามธรรมเนียมแล้ว วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าและวันที่สิบสองเดือนสี่ใกล้กันนัก ตระกูลเฉิงจวนต่างๆ ทั้งหมดควรจะไปช่วยงานที่จวนรองถึงจะถูก
แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีดับไปและเกิดขึ้นใหม่
ในอดีต ตอนที่ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จวนรองเป็นข้าราชการระดับสูงสำนักอิงอู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมมหาดไทยอยู่ที่จิงเฉิง ส่วนผู้นำตระกูลของจวนหลักดูแลจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ที่ตระกูลนั้น เป็นจวนรองที่โดดเด่นที่สุด ทุกอย่างล้วนทำตามการนำของจวนรอง อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเมื่อนายท่านผู้เฒ่าเฉิงลี่จวนรองเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย นายท่านผู้เฒ่าเฉิงซวินและเฉิงเซ่าสองพี่น้องประสบความสำเร็จในการสอบขุนนางติดต่อกันคนแล้วคนเล่า ตระกูลเฉิงก็รุ่งโรจน์อีกครั้ง ปัจจุบันท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จวนรองลาออกจากราชสำนักมานานแล้ว นายท่านใหญ่เฉิงอี๋ก็เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือผู้หนึ่ง แต่จวนหลักนั้นทั้งสามคนของครอบครัวล้วนเป็นจิ้นซื่อ ทั้งยังมีอั้นโส่ว [1] อายุสิบห้าปีหนึ่งคนอีกด้วย สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จวนสี่ไม่เคยเป็นผู้นำตระกูลมาก่อน ไม่คิดสู้เพื่อให้ได้มันมา และก็สู้ไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอะลุ้มอล่วย “ข้าฟังท่านเจ้าค่ะ”
แม่หม้ายลูกติดอย่างจวนสี่นั้น กว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายดายนัก ทั้งเคยได้รับความกรุณาจากจวนหลัก และเคยได้รับการปกป้องจากจวนรอง ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น จะให้ดีที่สุดก็คือไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ยามที่จวนรองยังรุ่งโรจน์ดังสายรุ้งอยู่นั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่บุตรชายของนางล้วนเป็นจิ้นซื่อลำดับที่สองทั้งสามคน ที่นางกล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการปลุกปั่นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับจวนรองมีอะไรกัน เพียงแต่ในบรรดาสะใภ้ด้วยกันนั้น มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่มีความอดทนและจิตใจกว้างขวาง ทั้งยังมีเหตุผลและคุณธรรม ค่อนข้างเข้ากันได้กับนาง นางจึงอยากนัดฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้ไปร่วมการชุมนุมทางศาสนาด้วยกัน ระหว่างทางก็จะได้มีเพื่อนร่วมทางด้วย
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบรับแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยินดียิ่งนัก กล่าว “ธูปและเทียนต่างๆ เจ้าล้วนไม่ต้องจัดเตรียม เจิงเจี่ยเอ๋อร์นำธูปกฤษณายี่สิบจินจากจิงเฉิงมามอบให้ข้าเป็นพิเศษ ข้าให้คุณชายสี่แลกเงินทองแดงให้พวกเราอีกสองร้อยเหลี่ยงเหรียญเงิน เป็นเหรียญหย่งชางทงเป่าเหมือนกันทั้งหมด ทุกอันล้วนใหญ่เท่านี้และหนาเท่านี้”
คุณชายสี่…ใครกันนะ?
โจวเสาจิ่นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กำลังออกท่าทางขณะพูดไปด้วยนั้นอย่างว่างเปล่าเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสั่งการซื่อเอ๋อร์ว่าอีกสักครู่ให้นำเงินหนึ่งร้อยเหลี่ยงตั๋วเงินไปมอบให้ที่เรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขัดใจ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากับข้าทำไมต้องคำนวณชัดเจนขนาดนี้ด้วย”
“ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ต่างคนต่างร่วมกันถวายความปรารถนาดีเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยืนกรานว่าไม่เห็นด้วย
จะเป็นพี่น้องกัน ก็ต้องแยกบัญชีกันให้ชัดเจน เช่นนี้ถึงจะสนิทชิดเชื้อกันได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้นที่ผ่านมาไม่เคยคิดเอาประโยชน์ประเภทนี้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมแม้นายท่านผู้เฒ่าของจวนสี่จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่จวนหลัก จวนรองและจวนสาม ล้วนยังคงให้ความเคารพจวนสี่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่บังคับอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงนางไปดูไตรปิฎกที่ตนเองให้โจวเสาจิ่นคัดลอกเอาไว้ “ตอนแรกยังกลัวว่าจะไม่สามารถนำถวายบูชาแด่องค์พระโพธิสัตว์ได้ ตอนนี้มองดูแล้วคงต้องเร่งมือคัดลอกอีกหน่อยถึงจะดี”
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับชะงักงัน
ตัวอักษรเล็กที่สง่างามและเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงแม้ว่าฝีแปรงพู่กันจะอ่อนแรงไปสักหน่อย แต่ก็รื่นไหลสมบูรณ์ สวยงามและกลมกลืนกัน
นางชี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือพลางกล่าว “นี่คือ?”
“เป็นเสาจิ่นเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าว “เด็กน้อยยังไม่ค่อยมีแรงนัก ยังดีที่มีความตั้งใจจริง ลายมือยังพอจะนับได้ว่าเป็นระเบียบและสวยงามเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหายใจติดขัดเล็กน้อย นึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่พอจะดูสมุดบัญชีได้เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะโล่งใจแต่ก็ไม่ต้องการจะพูดอะไรมาก จึงยิ้มพลางกล่าว “ตัวอักษรนี้เขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ไม่มีความแข็งแรงอะไรเลยเจ้าค่ะ”
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่คิดจะกล่าว แต่พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงแล้ว ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “เด็กสาวสามารถเขียนได้เช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว หลายคนที่จวนของข้านั้น นอกจากเจิงเจี่ยเอ๋อร์แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่ใจนิ่งสงบพอมาฝึกเขียนหนังสือได้สักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังแล้วก็ใจเต้นยินดี พลางกล่าว “ปกติแล้วเด็กคนนี้มักจะเงียบจนเกินไป หากว่าท่านชื่นชอบ พอดีกับที่เจิงเจี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าให้นางคัดลอกไตรปิฎกให้ท่านสักสองสามหน้า ยามถึงวันที่แปดเดือนสี่จะได้นำถวายแด่พระโพธิสัตว์ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?
โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าเผือดสี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองโจวเสาจิ่นที่ก้มศีรษะลง เห็นเพียงผมดำขลับนุ่มสลวยกับลำคอขาวเนียนละเอียด พลันมีความรู้สึกราวกับไข่มุกที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นขึ้นมา
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามโจวเสาจิ่นว่า “นี่เป็นอาจารย์สอนมาหรือ”
ย่อมไม่ใช่
เป็นสิ่งที่นางนำมาใช้ฆ่าเวลาตอนที่รู้สึกเบื่อหน่ายในชาติก่อน
แต่ว่าไม่อาจพูดประโยคนี้ออกไปได้ นางจำต้องกล่าวว่า “ข้าลองเขียนเรื่อยเปื่อยขึ้นมาเองเจ้าค่ะ”
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ยอมล้มเลิกหัวข้อสนทนานี้ กล่าวต่อไปว่า “การเขียนแบบนี้ เจ้าคิดได้อย่างไร”
เป็นเพราะว่าในชาติที่แล้วนางเลียนแบบลายมือของเลี่ยวจางอิง ท่านป้าที่ถูกบ้านสามีทอดทิ้งของพี่เขยเลี่ยวเส้าถัง
นางฝืนกล่าวออกไปว่า “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเขียนเช่นนี้แล้วทำให้ดูสบายตาดีเจ้าค่ะ” กลางฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยเหงื่อ
ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ถามต่อ
“เช่นนั้นก็ให้สาวน้อยผู้นี้คัดลอกไตรปิฎกให้ข้าด้วยสักสองสามหน้าก็แล้วกัน!” นางยิ้มพลางกล่าว “รอให้ไตรปิฎกคัดลอกเสร็จแล้ว ข้าจะเป็นเจ้าภาพ เชิญพวกเจ้าไปกินอาหารเจที่วัดฮุ่ยจี้”
“เช่นนั้นช่างดียิ่งนักเจ้าค่ะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดีใจย้ำเตือนโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าต้องตั้งใจช่วยฮูหยินผู้เฒ่าคัดลอกไตรปิฎกให้ดี” ทั้งยังกล่าวติดตลกอีกว่า “พวกข้าจะได้กินอาหารเจที่วัดฮุ่ยจี้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ริมฝีปากของโจวเสาจิ่นขยับเปิดและปิด พูดอะไรไม่ออกสักประโยค
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย
นางคิดว่าโจวเสาจิ่นจะกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีเสียอีก
ว่ากันตามจริงแล้ว ด้วยชื่อเสียงและเกียรติของนางนั้น หากเด็กสาวที่กำลังจะถึงวัยพูดเรื่องแต่งงานอย่างโจวเสาจิ่นผู้นี้สามารถได้รับความโปรดปรานจากนางแล้ว ยังจะต้องกลัวว่าจะหาครอบครัวสามีที่ดีๆ ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ใช่คนประเภทที่ดูถูกคนที่ต่ำกว่า ที่คิดว่าทุกคนควรจะมารวมกันที่ข้างกายของนาง
เนื่องจากเด็กสาวไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
ลายมือของเจินจูและเฝ่ยชุ่ย สาวรับใช้ข้างกายของนางล้วนเขียนได้ไม่แย่นัก ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับของสาวน้อยผู้นี้ แต่คัดลอกไตรปิฎกแล้วก็ถือว่าใช้ได้
หากใช้ไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีสวี่เกอเอ๋อร์
เด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าจะซนไปบ้าง แต่ก็กตัญญู สองสามวันมานี้ไม่รู้ว่าไปเตร็ดเตร่กับใครที่ไหน ไม่เห็นเงาเลยทั้งวัน ถือโอกาสนี้ให้เขาช่วยคัดลอกไตรปิฎกสักสองสามหน้า ให้เขารั้งอยู่บ้านนิ่งๆ สักสองสามวันก็ดีเหมือนกัน
ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดอยู่นั้น ก็แสดงรอยยิ้มออกมาทางสีหน้าและดวงตา
แต่ฝั่งของโจวเสาจิ่นนั้นรวบรวมความกล้ากล่าวออกมาอย่างยากเย็นว่า “ข้าเพียงกลัวว่าข้าจะคัดลอกได้ไม่ดีเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ไร้เดียงสาอีกแล้ว และก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ขุ่นเคืองใจ แต่นางก็ไม่อาจเห็นแก่ตนเองเหมือนอย่างในชาติที่แล้วอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับอยากมอบนางให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเต็มที่ “ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นอักษรที่เจ้าเขียนมาก่อน หากว่าไม่ดีก็คงไม่ให้เจ้าคัดให้หรอก!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงไปทั้งหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะขึ้นมา
เด็กสาวผู้นี้ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้าปฏิเสธนางและพูดความคิดในใจออกมา น่าสนใจยิ่ง
“ไม่เป็นไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เจ้าคัดช้าหน่อยก็ได้ หากว่าทันวันสรงน้ำพระพูทธเจ้า ก็นำไปถวายในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า แต่หากไม่ทันวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า ก็ค่อยนำไปถวายในวันสารทจีน”
นางมักจะชื่นชมบรรดาเด็กสาวที่มีความคิดแต่ก็ไม่ก้าวร้าวมาโดยตลอด จึงอดไม่ได้มีใจอยากช่วยเหลือ
โจวเสาจิ่นแทบจะเป็นลมล้มพับไป
วันสารทจีน…อย่าบอกนะว่านางต้องคัดลอกไตรปิฎกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยาวไปจนถึงเดือนเจ็ด…
นางไม่อยากจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับจวนหลักอีกแล้วจริงๆ!
แต่เรื่องก็ได้พูดมาจนถึงตรงนี้แล้ว นางยังจะไม่ไปได้อีกหรือ
หลังจากที่เดินไปส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึงพอใจและยินดียิ่ง จูงมือของนางมาถึงห้องด้านในแล้วก็กระซิบพูดกับนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากผู้หนึ่ง คนทั่วไปไม่อาจเข้าไปอยู่ในสายตาของนางได้ แต่ว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในสายตาของนางได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมืองจินหลิง แม้แต่ตระกูลใหญ่ๆ ในจิงเฉิง เจ้าจะเข้าออกก็ไม่ต้องกลัวผู้ใดแล้ว นี่ถือเป็นวาสนาของเจ้า เจ้าอย่าได้ละเลยไม่ถือมันเป็นเรื่องสำคัญ พอคัดลอกไตรปิฎกเสร็จก็กลับมาเลยหรอกนะ”
อย่าบอกนะว่าตนเองคัดลอกไตรปิฎกเสร็จแล้วก็ยังไม่สามารถกลับมาได้?
เหงื่อไหลออกมาตามหน้าผากของโจวเสาจิ่น
นางรีบถามท่านยายว่า “เช่นนั้นเมื่อไหร่ข้าถึงจะกลับมาได้เจ้าคะ”
——
[1] อั้นโส่ว ผู้สอบผ่านข้อสอบระดับอำเภอได้เป็นลำดับที่หนึ่ง