ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 194 เขาผู่ถัว
ฟางซินถงและเจิ้งซื่อตามพวกเขาไปจนถึงโจวซาน
เฉิงฉือยังคงไม่พบพวกเขาทั้งสองคนเช่นเดิม
พวกเขาหยุดพักที่โจวซานหนึ่งวัน เตรียมธูปและเทียนเรียบร้อยแล้ว มุ่งหน้าไปยังเขาผู่ถัว
ตอนออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าขมุกขมัว ครึ้มเล็กน้อย โจวเสาจิ่นกังวลว่าฝนอาจจะตก แต่เฉิงฉือกลับบอกว่าไม่เป็นไร “วันนี้มีลมพัดมา ช่วงบ่ายก็น่าจะมีแดดแล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ กระทั่งใกล้จะถึงยามซื่อเจิ้ง[1] พระอาทิตย์ก็ปรากฏตัวออกมาจริงๆ
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าควรจะเป็นคนงานที่ทำงานอยู่บนเรือบ่อยๆ ถึงจะเข้าใจหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก นางไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังยืนรับลมอยู่ตรงหัวเรือ ฉินจื่อผิง ไหวซานและคนอื่นๆ ต่างรับใช้อยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา พวกเขาทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างขึงขัง แล้วถอยออกไปอยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นถามเฉิงฉือว่า “ท่านพยากรณ์อากาศได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่ามีเพียงผู้อาวุโสในหมู่บ้านเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเมื่อใดจะมีฝนตกเมื่อใดจะมีลมพายุ!”
มุมปากของเฉิงฉือกระตุก ถามขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ปฏิทินต้าเหยี่ยน’”
ไม่รู้!
โจวเสาจิ่นลอบขบคิดอยู่ในใจ ทว่ากลับกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแต้มยิ้มว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอ่านแล้วเข้าใจนี่เจ้าคะ ไม่อย่างนั้นกองดาราศาสตร์คงเต็มไปด้วยฝูงชนแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “ผู้อื่นข้าไม่รู้ แต่ข้าอ่านแล้วเข้าใจก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม รู้สึกว่าลึกๆ แล้วท่านน้าฉือก็ทะนงตัวไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม หากนางฉลาดเหมือนท่านน้าฉือ เกรงว่าอาจจะทะนงตัวยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าความจริงแล้วท่านน้าฉือเป็นคนที่ถ่อมตนไม่น้อย
นางเดินมาถึงหัวเรือ
ดวงอาทิตย์ขจัดปัดเป่าหมู่เมฆครึ้มออกไป ท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้าใส เกาะเล็กๆ ที่อยู่ไกลๆ สีเขียวชอุ่มน่ามอง หลับใหลอยู่เงียบๆ ท่ามกลางคลื่นสีฟ้าอันไกลโพ้น
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า “ช่างเหมือนกับสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งจริงๆ ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งตามไปด้วยได้”
เฉิงฉือไม่กล่าวสิ่งใด ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ นาง
ทั้งสองคนมองไปยังเขาผู่ถัวที่อยู่ไกลๆ โดยไม่พูดอะไรอยู่นาน
ตอนเที่ยง ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมา
ท้องฟ้าจึงยิ่งเป็นสีฟ้า ท้องน้ำจึงยิ่งเป็นสีเขียวมรกต ก้อนเมฆก้อนใหญ่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า ราวกับความฝันก็ไม่ปาน
เรือของพวกเขาเข้าจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของเขาผู่ถัว
ผู้คนที่เดินทางมาสักการะต่างหยุดยืนดู ถึงแม้ทุกวันจะมีคนเดินทางไปและมาระหว่างโจวซานกับเขาผู่ถัวเป็นจำนวนมาก แต่คนที่นั่งเรือสำเภามาเช่นพวกเขานี้กลับมีน้อยยิ่ง
คนเรือวางกระไดเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนกระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวเสียงดังว่า “ใช่นายท่านสี่หรือไม่ ผู้น้อยคือหลงจู๊จากสาขาหนิงโปนามว่าหวังเสี่ยว ได้รับคำสั่งจากหลงจู๊ใหญ่ของสาขาเจียงหนานให้ล่วงหน้ามาต้อนรับนายท่านสี่ขอรับ!”
ฉินจื่อผิงออกไปตอบรับ เขายิ้มพลางเชิญหวังเสี่ยวขึ้นมาบนเรือ
หวังเสี่ยวชี้ไปที่คนแบกเกี้ยวที่มาด้วยกันที่อยู่ด้านล่างเรือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คนงานล้วนเตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูขึ้นเกี้ยวเท่านั้นขอรับ”
ฉินจื่อผิงยิ้มพลางกล่าวชมเขาไปหลายประโยค แล้วพาเขาไปพบเฉิงฉือ
เป็นครั้งแรกที่หวังเสี่ยวได้พบกับเฉิงฉือ เขาตื่นเต้นจนตัวสั่นไม่หยุด หลังจากที่คุกเข่าลงโขกศีรษะแล้วก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
โชคดีที่เฉิงฉือรีบขึ้นฝั่ง ถามหวังเสี่ยวไปไม่กี่ประโยคก็เตรียมตัวลงจากเรือ
ชิงเฟิงรีบไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งนานแล้ว เพียงรอให้เรือเทียบท่าเท่านั้น พอได้ยินว่าเวลานี้ลงเรือได้แล้ว โจวเสาจิ่นจึงประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกจากห้องโดยสาร ทั้งสี่ด้านถูกล้อมเอาไว้ด้วยผ้าอย่างง่ายๆ โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รีบขึ้นเกี้ยว ฉินจื่อผิงคอยกำกับพวกบ่าวชายแบกหามเครื่องบูชาตามอยู่ด้านหลังเกี้ยว หวังเสี่ยวและพระรูปหนึ่งที่วัดฝาอวี่ส่งมาต้อนรับแขกเดินนำทางอยู่ด้านหน้า คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังวัดฝาอวี่ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายของยอดเขาหลักอันงดงามของเขาผู่ถัว
ท่านเจ้าอาวาสวัดฝาอวี่ได้รับจดหมายแจ้งมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงพาพระและพระผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขก พร้อมทั้งสามเณรที่ให้การรับใช้มารออยู่ที่หน้าประตูวัด
เมื่อเห็นเกี้ยวของตระกูลเฉิง ท่านเจ้าอาวาสวัดก็ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
เฉิงฉือก้าวออกมาคารวะท่านเจ้าอาวาสวัด
ท่านเจ้าอาวาสวัดยิ้มพลางเอ่ยคำว่า “อมิตาภพุทธ” แล้วกล่าวอีกว่า “ประสกเฉิงฉือเดินทางมาไกล น่ายกย่องสรรเสริญในความศรัทธา อาตมาให้คนจัดเตรียมห้องหับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูพักผ่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวอาตมาจะพาฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูไปจุดธูปที่วิหารกวนอิมด้วยตัวเอง”
วิหารกวนอิมเป็นวิหารหลักของวัดฝาอวี่
หลังจากที่เฉิงฉือกล่าวทักทายท่านเจ้าอาวาสวัดด้วยรอยยิ้มนอบน้อมหลายประโยคแล้ว ก็ไปรับน้ำชาที่ห้องนั่งสมาธิ ส่วนเกี้ยวของพวกนางก็ถูกยกไปจอดที่เรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากประตูวัด
หวังเสี่ยวมารับผิดชอบงานด้วยตัวเอง จึงมาทำความสะอาดเรือนเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เนื่องจากต้องพักอยู่ที่เขาผู่ถัวสองวัน หลังจากที่โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ฝานหลิวซื่อและสื่อมามารั้งอยู่ในเรือนเพื่อจัดเก็บหีบสัมภาระ ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่ห้อมล้อมพวกนางอยู่ก็พากันเดินตามอยู่ด้านหลังของพระผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกมุ่งหน้าไปยังวิหารกวนอิม
เช่นเดียวกับวัดมีชื่ออื่นๆ วัดฝาอวี่สร้างติดกับภูเขา ลำดับการสร้างค่อยๆ สูงขึ้นไป
วิหารที่สำคัญหลังแรกคือวิหารเทพเซียน ด้านหลังของวิหารเทพเซียนคือวิหารพระมรกต ระหว่างวิหารทั้งสองหลังมีหอระฆัง จากนั้นก็เป็นวิหารกวนอิม วิหารอวี้เปย หอเก็บพระไตรปิฎก และกุฏิพระ เป็นต้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวัดจีหมิงของจินหลิงแล้ว ระยะห่างระหว่างวิหารหลักของที่นี่กว้างขวาง ดูใหญ่โตโอฬาร ต้นไม้เก่าแก่เติบโตจนเป็นป่า เห็นได้ชัดว่าดูขึงขังและสูงส่งกว่า
พระผู้ให้การต้อนรับกล่าวแนะนำไปตลอดทางว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นการบูรเก่าแก่ มักถูกผู้มาสักการะนับถือเป็นสมมติเทพ ลอกผิวไปทำยา…บนทางขึ้นวิหารพระมรกตมีต้นไป่[2]เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ทางด้านตะวันตกปลูกต้นหลัวฮั่นเอาไว้ต้นหนึ่ง รอบลำต้นใหญ่กว่าหนึ่งจั้ง[3] มีให้พบเห็นน้อยยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูรองลองดูได้ กล่าวกันว่าสัมผัสแล้วยังช่วยรักษาโรคได้สารพัดชนิด และมีชีวิตยืนยาว…วิหารอวี้เปยเป็นที่ประดิษฐานของพระไตรพุทธ[4] ห้องชั้นในทางด้านตะวันตกมีประตูที่เชื่อมไปยังถนนเซียงอวิ๋นของเขาฝัวติ่ง ถัดออกไปอีกก็จะเป็นลานกุฏิพระ เป็นจุดที่สูงที่สุดของวัด…พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูจะมาถึงในบ่ายวันนี้ ถึงแม้พวกเราจะไม่มีการปิดประตูวัด ทว่าเมื่อหลายวันก่อนได้ขอให้พระที่จำวัดอยู่ที่วัดเชิญชวนให้ผู้มาสักการะทั้งหลายค่อยมาจุดธูปใหม่ในอีกสองสามวันข้างหน้า พรุ่งนี้เช้าท่านเจ้าอาวาสวัดของพวกอาตมาจะนำทำพิธีสวดมนตร์ให้ตระกูลเฉิงด้วยตัวเอง ณ วิหารที่อยู่ข้างๆ วิหารอวี้เปย…”
ถึงว่าวัดฝาอวี่แห่งนี้ไม่มีผู้มาสักการะเลย ที่แท้ก็เป็นเพราะเฉิงฉือได้ส่งข่าวมาบอกเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วนี่เอง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าบริจาคค่าธูปค่าน้ำมันไปเป็นจำนวนเท่าไร ถึงทำให้ท่านเจ้าอาวาสวัดมาต้อนรับด้วยตัวเอง แน่นอนว่า ชื่อเสียงของตระกูลเฉิง ยศจิ้นซื่อของเฉิงฉือก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การเดินทางมาเขาผู่ถัวของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในครั้งนี้มีสีสันขึ้นไม่น้อย
พวกเขาไปที่วิหารกวนอิม
ชั่วขณะที่มองเห็นวิหารกวนอิมนั้น โจวเสาจิ่นนึกว่าตนก้าวไปในพระราชวัง
ไม่เหมือนกับวิหารหลักของที่อื่นๆ วิหารกวนอิมของวัดฝาอวี่มุงด้วยกระเบื้องสีทองเหลือง ยามแสงแดดสว่างไสวสาดส่องลงมา เปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับว่าได้มาถึงแดนสุขาวดีที่อยู่ในตำนานพื้นบ้านแล้ว ใหญ่โตโออ่า สง่างามเกินธรรมดาสามัญ ชายทะเลที่อยู่ไกลๆ กว้างใหญ่ไพศาล เสียงคลื่นดังเข้ามาสู่โสตประสาท ทำให้หูและตาของคนเลือนรางไปชั่วขณะ
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวคำว่า อมิตาภพุทธ อยู่ในใจ
กระทั่งเข้าไปในวิหารกวนอิมแล้ว ตอนที่เห็นว่าบนเพดานของวิหารกวนอิมสลักเอาไว้ด้วยมังกรเก้าตัวนั้น นางถึงได้สัมผัสได้อย่างแจ่มแจ้งถึงความสง่างามที่ไม่มีที่ใดเหมือนดังที่ถูกราชสำนักยกย่องให้เป็น ‘วัดที่ปกปักคุ้มครองเจิ้นไห่ของประเทศ’
นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือไปจุดธูปไหว้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ถวาย ‘ศูรางคมสูตร’ หนึ่งบท และ ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ หนึ่งม้วน บริจาคเงินสองพันเหลี่ยงเป็นค่าธูปและน้ำมัน แล้วก็จุดตะเกียงฉางหมิง[5]อีกห้าดวง ในจำนวนทั้งห้าดวงนั้น จุดให้เฉิงจิงหนึ่งดวง จุดให้เฉิงเว่ยหนึ่งดวง จุดให้เฉิงสวี่หนึ่งดวง จุดให้เฉิงฉือหนึ่งดวง ยังเหลืออีกหนึ่งดวง จุดให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
แม้แต่วัดจีหมิงที่จินหมิง หากต้องการจุดตะเกียงฉางหมิงหนึ่งดวงเป็นระยะเวลาหนึ่งปี อย่างน้อยที่สุดยังต้องใช้เงินถึงสองร้อยเหลี่ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัดฝาอวี่ของเขาผู่ถัว
นางรีบดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยิ้มพลางหันศีรษะกลับมากล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้มาที่เขาผู่ถัว ล้วนเป็นคนที่มีวาสนากับองค์พระโพธิสัตว์ หากว่าเจ้าไม่สบายใจ ต่อไปก็ทำพวกผ้าโพกศีรษะ ถุงเท้า แล้วก็คัดพระธรรมมาให้ข้าบ่อยๆ ก็แล้วกัน”
ขอบตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ชาติก่อนเวลานางนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มักจะรู้สึกหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าชาตินี้กลับได้รับความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางคงได้แต่ต้องทำงานเย็บปักและคัดพระธรรมมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจริงๆ ถึงจะตอบแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้
พระหลายรูปมองเงินสีขาวระยับระยับที่ตกลงไปในหีบรับบริจาค มองไปแล้วสีหน้าดูสงบนิ่ง แต่ดวงตาที่เปล่งประกายของพวกเขากลับเผยความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขาออกมา
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่กระโจนเข้ามาในห้วงความคิดเมื่อครู่นี้ได้มลายหายไปราวกับควันและก้อนเมฆที่สลายไปในอากาศจนหมดสิ้น
ท่านน้าฉือช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!
ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เงินและทองพวกนี้มาล่อลวงนักบวชเหล่านี้
ไม่รู้ว่าจะมีนักบวชที่เมื่อเห็นเงินทองมากขนาดนี้แล้ว สุดท้ายตัดสินใจลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตามเดิม หรือไม่ก็ตัดสินใจที่จะไม่มุ่งมั่นกับการศึกษาพระธรรม แล้วหันไปเป็นพระผู้ให้การต้อนรับแขกที่เดินทางไปมาแทนบ้างหรือไม่!
พวกเขาออกมาจากวิหารกวนอิม ท่านเจ้าอาวาสวัดแนะนำให้เฉิงฉือไปชมเขาฝัวติ่ง ยังบอกด้วยว่า “หากไม่ได้ไปขึ้นเขาฝัวติ่ง ก็เท่ากับยังมาไม่ถึงเขาผู่ถัว”
เฉิงฉือตอบรับด้วยความยินดี ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นว่า “หากยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า ก็ให้ไปเที่ยวชมด้วยกัน บนเขาฝัวติ่งยังมีวัดฮุ่ยจี้อยู่อีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่สร้างอยู่บนยอดเขา มองเห็นทัศนียภาพของเขาผู่ถัวได้ทั้งหมด ควรค่าแก่ไปเที่ยวชมสักครั้งหนึ่ง”
จริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อนข้างเหนื่อยแล้ว แต่การจะเดินทางมาเขาผู่ถัวสักครั้งนั้นไม่ง่ายนัก นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไปเที่ยวชมวัดฮุ่ยจี้ด้วย
โจวเสาจิ่นนั้นยินดียิ่งนัก นางอายุยังน้อย ร่างกายก็แข็งแรง ถึงแม้จะมีชีวิตมาสอบชาติภพ แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้มาถึงเขาผู่ถัว จึงหวังมากกว่าใครๆ ว่าจะได้เดินไปทั่วทุกที่
เฉิงฉือบอกให้จี๋อิ๋งไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ระมัดระวังด้วยนะขอรับ หากเหนื่อยแล้ว พวกเราจะพักระหว่างทางให้นานอีกสักหน่อย อย่างไรเสียวัตถุประสงค์ต่อจากนี้ของพวกเราก็คือการท่องเที่ยวแล้ว”
โจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดนี้
หากเนื่องด้วยอายุที่มากแล้วทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชนเข้ากับอะไรเข้า เช่นนั้นคงไม่ดีแน่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ทราบดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่ามองว่ากระดูกกระเดี้ยวของข้าแก่แล้ว เกรงว่าอาจจะไม่ได้แย่ไปกว่าของพวกเจ้า”
ทุกคนหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างรู้งาน คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังเขาฝัวติ่ง
ทั้งสองข้างทางล้วนเป็นภูเขาและหินผาที่สูงชัน ต้นไม้เก่าแก่บดบังท้องฟ้าและแสงแดด เป็นทัศนียภาพที่แตกต่างไปจากอากาศที่แจ่มใสของท้องฟ้าสีฟ้าแซมเมฆขาวที่พบเจอที่วัดฝาอวี่เมื่อครู่ยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นอดกล่าวชื่นชมไม่ได้ว่า “…ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่มาสร้างวัดอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ นักบวชเหล่านี้ช่างเก่งกาจยิ่งนัก บุกป่าฝ่าดงแผ้วถางทาง และสร้างวัดบนเขาออกมาได้วัดหนึ่งอย่างไม่ย่อท้อ”
พระผู้มารับรองแขกที่ร่วมทางไปวัดฮุ่ยจี้เป็นเพื่อนพวกเขาได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ที่มาสักการะเป็นผู้บริจาค หากไม่มีผู้ศรัทธาเหล่านั้น ไหนเลยจะมีอาณาจักรพุทธท่ามกลางท้องทะเลแห่งนี้ได้ จะว่าไปแล้ว วัดของพวกอาตมาอยากจะสร้างวิหารมหาเทพสักหลังมาโดยตลอด เพื่อเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระโพธิสัตว์ทุกปาง นายท่านฉือมาจากตระกูลชั้นสูงของจินหลิง เพียงครั้งเดียวก็บริจาคให้วัดของพวกอาตมาเป็นเงินถึงห้าพันเหลี่ยง ข้าทำหน้าที่ต้อนรับแขกอยู่ที่วัดมาสิบปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบคนจากตระกูลบัณฑิตชั้นสูงที่มีจิตใจกว้างขวางเช่นประสกเฉิงฉือ หากนักบวชจากวัดของพวกอาตมาจะไประดมทุนบริจาคที่จินหลิง ไม่ทราบว่าประสกเฉิงฉือจะช่วยแนะนำตระกูลที่ต้องการร่วมทำบุญของเมืองจินหลิงให้ได้หรือไม่”
นี่ต้องการให้เฉิงฉือช่วยเป็นคนกลางให้นี่นา!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงมองไปที่เฉิงฉือ ในใจกลับคิดคำนวณไปด้วย เงินห้าพันเหลี่ยง ตอนอยู่ในวิหารกวนอิมพวกนางบริจาคไปแล้วสองพันเหลี่ยง แสดงว่า ก่อนหน้านี้เฉิงฉือได้บริจาคเงินเป็นค่าธูปและน้ำมันไปก่อนแล้วสามพันเหลี่ยง!
การเดินทางมาเขาผู่ถัวในครั้งนี้เท่ากับว่าใช้ทองกองเท่าภูเขาเงินกองเท่าทะเลกว่าจะสำเร็จลงได้ใช่หรือไม่!
*****************************************************
[1] ยามซื่อเจิ้ง ประมาณสิบนาฬิกา
[2] ต้นไป่ คือต้นไซเปรส
[3] จั้ง ประมาณ 3.333 เมตร
[4] พระไตรพุทธ พระพุทธเจ้าสามพระองค์ โดยองค์ตรงกลางคือ พระโคตมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) องค์ทางขวาคือ พระไภษัชยคุรุ (เป็นพระพุทธเจ้าที่พบเฉพาะในนิยายมหายาน) องค์ทางซ้ายคือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า (นิกายมหายานเชื่อว่าการระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดี)
[5] ตะเกียงฉางหมิง คือตะเกียงที่จุดให้สว่างอยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน