ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 199 ของขวัญ
โจวเสาจิ่นอดถามไม่ได้ “ท่านน้าฉือ ท่านติดธุระไม่อาจไปเป็นเพื่อนพวกข้าหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เจิ้งซื่อกับฟางซินถงยังตามพวกเราแจประหนึ่งเป็นหาง ข้าคงไม่อาจให้พวกเขาติดตามพวกเราตลอดทางจนกลับเมืองจินหลิงได้หรอกกระมัง”
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
โจวเสาจิ่นไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากอีก
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับนัยน์ตาลุกวาบเล็กน้อย
บุตรชายคนนี้ของนางแต่ไรมายามทำอะไร ก็ไม่เคยอธิบายให้ผู้อื่นทราบ กล่าวอธิบายให้ผู้อื่นเช่นนี้ มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น เขามีอะไรบางอย่างต้องการปิดบังพวกนางเอาไว้ ดังนั้นจึงใช้เจิ้งซื่อกับฟางซินถงมาเป็นข้ออ้าง
นางยิ้มพลางกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสาจิ่น ข้าอยากจะเลือกของฝากให้ท่านยายของเจ้าสักหน่อย เจ้ามาช่วยข้าเลือกดูว่าของชิ้นใดเหมาะสมบ้าง”
โจวเสาจิ่นขานรับ แล้วช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
หางตาของเฉิงฉือเหลือบเห็นไหวซานเดินเข้ามา มือกอดอก เลือกยืนเงียบๆ อยู่ในมุมหนึ่ง
เขาเดินเข้าไปหาอย่างไร้สุ้มเสียง
ไหวซานกล่าวเสียงเบา “นายท่านสี่ ตรวจสอบได้แล้วขอรับ เซียวเจิ้นไห่มาหาเจี่ยงชิ่นขอรับ”
เจี่ยงชิ่นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของกลุ่มเดินสมุทรที่รักษาการณ์อยู่ที่หังโจวตลอดทั้งปี
เฉิงฉือพยักหน้าเล็กน้อย
ไหวซานเดินออกจากร้านค้าอย่างเงียบๆ
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงที่หอฟู่หยวนเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดสินใจเดินซื้อของต่อ
ตอนบ่าย พวกโจวเสาจิ่นซื้อของอีกหนึ่งกอง ทั้งหมดเสียเงินไปไม่ถึงสิบเหลี่ยง แต่พวกบ่าวเด็กกับสาวใช้เด็กที่ติดตามมาด้วยกลับถือของเต็มไม้เต็มมือ ราวกับหอบถนนย่านการค้าทั้งเส้นนี้กลับมาด้วยก็ไม่ปาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ แล้วเร่งให้เฉิงฉือไปงานเลี้ยงต้อนรับที่หอฟู่หยวน ส่วนตนพาโจวเสาจิ่นกลับไปร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาหนิงโป
มื้อเย็นที่ร้านตั๋วแลกเงินยังคงตั้งเอาไว้ใต้ต้นกุ้ยฮวา บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะ ทว่าช่วงบ่ายของสองสามวันมานี้ตอนที่ไปซื้อขนมทานเล่นโจวเสาจิ่นลองชิมไปไม่น้อย ทุกคนต่างยังคงรู้สึกอิ่มกันอยู่ จึงชิมกับข้าวไปเพียงอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้ววางตะเกียบลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มกล่าวว่า “ประเดี๋ยวพวกเจ้าทุกคนไปเดินเล่นในลานเป็นเพื่อนข้า ย่อยอาหารสักหน่อย ไม่เช่นนั้นตอนกลางคืนจะต้องมีคนที่ปวดท้องเป็นแน่”
เจินจูได้รับตำรับยาของเฉิงฉือ ตอนที่อยู่เขาผู่ถัวก็พักอยู่บนฝั่งถึงสองวัน ตอนนี้ร่างกายฟื้นคืนดีเหมือนเดิมแล้ว จึงยิ่งให้ความสำคัญกับวิธีดูแลรักษาสุขภาพ พอได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว นางรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูรอง ข้าชงชาเหล่าจวินเหมย[1]ให้พวกท่านสักกาหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ ชานั้นรสอ่อน เหมาะแก่การดื่มหลังรับประทานอาหารเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”
“ดี!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตอบ “ดื่มชาแล้ว พวกเราค่อยไปเดินย่อยอาหารที่ลานบ้านกัน”
ทุกคนต่างยิ้มพลางขานรับ บางคนไปชงชา บางคนไปเก็บโต๊ะ แม้จะวุ่นวายอยู่บ้าง แต่กลับเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว บรรยากาศครื้นเครงยิ่งนัก
จี๋อิ๋งอ้าปากหาวพลางเดินออกมาจากห้องข้าง
ปี้อวี้ผู้มีสายตาแหลมคม เป็นคนแรกที่เห็นนาง รีบยิ้มพลางเอ่ยทักทาย
จี๋อิ๋งที่เพิ่งจะตื่นนอน และยังรู้สึกงัวเงียอยู่ พอได้สติแล้วกลับเห็นคนเต็มลาน อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็อยู่ด้วยเช่นกัน นางอดรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยไม่ได้ ยิ้มพลางก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างขัดเขิน
โจวเสาจิ่นอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมานานพักหนึ่งแล้ว รู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับข้ารับใช้ข้างกายอย่างใจดีเป็นที่สุด แต่ก็เข้มงวดเรื่องกฎระเบียบยิ่ง ขอเพียงเจ้ารักษากฎเกณฑ์ หากกระทำผิดเรื่องเล็กน้อยอะไรก็เพียงตักเตือนสั่งสอนครั้งหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าไม่รักษากฎเกณฑ์ ต่อให้เก่งกาจมากความสามารถเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เฉกเช่นจี๋อิ๋งที่นอนหลับจนตะวันขึ้นสายโด่ง ซ้ำยังออกจากห้องมาด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่ง
นางรีบแก้ตัวแทนจี๋อิ๋ง เอ่ยว่า “ตอนเช้าข้าส่งคนไปชวนเจ้าไปเดินเที่ยวที่ถนนย่านการค้า เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวสักเท่าใด ตอนนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือยัง พวกเราล้วนไม่ได้อยู่บ้าน ตอนกลางวันเจ้าได้รับประทานมื้อเที่ยงหรือไม่ ไฉนในห้องของเจ้าถึงไม่มีสาวใช้เด็กคอยปรนนิบัติ ถึงได้ตื่นขึ้นแล้วก็วิ่งออกมาเช่นนี้ อยากดื่มน้ำหรือดื่มชาสักหน่อยหรือไม่”
ในตระกูลเฉิง สาวใช้ใหญ่ที่เป็นหน้าเป็นตาล้วนมีสาวใช้เด็กสองสามคนที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งงานคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ประการแรกก็เพื่อเป็นการสอนงานสาวใช้เด็กไปในตัว ภายหน้ายามที่ไปรับใช้ผู้เป็นนายจะได้คล่องแคล่วไม่ทำผิดพลาดอะไรประหนึ่งขับเกวียนเบาบนถนนที่คุ้นทาง ประการที่สองก็เพื่อแบ่งเบางานของบรรดาสาวใช้ใหญ่ ทำให้สาวใช้ใหญ่ทั้งหลายมีเวลาไปปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนายมากขึ้น
อันที่จริงชุนหว่านได้ส่งคนไปชวนไปนางเดินเที่ยวถนนย่านการค้าด้วยกันจริง สิ่งที่นางตอบไปในตอนนั้นคือ ไม่สนใจ พวกเจ้าไปเดินเที่ยวกันเองเถิด แต่ครั้นถ้อยคำถึงริมฝีปากของโจวเสาจิ่นแล้วกลับกล่าวออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นางอดเผยสีหน้างงงวยออกมาไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยถามจี๋อิ๋งอย่างเป็นมิตรว่า “เจ้านอนหลับดีหรือไม่ ข้าได้ยินชายสี่กล่าวว่าหลายวันมานี้ทางฝั่งสตรีนี้ล้วนเป็นเจ้าที่พาบ่าวหญิงรูปร่างกำยำสองสามคนมาเดินลาดตะเวนตอนกลางคืน ลำบากเจ้าแล้ว ข้าซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากถนนฟู่หยวนมาให้ ประเดี๋ยวจะให้สื่อมามาเอาไปมอบให้เจ้า…”
โจวเสาจิ่นรีบหุบปาก
แย่แล้ว!
นางประจบประแจงไม่ถูกที่ จนปล่อยไก่เสียแล้ว!
อย่างไรก็ตาม เหตุใดท่านน้าฉือถึงต้องจัดให้จี๋อิ๋งพาบ่าวหญิงรูปร่างกำยำมาเดินลาดตะเวนตอนกลางคืนด้วย
โจวเสาจิ่นกระหวัดนึกถึงกระบี่เล่มนั้นที่แขวนเอาไว้บนผนังห้องของจี๋อิ๋ง ซ้ำยังนึกถึงฉากที่นางพบจี๋อิ๋งเป็นครั้งแรก
หรือว่าจี๋อิ๋งจะเป็นผู้มีวิทยายุทธ์กันนะ
สายตาที่นางมองจี๋อิ๋งทอประกายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พลางครุ่นคิดว่าจะต้องหาโอกาสไปซักถามจี๋อิ๋งให้ได้ นางยังไม่เคยเจอสตรีที่มีวิทยายุทธ์เลยสักครั้ง!
ทว่าอุบายเล็กน้อยนี้ของโจวเสาจิ่นไม่อาจปิดซ่อนจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้เลย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับคิดว่าโจวเสาจิ่นเป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนัก
ถึงแม้ว่าบรรดาสาวใช้จะเป็นเพียงข้ารับใช้ก็ตาม แต่พวกนางก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด หากแม้แต่บรรดาข้ารับใช้คนสนิทของเจ้าล้วนทำตัวห่างเหินกับเจ้าหรือบ่มเพาะความเกลียดชังเจ้าอยู่ในใจ เช่นนั้นจะให้พวกนางรับใช้เจ้าอย่างสัตย์ซื่อได้อย่างไร
แม้โจวเสาจิ่นมีลักษณะนิสัยอ่อนแอ แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
ขอเพียงต้องแน่วแน่เด็ดขาดเมื่อเกิดเรื่องใหญ่และอดทนอดกลั้นเมื่อเกิดเรื่องเล็กน้อย ก็จะทำให้คนรู้สึกว่านางมีจิตใจดีบริสุทธิ์และเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
ครั้นกลับเข้าเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้เพื่อพูดคุยกันตามลำพัง
นางมอบกล่องไม้จันทร์ใบเล็กใบหนึ่งให้โจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ “ความจริงอยากจะมอบให้เจ้าหลังจากที่กลับถึงจินหลิงแล้ว แต่เจ้าก็รู้ดีว่า หลังจากข้ากลับไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีคนจับตามองข้ามากน้อยเพียงใด ข้าจึงมอบของสิ่งนี้ให้เจ้าก่อน เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี ภายหน้ายามออกเรือนก็ใช้เป็นสินเจ้าสาว จะดีจะร้ายก็ถือว่าเพิ่มอัญมณีให้เจ้าอีกชิ้นหนึ่ง”
ความจริงแล้วเรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นการแสร้งยื้อยุดไปมารอบหนึ่งก่อนรับของมาอย่างเสียไม่ได้ รอให้กลับถึงห้องค่อยเปิดดูว่าของสิ่งนั้นคืออะไร แต่ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้โจวเสาจิ่นฉุกคิดถึงเพชรหลายเม็ดนั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวซื้อที่ร้านเครื่องประดับในวันนี้ขึ้นมาในทันใด นางจำได้ว่าตอนนั้นเสมียนของร้านเครื่องประดับแจ้งราคาว่าแปดพันเหลี่ยง…ต่อให้ภายหลังจะมีการลดราคาให้ก็ตาม แต่ก็นับเป็นเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว!
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ท่านมอบอะไรให้ข้าหรือเจ้าคะ หากว่าเป็นเพชร ข้าไม่อาจรับเอาไว้ได้! ท่านดูแลข้ามามากพอแล้ว หากข้ารับของจากท่านมาอีก จิตใจของข้าคงไม่อาจอยู่เป็นสุขได้! ของนี้ข้ารับเอาไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เด็กโง่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “นี่เป็นของที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าเพียงรับเอาไว้ก็พอ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ปรารถนาให้คนระลึกถึงข้า ต่อไปยามที่เจ้านำออกมาสวมใส่ ก็จะระลึกได้ว่าข้าเป็นผู้มอบของชิ้นนี้แก่เจ้า เมื่อถึงเวลาที่บุตรสาวของเจ้าออกเรือนหรือบุตรชายของเจ้าแต่งบุตรสะใภ้เข้ามา ยามที่เจ้านำออกมามอบเป็นรางวัล อย่าได้แต่นึกถึงข้าเท่านั้น ต้องเล่าเรื่องราวของข้าให้พวกเขาฟังด้วย…รับเอาไว้เถิด! ตัวข้านี้ ใจปรารถนาอยากจะให้กำเนิดบุตรสาวสักคน แต่ปรากฏว่าให้กำเนิดบุตรชายมาถึงสามคน บิดาอบรมสั่งสอนบุตรชาย ส่วนมารดาอบรมสั่งสอนบุตรสาว บุตรชายสองคนแรกตั้งแต่เด็กก็มีอุปนิสัยคล้ายบิดาของพวกเขา เคร่งเครียดจริงจังยิ่งนักแม้แต่การเย้าแหย่ล้อเล่นก็ทำไม่เป็น ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะให้กำเนิดน้าฉือของเจ้า ข้าคิดเอาไว้ว่า บุตรชายคนนี้ทั้งไม่ต้องรับช่วงต่องานของตระกูล ทั้งไม่ต้องเป็นผู้นำดูแลรับผิดชอบตระกูล ข้าจะเลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี! แต่ใครจะรู้ว่า…” ขณะที่นางกล่าว ก็ตัดจบหัวข้อสนทนาลงอย่างฉับพลัน ชั่วพริบตานั้นขอบตาก็ขึ้นสีแดงเรื่อ
โจวเสาจิ่นรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวซับน้ำตา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับผ้าเช็ดหน้ามา แล้วซับขอบตา กล่าวยิ้มๆ “เอาล่ะ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ขอเพียงเจ้าจดจำของที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี วันหลังหากคิดถึงเรื่องราวดีๆ ของข้า ก็พาบุตรชายบุตรสาวไปจุดธูป เผากระดาษเงินกระดาษทองให้ข้าสักหน่อย…” ราวกับกล่าวคำสั่งเสียก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเศร้าใจอย่างอธิบายไม่ได้ น้ำตาไหลรินลงมา พลางกล่าว “ท่านจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านจะต้องมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปีแน่นอน! ท่านน้าฉือยังไม่ได้แต่งงาน ท่านยังต้องช่วยท่านน้าฉือเลี้ยงหลานอีกเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางร้องไห้อย่างจริงใจ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ จับมือของนางแล้วถอนหายใจเบาๆ
***
ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เป็นร้านที่เฉิงฉือก่อตั้งขึ้นด้วยตนเอง บรรดาหลงจู๊ใหญ่ในตอนนี้ล้วนเคยทำงานร่วมกับเฉิงฉือในปีนั้น แม้ว่าสองปีมานี้เฉิงฉือจะไม่ดูแลกิจการ และมอบหมายกิจการงานส่วนใหญ่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ให้นายท่านสามตระกูลหลี่ของร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าเป็นผู้ดูแลแล้วก็ตาม แต่ถ้อยคำวาจาของเขายังคงมีน้ำหนักดั่งเตาหลอมเก้าเตา ไม่มีใครกล้าแย้ง อีกทั้งเขาไม่เคยร่วมกินเลี้ยงในหอสุรากับพวกเขา เมื่อคนของสาขาหนิงโปได้อยู่ต่อหน้าเขาจึงรู้สึกเกรงกลัวเป็นธรรมดา ไม่กล้าล่วงเกินแต่อย่างใด งานเลี้ยงนี้จึงกินดื่มอย่างพินอบพิเทา และจบลงอย่างรวดเร็ว
ป้าซางบอกเขาว่า “ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคุยอะไรกับคุณหนูรอง ตอนที่ออกมาจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าคุณหนูรองถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้ และร้องไห้จนตาบวมเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เป็นไปได้ว่ามารดาของข้ามอบเพชรที่ซื้อมาในวันนี้ให้นาง”
ป้าซางรู้สึกประหลาดใจ อยากจะถามเฉิงฉือเหลือเกินว่าทราบได้อย่างไร ปรากฏว่าเฉิงฉือกลับก้าวเท้าเข้าห้องไปเสียแล้ว นางได้แต่กลืนคำถามที่ติดอยู่ที่ปากลงไป แล้วบอกให้บ่าวเด็กช่วยเฉิงฉือผลัดเสื้อผ้า
แต่เฉิงฉือกลับครุ่นคิดอยู่ในใจ
มารดาซื้อเพชรน้ำที่ดีที่สุดทั้งหมดเจ็ดเม็ด ย่อมต้องแบ่งให้พวกเขาสามพี่น้องคนละเม็ดอย่างแน่นอน ส่วนเฉิงเจิง เฉิงเซียว เฉิงเซิงเป็นเด็กสาวที่ออกเรือนแล้ว ที่ผ่านมามารดามักจะคิดอยู่เสมอว่าการที่หญิงสาวต้องแต่งงานออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก คาดว่าคงจะแบ่งพวกนางให้คนละเม็ด ส่วนที่เหลืออยู่หนึ่งเม็ดนี้ คงจะซื้อให้โจวเสาจิ่นเด็กน้อยผู้นั้น
มารดาโปรดปรานโจวเสาจิ่นถึงเพียงนี้ ควรจะให้พี่ชายใหญ่รับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมดีหรือไม่
เช่นนี้หลังจากที่ตนจากไปแล้ว มีนางอยู่เป็นเพื่อนมารดา อย่างน้อยมารดาจะได้ไม่ต้องถึงกับชอกช้ำเสียใจที่ไม่มีบุตรมาดูแลตนแม้คนเดียว…
หรือว่าให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่ในตระกูลเฉิง ให้นางแสดงความกตัญญูต่อมารดา แม้ว่ามารดาพึงพอใจกับความสามารถในการดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนของพี่สะใภ้ใหญ่ แต่กลับคิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่หมกมุ่นในชื่อเสียงและความสำเร็จมากเกินไป เป็นผู้ที่อารมณ์ร้อน ส่วนพี่สะใภ้รองก็เสมือนเป็นก้อนแป้งก้อนหนึ่ง ในตอนแรกหากไม่ใช่เป็นเพราะทั้งสองตระกูลรู้จักกันมานานแล้ว อีกทั้งพี่รองยังหมายมั่นจะแต่งงานกับพี่สะใภ้รองล่ะก็ มารดาคงจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของเฉิงรั่งจึงละม้ายคล้ายพี่สะใภ้รองไปด้วย…น่าเสียดายที่โจวเสาจิ่นผู้นี้ก็มีอุปนิสัยอ่อนแอเหมือนกัน หากแต่งงานกับเฉิงรั่ง ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรก็คงดี แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าจะได้รับความอับอาย…
เขาคิดวกวนไปมา จวบจนล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นนอนบนเตียง ก็โยนเรื่องหยุมหยิมนี้ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง แล้วขบคิดเรื่องของเซียวเจิ้นไห่กับเจี่ยงชิ่นอย่างละเอียด
หากเขาคาดเดาไม่ผิด เซียวเจิ้นไห่น่าจะมาหาเจี่ยงชิ่นด้วยเรื่องท่าเรือเป่ยถังที่เทียนจิน
หลายปีมานี้กลุ่มเดินสมุทรอยากจะมีท่าเรือสักท่าหนึ่ง สร้างท่าเรือของตนเองสักท่าหนึ่ง เพื่อกำจัดจุดอ่อนของตนเอง
หากไม่มีอะไรผิดพลาด เจี่ยงชิ่นจะต้องยอมร่วมมือกับเซียวเจิ้นไห่เป็นแน่
แม้ว่าตระกูลเซียวจะเลื่องชื่อว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในกวนวั่ย แต่จะร่ำรวยกว่ากลุ่มเดินสมุทรได้อย่างไร อีกทั้งเจี่ยงชิ่นเป็นผู้ที่เจ้าเล่ห์เพทุบายมาตลอด ถึงเวลานั้นหากตระกูลเซียวไม่ถูกฉุดลงหลุมลึกที่หยั่งไม่ถึงก้นหลุมหลุมนี้ ก็คงจะถอยร่นกลับกวนวั่ยไปอย่างเจ็บหนัก…วิทยายุทธ์ที่สืบทอดกันมาของตระกูลเซียวแข็งแกร่งโดดเด่น บุรุษในตระกูลแต่ละคนล้วนมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใช้ทำเป็นสำนักคุ้มกัน…ตนควรจะฉวยโอกาสนี้เข้าครอบครองรังของตระกูลเซียวดีหรือไม่
กล่าวตามตรงแล้ว เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่ที่ไหนในภายภาคหน้า
………………………………………………………………….
[1] ชาเหล่าจวินเหมย (老君眉) ชื่อชาชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติช่วยย่อยอาหาร