ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 208 การพบกันที่น่ายินดี
โจวเสาจิ่นเองก็พบว่ามีคนมาแล้ว ไม่รอให้ป้าซางเดินเข้ามา นางก็สะกิดจี๋อิ๋ง กระซิบเสียงเบาว่า “พวกเรากลับไปขึ้นรถม้ากันเถิด! ไม่รู้ว่าคนที่มาเป็นคนเช่นไร”
จี๋อิ๋งไม่ค่อยเห็นด้วย อย่างไรก็ตามตอนนี้นางเป็นสาวใช้ของเฉิงฉือ เนื่องจากติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกมา จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเคารพตำแหน่งและสถานะของนาง รวมถึงเคารพคนข้างกายนางด้วย
นางยิ้มพลางพยักหน้า เดินกลับไปอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกับโจวเสาจิ่น
คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าเดินไปยังรถม้าของพวกเขาที่จอดอยู่ริมตลิ่ง
รถม้าที่ขับเข้ามามีเสียงร้อง “ซู่” เสียงหนึ่งแล้วก็จอดลง มีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากรถม้า พอเห็นโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เขาประหลาดใจยิ่งนัก รีบหมุนตัวกลับไป กระซิบกล่าวเสียงเบากับคนในรถม้า
ไม่นาน ผ้าม่านของรถม้าก็ถูกเลิกขึ้น ชายชราอายุประมาณหกสิบปีในชุดสีดำผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าโดยมีชายหนุ่มผู้นั้นช่วยประคอง เขาหันไปประสานมือคำนับเฉิงฉือ พลางกล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้จะได้พบกับคุณชาย ข้าชายชราผู้นี้แซ่ซ่ง เป็นคนฉางซา ตั้งใจพาหลานชายออกเดินทางมาท่องเที่ยว ได้พบกันระหว่างออกเดินทางเช่นนี้ถือเป็นวาสนา ครอบครัวของท่านกับครอบครัวข้าทั้งสองครอบครัวร่วมใช้สถานที่แห่งนี้ชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงด้วยกันได้หรือไม่”
เฉิงฉือเห็นชายชราผู้นี้ดูกระปรี้กระเปร่าและแข็งแรง การพูดการจาก็งามสง่า ผิวประหนึ่งผิวของทารก จึงคาดเดาว่าหากเขาไม่ใช่บัณฑิตใหญ่ผู้มีชื่อเสียงสักคนก็คงจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลบัณฑิตสักตระกูลเป็นแน่ อีกทั้งยังเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นอายุยังไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น ทว่าดูเป็นสุภาพบุรุษ ทุกกิริยาท่าทางสง่างามเป็นธรรมชาติ จึงมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ท่านผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” เขากล่าวยิ้มๆ “ทิวทัศน์งดงามในช่วงเวลาที่ดี ผู้คนย่อมร่วมกันชื่นชม เชิญท่านผู้เฒ่าตามสบายขอรับ!”
ชายชราแซ่ซ่งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆ พลางลูบเคราใต้คาง กล่าวกับชายหนุ่มผู้นั้นว่า “อี๋จวิน เจ้าเชิญพี่สาวกับหลานชายของเจ้าลงมาเถิด! คุณชายท่านนี้ไม่ใช่คนใจแคบประเภทนั้น”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอี๋จวินผู้นั้นขานรับยิ้มๆ มีสตรีร่างกำยำผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากรถม้าที่มาด้วยกัน นางจับที่วางเท้าพลางประคองฮูหยินสาววัยบานสะพรั่งผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า แล้วก็อุ้มเด็กอายุประมาณแปดถึงเก้าขวบผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า
พอลงจากรถม้าเด็กผู้นั้นก็วิ่งไปที่หาดทราย
ป้าที่ตามอยู่ด้านหลังตะโกนร้องอย่างตกใจว่า “คุณชายห้า ระวังเจ้าค่ะ” พลางวิ่งตามออกไป
ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นแล้วก็หัวเราะร่าเสียงดัง
ทว่าฮูหยินสาวกลับขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นเช่นนี้ จะเป็นการให้ท้ายจนทำให้เขาเสียคนได้”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่ระวังมากเกินไปแล้ว ชายห้าก็เพียงเพราะถูกขังเอาไว้นานเกินไปก็เท่านั้น ตอนที่ข้าอายุเท่าเขานี้ยังปีนขึ้นไปจับนกนางแอ่นเล่นบนหลังคา ท่านพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรข้า เหตุใดพอมาถึงชายห้าแล้ว ถึงกลายเป็นการให้ท้ายจนทำให้เสียคนไปได้”
“เจ้ามักจะมีเหตุผลอยู่เสมอ” ฮูหยินสาวได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างยอมแพ้ “ข้าเถียงเจ้าไม่ได้ ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว หวงมามา เจ้ารีบไปตามชายห้ากลับมา” ประโยคสุดท้ายนั้น ฮูหยินสาวหันไปสั่งการกับบ่าวข้างกายของตน แต่ก็มองออกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ดียิ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มพลางลูบศีรษะ กล่าวกับชายชราสองสามประโยค จากนั้นกลับไปที่รถม้าหยิบกล่องของขวัญมากล่องหนึ่งแล้วเดินเข้ามาหาเฉิงฉือ
เดิมทีเฉิงฉือไม่อยากให้ความสนใจ พอเหลือบสายตามองไปกลับพบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังมองเขาอยู่ เลยคิดว่าหากตนเดินหนีไปเช่นนี้ เมื่อกลับไปมารดาต้องบ่นเขาเป็นแน่ จึงหันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเป็นมิตร กล่าวขึ้นว่า “ข้าแซ่เฉิง เป็นชาวจินหลิง มาชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเป็นเพื่อนมารดาและหลานสาว”
ชายหนุ่มผู้นั้นรีบกล่าว “ข้าแซ่หวง ออกมาเป็นเพื่อนผู้อาวุโส พี่สาวและหลานชายของที่บ้าน นี่เป็นขนมจากร้านอู่ฟางไจ มารบกวนความสำราญของพวกท่านแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูอย่าได้ถือโทษเลยนะขอรับ” ขณะที่กล่าว ก็ยื่นกล่องของขวัญมาให้
ฉินจื่อผิงรีบก้าวออกไปรับไว้ แล้วหมุนกายไปหยิบใบชาห่อหนึ่งมายื่นส่งให้หวงอี๋จวิน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อหลายวันก่อนสหายจากฝูเจี้ยนนำชาป่ามาฝาก เชิญท่านผู้เฒ่าและคุณชายลองชิมดู”
หวงอี๋จวินรีบโค้งตัวกล่าวขอบคุณ
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกระหึ่มมาจากแม่น้ำ
คนที่อยู่บนริมตลิ่งหันมองไปตามเสียงอย่างอดไม่ได้
เห็นเพียงคลื่นสีขาวเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหวีดหวือ เหมือนกับว่ากระแสน้ำไหลย้อนกลับไปแล้วกระแทกตัวลงมาบนริมตลิ่ง ฝอยละอองน้ำที่สาดกระเซ็นนั้นสูงกว่าหลายจั้ง ประหนึ่งสัตว์ร้ายในน้ำที่อ้าปากกว้างปรารถนาจะกลืนกินผู้คนเข้าไปก็ไม่ปาน ทำให้โจวเสาจิ่นที่นั่งอยู่ในรถม้าร้องขึ้นอย่างหวาดกลัวพลางหันหน้าหนีไปด้านหลัง ราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้หนีพ้นจากคลื่นยักษ์นั้นได้
“เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงแล้ว!” เฉิงฉือสีหน้าสงบ ยืนมือไพล่หลังพลางชมกระแสน้ำที่ส่งเสียง ‘ซ่า’ ขณะถอยร่นกลับไป ทำให้ผิวพื้นเปียกชื้น กล่าวเรียบๆ ว่า “มาเร็วกว่าที่ข้าคำนวณเอาไว้หลายเค่อ”
หวงอี๋จวินกลับสีหน้าเปลี่ยน ร้องขึ้นเสียงหนึ่งว่า “แย่แล้ว” แล้วรีบหันไปมองที่ชายหาด
เด็กผู้นั้นถูกสตรีที่ดูแลเขาอยู่อุ้มขึ้นแนบอกอย่างรีบร้อนได้พอดี
เขาอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สีหน้าของเด็กคนนั้นซีดเผือด รอจนกระทั่งกระแสน้ำถอยร่นออกไปแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ร้องไห้ ‘แง’ ออกมา
ชายแซ่ซ่งเดินเข้าไป
เด็กคนนั้นกระโจนตัวเข้าหา ร้องอย่างเจ็บปวดว่า “ท่านปู่”
ชายชราแซ่ซ่งหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ปกติว่าเจ้าเจ้ามักไม่ฟัง ตอนนี้คงรู้แล้วกระมัง”
เด็กผู้นั้นพยักหน้าหงึก หยดน้ำตาขนาดเมล็ดถั่วเหลืองแต้มอยู่บนใบหน้าอ่อนนุ่ม น่ารักน่าชังยิ่งนัก
ฮูหยินสาวผู้นั้นก็เดินเข้าไปเช่นกัน กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็มีกระแสน้ำพุ่งเข้ามาอีกระลอก
ฮูหยินสาวกับชายชรากันเด็กน้อยเอาไว้พลางเดินถอยหลัง
กระแสน้ำขึ้นที่สาดเข้ามาในครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งเมื่อครู่มากนัก ถูกทำนบขวางกั้นเอาไว้ ส่งเสียงดังกระหึ่มประหนึ่งสัตว์ร้ายในน้ำที่หันหน้ากลับไปกระโจนเข้าใส่เนินเขาเล็กที่อยู่ข้างๆ อย่างเกรี้ยวกราด ฟองน้ำของคลื่นราวกับมังกรที่กระโดดโลดเต้นอยู่กลางอากาศ
ในเวลานี้ใครจะมีกะจิตกะใจสนใจเรื่องชายหญิงควรรักษาระยะห่างอะไรนั่นอีก
โจวเสาจิ่นร้องขึ้นอย่างตะลึงพรึงเพริดขณะเลิกผ้าม่านขึ้น คล้องแขนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้พลางกล่าวเสียงตื่นเต้นว่า “ท่านรีบดูเจ้าค่ะๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “เห็นแล้วๆ!” ขณะที่กล่าวก็ยื่นมือออกไป
สื่อมามารีบประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวลงจากรถม้า
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ก็ลงจากรถม้าด้วยเช่นกัน
เฉิงฉือรีบกล่าว “พวกเจ้าถอยออกมาหน่อย ระวังจะถูกกระแสน้ำพัดเอาไปได้”
ตอนนี้เองที่ทุกคนถึงได้เชื่อว่าที่เขาพูดมานั้นไม่ผิดเลย
กระแสน้ำกระโจนเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เสียงคำรามดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย กระแทกกระทั้นอย่างเดือดดาลไปมาระหว่างทำนบกั้นกับเนินเขาเล็ก ทำให้อากาศเปลี่ยนเป็นเปียกชื้นขึ้นมา
ทันใดนั้นคนก็เสมือนกับตัวเล็กเท่าแมลงวันหรือยุงก็ไม่ปาน
ชายชราแซ่ซ่งผู้นั้นตื่นเต้นจนปรบมือขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่พลางกล่าวขึ้นว่า “คำรามลั่นดั่งอสนีบาตนับพันสายบนฟากฟ้า เกลือกกลิ้งดุจม้าป่าสีเงินห้อตะบึงนับหมื่นตัว ยิ่งใหญ่ยิ่งนักๆ! ชีวิตนี้ได้เห็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถือว่าคุ้มแล้วๆ!”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็ยิ้มน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
กว่าครู่ใหญ่ กระแสน้ำขึ้นน้ำลงก็ค่อยๆ เล็กลง
เหมือนกับเด็กน้อยที่เงียบลงชั่วขณะหลังจากที่เล่นจนหมดแรงแล้วผู้หนึ่ง
ตลิ่งทำนบกั้นเปียกชื้น
ชายชราแซ่ซ่งยังคงเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น หันไปกวักมือกล่าวกับหวงอี๋จวินว่า “ไป พวกเราไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่เซียวซานกันต่อ”
หวงอี๋จวินกล่าวอย่างลำบากใจว่า “พี่สาว…”
ชายชราแซ่ซ่งชะงัก จากนั้นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างผิดหวัง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับเมืองหังโจวกันเถิด!”
ฮูหยินสาวได้ยินแล้วขอบตาแดง กล่าวขึ้นว่า “อี๋จวิน เจ้าไปเซียวซานเป็นเพื่อนท่านพ่อเถิด ข้ากลับเมืองหังโจวไปพร้อมกับพวกบ่าวรับใช้ก็ได้”
ชายชราแซ่ซ่งได้ยินแล้วสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าหวงอี๋จวินกลับลังเลตัดสินใจไม่ได้
ฮูหยินสาวผู้นั้นกัดริมฝีปาก ทันใดนั้นก็หันมาคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ให้ข้าตามพวกท่านไปด้วยได้หรือไม่ รอพ่อสามีกับน้องชายของข้ากลับมาจากเซียวซานแล้ว ค่อยมารับข้า”
เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกได้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจ
นางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ช่วยผู้อื่น ผู้อื่นย่อมช่วยเจ้า ฮูหยินน้อยไม่ต้องมากพิธี หากท่านผู้เฒ่าไม่ขัดข้อง เจ้าก็ตามพวกข้ามาได้” ขณะที่นางกล่าว ก็ชี้ไปยังทิศทางที่บ้านพักของตระกูลจงตั้งอยู่ กล่าวขึ้นว่า “พวกข้าพักอยู่ที่บ้านพักของนายท่านจงผู้ร่ำรวยของเจียงหนาน”
ชายชราแซ่ซ่งได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าว่าพวกท่านไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่เซียวซานพร้อมกับพวกข้าด้วยดีหรือไม่ ว่ากันว่าปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของที่นั่นกับที่นี่ไม่เหมือนกันนัก…”
โจวเสาจิ่นเห็นนัยน์ตาของเฉิงฉือเผยความขุ่นเคืองออกมาเล็กน้อย
นางกระซิบกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ที่นั่นต้องมีผู้คนเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นท่านผู้เฒ่าซ่งก็คงไม่ลังเลที่จะพาฮูหยินผู้นี้ไปด้วย พวกเรากลับกันดีกว่าเจ้าค่ะ! ต่อให้ไปชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่เซียวซาน ก็ได้แต่ดูอยู่บนอาคารชมปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงอยู่ไกลๆ เท่านั้น ไหนเลยจะสู้ที่นี่ที่ได้ คลื่นน้ำนั้นประหนึ่งโบยบินอยู่เหนือศีรษะของพวกเรา นี่ถ้าหากไม่ได้มาแม่น้ำเฉียนถัง ไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าต้องคิดว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือเหล่านั้นกล่าวเกินจริงเป็นแน่เจ้าค่ะ”
คำพูดของโจวเสาจิ่นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะขึ้นมา
นางกล่าว “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า พวกเรากลับบ้านพักกันเถิด”
โจวเสาจิ่นยิ้มหวาน ทว่าหางตากลับเหลือบมองไปที่เฉิงฉือ
สีหน้าของเฉิงฉือยังคงอบอุ่นเช่นเดิม แต่นางรู้สึกได้อย่างอธิบายไม่ได้ว่าอารมณ์ของเขาเหมือนจะดีขึ้นมาก
ชายชราแซ่ซ่งกับหวงอี๋จวินยังคงไม่ค่อยวางใจ จึงมาส่งฮูหยินสาวถึงบ้านพักตระกูลจงที่พวกเขาพักอยู่ชั่วคราวด้วยตัวเอง ยังหยิบป้ายชื่อใบหนึ่งออกมายื่นส่งให้เฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “ลูกสะใภ้ของข้าผู้นี้รบกวนพวกท่านแล้ว ให้นางอยู่ห้องข้างสักห้องหนึ่งก็พอ”
เฉิงฉือรับป้ายชื่อสีแดงทองที่มีเพียงคนที่มียศจิ้นซื่อขั้นสองเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ครอบครองมาดูด้วยสีหน้าสงบ แล้วก็รู้สึกประหลาดใจมากอย่างห้ามไม่อยู่
ป้ายชื่อที่บัณฑิตชราแซ่ซ่งผู้นั้นให้มาแท้จริงแล้วเป็นป้ายชื่อของซ่งจิ่งหรานซ่งซวี่ ผู้เป็นมหาบัณฑิตของสำนักฮั่นหลิน ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออก เจ้ากรมคลัง
เฉิงฉือยิ้มพลางให้คนไปหยิบป้ายชื่อของเฉิงจิงมาให้ชายชราแซ่ซ่งผู้นั้นใบหนึ่ง
ชายชราแซ่ซ่งยิ้มกว้าง กล่าวขึ้นว่า “แท้จริงแล้วก็เป็นครอบครัวของเฉิงเซียงนี่เอง นี่ช่างถือเป็นมวลมหาน้ำหลากเข้าท่วมวัดเทพมังกรเสียแล้ว ที่ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกัน!”
เฉิงฉือยิ้มพลางสนทนาแลกเปลี่ยนกับชายชราแซ่ซ่งครู่หนึ่ง ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วชายชราผู้นี้ก็คือบิดาของซ่งจิ่งหรานนามว่าซ่งหมิ่น ส่วนหวงอี๋จวินคือน้องชายของภรรยาของซ่งจิ่งหราน ฮูหยินสาวคือหวงซื่อภรรยาของซ่งจิ่งหรานที่แต่งเข้ามาหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต และเด็กผู้นั้นก็คือบุตรชายคนที่ห้าของซ่งจิ่งหรานนามว่าซ่งเซิน
เมื่อทราบลำดับความสัมพันธ์นี้แล้ว ซ่งหมิ่นถึงได้วางใจลง ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
หลังจากที่ทั้งสองครอบครัวทำความรู้จักกันแล้ว ซ่งหมิ่นฝากหวงซื่อเอาไว้กับเฉิงฉือ ให้คนขับรถม้าถอดม้าออกมาจากรถม้า ลูบคอม้าเบาๆ นอกจากคนขับรถม้าแล้ว บ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยต่างก็ให้รั้งรออยู่ที่นี่ ส่วนตนกับหวงอี๋จวินขี่ม้าพาซ่งเซินมุ่งหน้าไปยังเซียวซาน
แววตาของเฉิงฉือวูบลงเล็กน้อย
ว่ากันว่าซ่งจิ่งหรานมาจากครอบครัวพ่อค้า จึงเห็นแก่ผลประโยชน์
เกิดที่สองหู ทว่าบิดากลับขี่ม้าได้อย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลซ่งไม่ใช่ตระกูลพ่อค้าธรรมดาที่รู้จักแต่การขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อทำการค้าอย่างเดียวแน่นอน
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนาอยู่กับหวงซื่อ
ที่แท้ผู้เฒ่าซ่งผู้เป็นมารดาเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแล้ว ผู้เฒ่าซ่งผู้เป็นบิดาไม่ได้แต่งงานใหม่ อาศัยอยู่ที่ฉางซาบ้านเกิดเพียงลำพัง เดือนสองของปีนี้ ผู้เฒ่าซ่งผู้เป็นบิดาไม่สบาย ต้องนอนรักษาตัวอยู่เป็นเดือนกว่าจะลุกขึ้นมาได้ ซ่งจิ่งหรานกังวลใจยิ่งนัก จึงขอให้น้องชายภรรยาพาภรรยาและบุตรชายมารับตัวผู้เฒ่าซ่งผู้เป็นบิดาไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่จิงเฉิง เนื่องจากว่าผู้เฒ่าซ่งผู้เป็นบิดาชื่นชอบการท่องเที่ยว จึงพาพวกเขาท่องเที่ยวมาด้วยตลอดทั้งการเดินทาง กระทั่งมาถึงหังโจว…ถึงได้มีโอกาสได้มารู้จักกันในวันนี้
“นี่ถือเป็นโชคชะตา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินเฉิงฉือเอ่ยถึงซ่งจิ่งหรานด้วยตัวเอง จึงทดซ่งจิ่งหรานเก็บไว้ในใจ เวลานี้ได้มาพบกับฮูหยินของซ่งจิ่งหรานโดยไม่คาดคิด จึงกระตือรือร้นยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินเพียงรอท่านผู้เฒ่าซ่งและคุณชายหวงอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด ถึงแม้ข้าจะมาพักอยู่ที่บ้านพักของนายท่านจง แต่ก็พาบ่าวรับใช้ของตัวเองมาด้วย ฮูหยินต้องการอะไรขอเพียงเอ่ยปากบอกเท่านั้น”
………………………………………