ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 223 ชงชา
จงหมัวมัวยิ้มพลางเสนอความคิดเห็นให้ฟางซื่อว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องยากเลยเจ้าค่ะ! พวกเราเพียงหาใครสักคนไปขอน้ำแร่จงหลิงเฉวียนกลับมาสักหน่อยก็ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าน้ำแร่ของพวกเรานี้เป็นน้ำแร่ที่คุณหนูรองให้มาหรือเป็นน้ำแร่ที่ได้รับมาจากผู้อื่น แต่เรื่องที่นายท่านสี่ตระกูลเฉิงผู้นั้นไปตักน้ำแร่จงหลิงเฉวียนที่เขาจินซานเป็นเรื่องจริงมิใช่หรือเจ้าคะ”
ฟางซื่อพลันเข้าใจความนัยขึ้นมาในทันที
นางพยักหน้าน้อยๆ
จงหมัวมัวจึงรู้ว่าเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบแล้ว “ข้าจะให้คนไปขอน้ำแร่ที่ร้านซานเฉวียนนะเจ้าคะ”
ร้านซานเฉวียนเป็นโรงน้ำชาที่ใหญ่ที่สุดของเจิ้นเจียง จะให้คนไปตักน้ำแร่ในลำธารมาทุกวัน ดังนั้นน้ำแร่ที่พวกเขาใช้ก็คือน้ำแร่จงหลิงเฉวียนนี้
ฟางซื่อรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย คิดแล้วคิดอีก เอ่ยขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นให้เกี้ยวของข้าจอดอยู่ข้างนอกร้านซานเฉวียนก็แล้วกัน”
หลงจู๊ใหญ่ของร้านซานเฉวียนจะได้ทราบถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ และไม่เผยเรื่องนี้ออกไป
จงหมัวมัวขานรับอย่างดีใจ แล้วจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่ไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวในครั้งนี้ “…ฮูหยินผู้เฒ่าตกปากรับคำหรือไม่เจ้าคะ”
นัยน์ตาของฟางซื่อเผยความปีติยินดีออกมาเล็กน้อย ตอบว่า “รับปากแล้ว!”
“อมิตาพุทธ!” จงหมัวมัวรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ประนมมือขึ้นสวดไปหนึ่งประโยค
ฟางซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เกรงว่าสองพี่น้องตระกูลโจวคงจะได้รับความโปรดปรานมากในตระกูลเฉิง ตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่ายังแสดงท่าทีไม่เต็มใจสักเท่าใดนัก ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้รับปากอย่างยินดี ตอนที่ข้าเชิญฮูหยินผู้เฒ่ามาเป็นแขกที่เรือนนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปคงไม่พ้นต้องไปมาหาสู่กัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจกันเช่นนี้แล้ว ตอนแรกข้านึกว่าหมายถึงที่ข้ากับฮูหยินหยวนเป็นญาติพี่น้องกัน ยังรู้สึกยินดีกับฮูหยินหยวน ที่ในที่สุดแม่สามีของนางก็เป็นมิตรกับนาง แต่ตอนนี้มองดูแล้ว เกรงว่าจะหมายถึงพี่น้องตระกูลโจวเสียมากกว่า”
จงหมัวมัวเป็นบ่าวคนสนิทที่สุดของฟางซื่อ ย่อมรู้ว่าเวลาที่อยู่ต่อหน้าฮููหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินหยวนไม่ได้มีความสำคัญถึงเพียงนั้นเหมือนเวลาที่อยู่ข้างนอก ตอนที่ตระกูลเลี่ยวกับตระกูลโจวสองตระกูลหมั้นหมายกันนั้น ฟางซื่อคิดว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เคยไปเยี่ยมพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง ใครจะรู้ว่าถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวทั้งทางตรงและทางอ้อมล้วนส่อน้ำเสียงว่า นี่เป็นการตัดสินใจของพวกเจ้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับข้า หาไม่แล้วฟางซื่อก็คงไม่ผิดหวังถึงเพียงนี้
นางขบคิดอยู่ในใจ พลางกล่าวอย่างใคร่ครวญว่า “ฮูหยินใหญ่ หรือว่าจะเป็นคุณหนูรองเจ้าคะ ตอนนั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวอายุสิบสี่ปี ส่วนคุณหนูรองตระกูลโจวน่าจะมีอายุเพียงเจ็ดถึงแปดขวบ หากผู้ที่ได้รับความโปรดปรานคือคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวล่ะก็ ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็คงไม่เอ่ยวาจาเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”
ดวงหน้าของฟางซื่อขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่ได้โทษฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนั้นข้าไม่พอใจกับการแต่งงานนี้ เป็นไปได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงจะดูออก จึงกล่าวอย่างไม่เกรงใจเช่นนั้นออกมา อย่างไรก็ตาม ถ้อยคำของเจ้าก็มีเหตุผล เพียงแต่ในอีกไม่กี่เดือนคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวก็จะแต่งเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ได้รับความโปรดปราน หากด้วยเห็นแก่สถานะของพวกนางสองพี่น้องแล้วจะช่วยตระกูลเลี่ยวของพวกเราในครั้งนี้เอาไว้ได้ นั่นล้วนเป็นผลดีต่อตระกูลเลี่ยวของพวกเราทั้งสิ้น พวกเราจัดงานแต่งงานนี้ให้ดีก็พอ ยิ่งกว่านั้นนายท่านของตระกูลสะใภ้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองเป่าติ้ง ข้าเพียงหวังว่าหน้าที่การงานของเขาจะก้าวหน้าต่อไป ภายหน้าจะช่วยเกื้อหนุนเส้าถังของพวกเราได้ สำหรับเรื่องของนายท่าน ข้าหมดหวังกับเขามานานแล้ว เขายังทนความลำบากได้ไม่เท่าบุตรชายด้วยซ้ำ ยศจิ้นซื่อขั้นสองนั้นจะร่วงลงมาจากฟ้าได้อย่างไร เรื่องนี้มีเพียงเจ้ารู้ข้ารู้ก็พอแล้ว อย่าให้หลุดเล็ดลอดออกไปได้ เรื่องนี้เป็นนายท่านที่บีบคั้นให้ข้าไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่า อย่างไรก็ตามทางด้านนายท่านนั้นข้าพอจะจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องเพิ่มความยุ่งยากขึ้นหรอก”
จงหมัวมัวรีบขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
ตระกูลเลี่ยวดูเหมือนจะสวยงามรุ่งโรจน์ บ้านสายหลักดูเหมือนจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่ความจริงแล้วหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าเสียชีวิต นายท่านใหญ่ผู้ไร้ความสามารถและสูญเสียการปกป้องคุ้มครองจากมารดาก็กล้าด่าทอต่อว่าแต่ฟางซื่อเท่านั้น ทำให้ฟางซื่อและตระกูลเลี่ยวของพวกเขาต้องตกระกำลำบาก
ฟางซื่อบอกจงหมัวมัวว่า “หลังจากที่เจ้ากลับไปให้นำความไปแจ้งพ่อบ้านใหญ่ บอกว่าเมื่อคุณชายใหญ่แต่งงานแล้วจะพาสะใภ้คนใหม่ไปอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงด้วย มีที่สำหรับเก็บของได้สักที่ก็พอแล้ว บ้านเรือนข้างๆ ก็ไม่ต้องทำทางเชื่อมผ่านแล้ว หากมีคนถามขึ้นมา เจ้าก็บอกไปว่าตอนข้าไปไปเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากัวของตระกูลเฉิงในครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนยกเรื่องนี้มาพูด อยากให้คุณชายใหญ่ของพวกเราไปศึกษาเล่าเรียนกับนายท่านใหญ่ของตระกูลเฉิง เรื่องดีขนาดนี้ ข้าจะปัดทิ้งไปได้อย่างไร จึงตอบรับไปในทันที จากนั้นค่อยไปบอกพ่อบ้านรองที่ห้องบัญชีว่า ให้เขาไปเมืองหลวง ช่วยคุณชายใหญ่ซื้อบ้านพักหลังหนึ่ง ต้องเป็นบ้านที่ดี หากอยู่ใกล้ตระกูลเฉิงสักเล็กน้อยก็จะดีมาก ข้าจะออกเงินให้เอง ต่อไปบ้านหลังนี้ให้ลงบัญชีในนามของคุณชายใหญ่ ถือเป็นทรัพย์สินที่ดินที่ข้าซื้อให้เขาตอนแต่งงาน”
จงหมัวมัวตะลึงงัน เอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ติดตามเข้าเมืองหลวงพร้อมกับนายท่านใหญ่ได้หรือเจ้าคะ ให้สะใภ้คนใหม่ไปดูแลรับใช้คุณชายใหญ่กับนายท่านใหญ่เพียงลำพังจะไม่ค่อยดีหรือไม่ แทนที่ท่านจะมอบบ้านให้คุณชายใหญ่สักหลัง ให้คุณชายใหญ่กับนายท่านใหญ่พักอยู่ที่บ้านของตระกูลเลี่ยวจะดีกว่า…”
“ไม่ต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากถึงเพียงนั้น” ฟางซื่อกล่าวอย่างเยียบเย็น “ทุกคนเพียงตกลงกันว่าตอนที่ให้นายท่านใหญ่ไปเตรียมตัวสอบขุนนางที่จิงเฉิงนั้นจะให้นายท่านรองเว่ยช่วยชี้แนะเขาในเรื่องการเขียนอรรถาธิบายสือเหวิน[1] เป็นข้าเองที่ตระเตรียมให้คุณชายใหญ่ออกจากบ้านไปจิงเฉิงด้วย อยู่ในบ้านเท่ารังหนูเช่นนั้น คุณชายใหญ่ก็จะต้องได้รับความลำบากจากการต้องติดตามบิดาผู้ไม่เอาไหนของเขาทุกวัน เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร ส่วนเรื่องยอมให้นายท่านใหญ่ได้ร่ำเรียนกับนายท่านใหญ่จิง ข้าไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะตอบตกลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น หัวสมองถึงกับงงงันไปชั่วขณะ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลยทีเดียว พรุ่งนี้เจ้าไปพบคุณหนูรองตระกูลโจวสักหน่อย เล่าเรื่องเน่าเฟะในตระกูลเหล่านั้นให้นางฟัง หากทำให้ตระกูลเฉิงเอ่ยเรื่องให้คุณชายใหญ่ไปศึกษาอยู่กับนายท่านใหญ่จิงด้วยขึ้นมาก่อนโดยที่ข้าไม่ต้องไปโน้มน้าวได้ล่ะก็ ต่อไปเรื่องในจิงเฉิงข้าก็จะมอบหมายให้คุณหนูใหญ่ตระกูลโจวเป็นผู้ดูแล ข้าเองก็จะได้มีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งด้วย! หากทำไม่ได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยยอมเสียหน้าไปจินหลิงด้วยตนเองอีกครั้งก็แล้วกัน เลวร้ายที่สุดก็ขอคนจากตระกูลมารดาของข้าช่วยออกหน้าไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่ากัว อย่างไรก็ไม่อาจให้นายท่านใหญ่แบกชื่อเสียงกลวงๆ ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้”
จงหมัวมัวขานรับอย่างเห็นด้วยไม่หยุด
โจวเสาจิ่นไหนเลยจะคาดคิดว่าเหตุเพราะน้ำแร่จงหลิงเฉวียนของหลั่งเย่ว์ขวดหนึ่ง เมื่อเทียบกับชาติก่อนแล้ว พี่สาวและพี่เขยกลับได้รับบ้านหลังหนึ่งโดยไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย อีกทั้งพี่สาวก็ไม่ต้องมีชีวิตเหมือนดังชาติก่อนที่ถูกเหยียบย่ำรังแกอยู่ในตระกูลเลี่ยวเป็นเวลานานหลายเดือนจึงจะมีโอกาสไปดูแลเลี่ยวเส้าถังที่จิงเฉิง นับแต่นี้ไปก็จะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพบแม่สามีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งประหนึ่งอ๋องที่ไม่ต้องพบปะกับอ๋องพระองค์อื่นก็ไม่ปาน และก็เป็นช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ความสัมพันธ์ของโจวชูจิ่นกับเลี่ยวเส้าถังไม่มีอิทธิพลรอบข้างมาแทรกแซง ความรู้สึกรักใคร่ที่มีต่อกันจึงแน่นแฟ้นขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทำให้เลี่ยวเส้าถังยอมสละตำแหน่งทายาทคนโตของสายตรงเพื่อรักษาภรรยาและบุตรเอาไว้
นางกอดน้ำแร่จงหลิงเฉวียนเอาไว้แล้วไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างปลื้มปีติ
พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินว่าน้ำแร่ในอ้อมแขนของโจวเสาจิ่นคือน้ำแร่จงหลิงเฉวียนอันเป็นที่เลื่องลือว่าเป็น ‘น้ำแร่อันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเบิกบานว่า “ข้าชงน้ำชาให้ท่านสักกาหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบว่า “ดี” ไม่หยุด
สื่อมามาไปหยิบชุดน้ำชาออกมาด้วยตนเองอย่างมีไหวพริบ
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นหน้าโต๊ะน้ำชา ต้มน้ำ ลวกจอกน้ำชา คัดแยกใบชา ล้างใบชา แล้วชงชาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก…ทุกท่วงท่ากิริยาอ่อนช้อยประดุจสายน้ำไหลริน ละมุนละไมประดุจเมฆาลอยล่อง งามสง่าและมั่นใจ ราวกับไข่มุกทะเลใต้ชั้นดีก็ไม่ปาน เฉิดฉายงามผุดผาดเหลือคณา ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวทอดถอนใจกับสื่อมามาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “นี่ช่างเป็นโฉมสะคราญชงน้ำชาจริงๆ วันนี้ข้าช่างมีวาสนายิ่งนัก” เอ่ยชมจนโจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือก รีบเชิญฮูหยินผู้เฒ่าลิ้มลองน้ำชา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสูดกลิ่นหอมของชา แล้วค่อยๆ จิบน้ำชาอย่างช้าๆ พยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าวว่า “น้ำแร่จงหลิงเฉวียนนี้สมคำร่ำลือจริงๆ เมื่อวานพวกเราก็ดื่มชาเขียวไท่ผิงโหวขุยเหมือนกัน หากไม่ได้ดื่มเปรียบเทียบกันก็คงไม่รู้ แต่พอได้ดื่มเปรียบเทียบกันแล้วก็สัมผัสได้ว่า ชาที่ใช้น้ำแร่จงหลิงเฉวียนชงออกมาหอมสดชื่นกว่าชาที่ใช้น้ำอื่นๆ ชงออกมายิ่งนัก อย่างไรก็ตาม ชาที่เสาจิ่นเลือกใช้ก็ดีเช่นกัน น้ำชาของชาเขียวไท่ผิงโหวขุยมีสีเขียวใส และกลิ่นหอมเข้มข้น น้ำที่ใช้ชงชาก็หวานสดชื่น นุ่มละมุนกลมกล่อมพอดี หากเลือกใช้ชาเขียวลิ่วอันกวาเพี่ยนที่พวกเราดื่มไปเมื่อสองวันก่อน รสชาติคงจะไม่กลมกล่อมถึงเพียงนี้ ชาเขียวลิ่วอันกวาเพี่ยนมีรสชาติอ่อน และเจือกลิ่นของถั่วมันห่อจางๆ สีของน้ำชาเป็นสีเหลืองสว่างของผลซิ่ง[2] หากใช้น้ำแร่จงหลิงเฉวียนมาชง เกรงว่าน้ำแร่จะกลบรสชาติและกลิ่นหอมของชาเขียวลิ่วอันกวาเพี่ยนจนหมด ทำให้รสชาติของชาเจือจางลง ส่วนฝีมือการชงชา นั่นก็ยิ่งดี ท่วงท่าคล่องแคล่ว ไม่มีจังหวะเนิบช้าเลยสักนิด ทว่ากลับอ่อนช้อยและนุ่มนวล อ่อนน้อมแต่เด็ดเดี่ยว เป็นแก่นแท้ของวิถีแห่งชา และแก่นแท้ของวิถีแห่งทางสายกลาง…ดีมากๆ!”
โจวเสาจิ่นไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะชมเชยตนได้สูงส่งถึงเพียงนี้ ดวงหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธอย่างถ่อมตนสองประโยคนั้น จู่ๆ เสียงของเฉิงฉือก็ดังขึ้นข้างหูนางในทันที “มีเรื่องอะไรดีมากหรือขอรับ ท่านแม่พูดจนทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย!”
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมา เห็นเฉิงฉือยกยิ้มบางเบาขณะเดินเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวว่า “นี่ช่างเป็นการมาที่เหมาะกับคำกล่าวที่ว่ามาได้เร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะจริงๆ เสาจิ่นเพิ่งจะชงน้ำชาเสร็จพอดี เจ้าก็ลองชิมดูสักหน่อยเถิด”
“อ้อ!” พอเฉิงฉือเดินเข้ามาจนเห็นเหตุการณ์ในห้องได้อย่างแจ่มชัดแล้วในใจก็คาดเดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว พอได้ยินก็นั่งลงตรงข้ามมารดาอย่างสนอกสนใจยิ่ง โจวเสาจิ่นรีบหยิบจอกชาใบเล็กจอกหนึ่งออกมา แล้วรินน้ำชาจอกใหม่ให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือจิบไปคำหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “เป็นอย่างไร”
เฉิงฉือพยักหน้าพลางกล่าว “น้ำแร่จงหลิงเฉวียนสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘น้ำแร่อันดับหนึ่งในใต้หล้า’!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ถึงแม้จะมีวัตถุดิบดี แต่ก็ต้องดูว่าคนนำมาใช้ใช้อย่างไรด้วย โจวเสาจิ่นใช้น้ำแร่จงหลิงเฉวียนมาชงชาเขียวไท่ผิงโหวขุยถึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ หากว่าเป็นชาอื่นล่ะก็ อาจไม่ละมุนกลมกล่อมถึงเพียงนี้ก็ได้”
เฉิงฉือเหลือบมองโจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ หูแดงจนแทบจะหลั่งโลหิตออกมาได้แล้วก็ไม่ปานนั้นแล้ว ขบคิดอยู่ในใจว่า ไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะได้รับความโปรดปรานจากมารดา เขาตักน้ำแร่จงหลิงเฉวียนกลับมาถังหนึ่ง นอกจากเขาจะรู้วิธีการตักน้ำแร่จงหลินเฉวียนจากลำธารและชื่นชอบใช้น้ำแร่นี้ชงชามากแล้ว ยังตั้งใจจะทำให้มารดาประหลาดใจอีกด้วย แต่น้ำแร่นั้นไม่เหมือนกับน้ำอื่นๆ เก็บไว้นานจะเสียรสชาติ ดังนั้นเขาจึงบอกหลั่งเย่ว์นำไปมอบให้นางสักหน่อย ส่วนมารดาเขาจะเป็นคนนำมามอบให้ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าพอเด็กคนนี้ได้รับน้ำแร่มานอกจากจะไม่เก็บซ่อนเอาไว้แล้ว ยังนำมาให้มารดาลิ้มลองในทันทีอีกด้วย…ไม่เสียแรงที่มารดารักใคร่และเอ็นดูนาง
เขายิ้มพลางกระเซ้าเย้าแหย่มารดาว่า “ท่านลำเอียงเกินไปนะขอรับ ข้ายังพูดไม่จบ ท่านก็ตักเตือนข้าแล้วคำรบหนึ่ง ท่านรอให้ข้าพูดจบก่อนไม่ได้หรือ หากยังรู้สึกว่าฟังไม่ขึ้น ท่านค่อยตักเตือนข้าก็ได้!”
“เจ้าไปเรียนรู้การตีฝีปากนี้มาจากผู้ใดกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เอ่ยว่า “ต่อหน้าแม่ของเจ้าก็ยังไม่ทำตัวสำรวม ระวังจะทำให้เสาจิ่นตกใจกลัวเอาได้!”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “นางมีท่านปกป้องอยู่ ยังจะเกรงกลัวข้าอีกหรือ”
โจวเสาจิ่นถูกเฉิงฉือสองแม่ลูกเย้าแหย่ ดวงหน้าร้อนผะผ่าวราวกับเพลิงไฟแผดเผา ก้มหน้าลงไม่กล้าชายตาขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วรู้สึกน่าขบขันยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดูนางไปด้วยเช่นเดียวกัน จึงต่อว่าเฉิงฉือว่า “ที่ใดมีน้าเช่นเจ้ากัน เสาจิ่น มาหาข้านี่ อย่าไปสนใจเขาเลย”
โจวเสาจิ่นราวกับกระต่ายน้อยที่หวาดผวา รีบหลบไปอยู่ข้างหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ พลางปลอบนางอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวเขาหรอก ยังมีข้าอยู่!”
โจวเสาจิ่นงึมงำขานรับ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยื่นจอกน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าให้เฉิงฉือ พลางสั่งเขาว่า “ไปชงชาเสียไป!”
……………………………….