ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 225 กลับถึงบ้าน
กระทั่งชุนหว่านส่งจงหมัวมัวออกไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็เดินวนอยู่ในห้องสองรอบอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่พี่สาวแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวแล้ว ชีวิตคงจะไม่ลำบากเฉกเช่นในชาติที่แล้วอีกเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม นางจะบอกเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรดีนะ
โจวเสาจิ่นรู้สึกลำบากใจขึ้นมาอีกครั้ง
ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่ฟางซื่อได้ขอให้ท่านลุงทั้งสองท่านของจวนหลักช่วยชี้แนะในเรื่องการเขียนอรรถาธิบายสือเหวินให้บิดาของพี่เขยที่จะเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รับปากไปแล้วด้วย…
ขณะที่นางกำลังรู้สึกเป็นกังวลอยู่นั้น สื่อมามาก็เข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าซ่งตกลงให้ฮูหยินซ่งกับคุณชายน้อยซ่งไปเป็นแขกที่จวนพวกเราแล้วเจ้าค่ะ บ่ายนี้พวกเราจะเปลี่ยนไปขึ้นเรือสำราญ แล้วคืนนี้ก็จะเร่งเดินทางกันทั้งคืน พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ ก็ถึงจินหลิงแล้วเจ้าค่ะ!”
แม้นโลกข้างนอกจะดีเพียงใด แต่บ้านเป็นที่อยู่ของตนเอง ความชื่นชมยินดีที่จะได้กลับบ้านจึงเอ่อล้นออกมาบนใบหน้า
ทันใดนั้นเงาร่างของพี่สาว ท่านยายและคนอื่นๆ ก็วาบผ่านห้วงความคิดของโจวเสาจิ่น จู่ๆ ก็รู้สึกลิงโลดเหลือคณาขึ้นมาในทันใด
“ข้าจะให้พวกชุนหว่านเก็บของให้พร้อม” นางเรียกชุนหว่านอย่างดีใจ แล้วเริ่มจัดเก็บข้าวของ เรื่องกังวลใจที่ว่าจะช่วยพูดให้เลี่ยวเส้าถังอย่างไรนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปข้างหลังชั่วคราว
หลังจากที่เปลี่ยนไปขึ้นเรือสำราญแล้ว ผู้เฒ่าซ่งก็พาหวงอี๋จวินมาส่งพวกนาง ตระกูลเกา ตระกูลเฉิน ตระกูลเลี่ยวและตระกูลอื่นๆ ที่ได้รับข่าวต่างก็ให้คนมาส่งด้วย ท่าเรือจึงคึกคักจอแจเป็นอย่างมากอยู่นาน กระทั่งเรือสำราญแล่นออกจากท่าเรือเจิ้นเจียงจนมองไม่เห็นเรือแล้ว ผู้คนเหล่านั้นถึงได้กล่าวร่ำลากันแล้วแยกย้ายกันกลับไป
ทว่าผู้ที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดคงจะเป็นซ่งเซิน เขาวิ่งไปมาอยู่ในห้องของโจวเสาจิ่น ประเดี๋ยวก็หยิบกล่องแป้งหอมของนางขึ้นมาพลางถามนางว่า “พี่สาวโจว นี่คืออะไร”
โจวเสาจิ่นตอบว่าเป็นกล่องแป้งหอม
เขาพิเคราะห์ดูกล่องแป้งในมือกลับไปกลับมา พลางเอ่ยถามว่า “ไฉนถึงไม่เหมือนกับกล่องแป้งของท่านแม่และพี่สาวของข้าเล่า”
ประเดี๋ยวก็เปิดดูตู้ตัวสูงที่หัวเตียงของโจวเสาจิ่น
ชุนหว่านอุ้มเขาออกมา
เขาจึงวิ่งไปกอดเอวของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ตะโกนเรียก “พี่สาวโจว” ไม่หยุด พลางฟ้องว่า “พี่ชุนหว่านดุข้า!”
ทำเอาชุนหว่านโมโหจนหน้าดำหน้าแดงเลยทีเดียว
โจวเสาจิ่นกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเป็นสตรี เจ้าเป็นบุรุษ เจ้าเปิดดูตู้ของข้าตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ชุนหว่านดุเจ้าก็ถูกแล้ว!”
ซ่งเซินหน้าละห้อย
โจวเสาจิ่นจึงถามเขาว่า “ข้าต้องไปคารวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่า เจ้าอยากจะไปกับข้าหรือไม่”
“ไปๆๆ” ซ่งเซินรีบตอบ ประหนึ่งว่าขอเพียงได้อยู่กับโจวเสาจิ่น จะทำอันใดก็ดีไปหมดก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพาซ่งเซินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินซ่ง พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ฮูหยินซ่งก็ลุกขึ้นมาในทันที ยิ้มเจื่อนๆ พลางกล่าวว่า “เผลอพริบตาเดียวเด็กคนนี้ก็หายตัวไปแล้ว ข้ายังคิดอยู่ว่าเขาคงจะไปหาเจ้า จึงรีบบอกให้แม่นมของเขาไปตามหา”
“เขาเพียงรู้สึกเบื่อเท่านั้นเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวแก้ตัวแทนซ่งเซินอย่างสุภาพ กล่าวว่า “ข้ายังพูดคุยเป็นเพื่อนท่านหรือฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่คุณชายน้อยซ่งกลับไม่มีใครให้พูดคุยด้วยแม้แต่คนเดียว เขาอยู่บนเรืออย่างเชื่อฟัง ไม่งอแงอยากจะขึ้นฝั่ง ไม่โวยวายอยากจะไปตกปลาก็ถือว่าไม่เลวมากแล้วเจ้าค่ะ”
มารดาที่รักใคร่เอ็นดูบุตรและธิดาล้วนเหมือนกันหมดทั่วหล้า
ฮูหยินซ่งคิดว่าโจวเสาจิ่นกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก นางไม่เพียงคิดว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นมีเหตุผล แต่สายตาที่มองดูบุตรชายยังอ่อนโยนยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน คิดว่าบุตรชายเป็นดังที่โจวเสาจิ่นบอก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็ดูว่านอนสอนง่ายขึ้นมาก
นางยิ้มพลางแลกเปลี่ยนคำทักทายกับโจวเสาจิ่นสองสามประโยค แล้วจึงให้บุตรชายนั่งลงไปใหม่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามนางว่า “เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง หากยังไม่เสร็จก็ไม่ต้องเป็นกังวล นี่เป็นเรือของตระกูลพวกเราเอง ยามที่พวกเขาเก็บกวาดห้องพักโดยสาร หากพบสิ่งของใดที่ไม่ใช่ของบนเรือ ก็จะให้พ่อบ้านมาแจ้งให้พวกเราทราบเอง”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีก็คิดจะตอบว่า ‘ข้าวของถูกจัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว’ แต่พอได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าคงได้แต่ตอบว่า ‘ข้าวของน่าจะถูกจัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว’ แทน ไม่เช่นนั้นหากพ่อบ้านบนเรือพบว่าข้าลืมของไว้บนเรือ จะทำให้ท่านหัวเราะเอาได้เจ้าค่ะ”
ปกตินางมักจะทำตัวจริงจัง ไม่เคยพูดจาล้อเล่นเช่นนี้มาก่อน ตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะเสียงสดใสขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
เห็นทีว่าการพูดล้อเล่น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากถึงเพียงนั้น!
เนื่องจากมีฮูหยินซ่งอยู่ด้วย เฉิงฉือจึงรับมื้อเย็นอยู่ในห้องพักโดยสารของตนตามลำพัง
ตกกลางคืน พอคิดว่าพรุ่งนี้จะได้พบพี่สาว ท่านยายและคนอื่นๆ แล้ว โจวเสาจิ่นก็รู้สึกตื่นเต้น ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เอ่ยถามชุนหว่านที่อยู่เวรไม่หยุดว่า “ของขวัญที่ข้าซื้อมาแยกออกมาหมดแล้วหรือยัง ขาดของผู้ใดไปหรือไม่ คงไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วกระมัง”
ชุนหว่านได้แต่ตอบนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ของทั้งหมดล้วนแยกเอาไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ทั้งยังใช้กระดาษแปะด้านนอกกล่องเอาไว้แผ่นหนึ่งด้วย ไม่ผิดพลาดแน่นอนเจ้าค่ะ รายชื่อทั้งหมดก็ล้วนคัดตามใบรายชื่อที่ท่านเขียนให้ข้าก่อนหน้านี้อย่างละเอียด ไม่น่าจะมีสิ่งใดผิดพลาดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า จวบจวนฟ้าใกล้สว่างถึงผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้นนางจึงตื่นสาย
โชคดีที่ทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการตระเตรียมเรื่องต่างๆ เพื่อที่จะลงเรือ นอกจากซ่งเซินที่มาหาโจวเสาจิ่นสองครั้งแต่ถูกคนหยุดเขาไว้ที่นอกประตูห้องแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ได้สังเกตเห็น
ครั้นรับมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ไม่เพียงโจวเสาจิ่นเท่านั้น แม้แต่ชุนหว่านและคนอื่นๆ ต่างก็นั่งไม่ติดกับที่แล้วเหมือนกัน ทั่วเรือสำราญเต็มไปด้วยบรรยากาศเริงร่ายินดีที่ได้กลับบ้านเกิด ได้พบหน้าครอบครัว ยิ่งกว่านั้นระหว่างทางก็พบเรืออูเฝิงที่ตระกูลเฉิงส่งมาต้อนรับพวกเขา อารมณ์ของทุกคนจึงปลื้มปีติถึงขีดสุด ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านเสียทีก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น กระทั่งถึงสะพานเจียงเป่ย ทุกคนต่างร้องยินดีอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดคนจินหลิงถึงได้เรียกสะพานเจียงเป่ยว่าเป็นสะพานแรกของเมืองจินหลิน
ขอเพียงเห็นสะพานนี้ ก็รู้แล้วว่าตนมาถึงจินหลิงแล้ว นี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองจินหลิง เป็นที่ที่บ้านตั้งอยู่
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ข้างหน้าต่างเรือ มองดูเรือสำราญค่อยๆ ลอดผ่านสะพานเจียงเป่ยไปอย่างช้าๆ มองดูสะพานเจียงเป่ยที่อยู่ข้างหลังตนค่อยๆ ห่างออกไป
ไม่เหมือนกับความรู้สึกกระวนกระวายที่ไม่อาจล่วงรู้หนทางเบื้องหน้ายามที่ออกจากเมืองจิงหลิง ตอนที่กลับถึงเมืองจินหลิง จิตใจของนางทั้งสงบและผ่อนคลาย
นางถึงได้รู้ว่า เป็นคนมาสองชาติภพ ไม่ว่าเมืองจินหลิงเคยทำร้ายนางอย่างไร นางก็ยังคงรักเมืองนี้อยู่เหมือนเดิม
ผู้คนเดินขวักไขว่อย่างเนืองแน่นอยู่บนถนน ตอนที่ออกเดินทางพวกนางสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวสำหรับฤดูร้อน ตอนที่กลับมาสวมเสื้อกันหนาวบุนวมสำหรับฤดูหนาว ทว่าบรรยากาศคึกคักในตลาดกลับยังคงเป็นเช่นเดิม ทว่าเมื่อโจวเสาจิ่นเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองสำรวจ ความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นที่มีก่อนหน้ากลับลดน้อยลง ความสงบเย็นใจกลับเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หรือว่าเป็นเพราะนางเคยเห็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่านี้มาแล้วกันนะ
ทว่าก่อนที่นางจะย้อนเวลากลับมาใหม่นั้นอาศัยอยู่ที่จิงเฉิง หากจะเอ่ยถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง นอกจากจิงเฉิงแล้วยังมีเมืองใดที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าได้อีกเล่า เหตุใดตอนนั้นนางถึงไม่รู้สึกเช่นนี้นะ
กระทั่งเกี้ยวจากซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิงผ่านประตูข้างเข้ามา ฉากที่คุ้นเคยเหล่านั้นก็ปรากฏผ่านหน้านางทีละฉาก นางถึงได้กระจ่างแจ้งว่า นี่ไม่เกี่ยวกับขนาดของเมือง และไม่เกี่ยวกับความซับซ้อนหรือเรียบง่ายของทิวทัศน์ แต่เป็นที่จิตใจของนาง สายตาที่นางมองสิ่งต่างๆ จึงไม่เหมือนเดิมมากยิ่งขึ้น ในอดีต นางเดินทางจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง แม้นทิวทัศน์จะสวยเพียงใดก็เพียงเท่านั้น ครั้งนี้นางเดินทางกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือ ได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามและยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพุทธกลางท้องทะเล ได้เห็นความยิ่งใหญ่ตระการตาของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหังโจว ได้นั่งเรือสำเภา ได้ไปเยี่ยมร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาต่างๆ ได้ดื่มน้ำชาที่ชงด้วยน้ำแร่จงหลิงเฉวียน…นางถึงได้รู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด และตัวนางนั้นกระจ้อยร่อยเพียงใด
ความทุกข์ระทมที่เคยประสบมาเหล่านั้น ราวกับ ณ ชั่วขณะนี้กลายเป็นไม่ได้เจ็บปวดเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่โจวเสาจิ่นขบคิดอยู่ เกี้ยวก็หยุดจอด บ่าวหญิงที่ตระกูลเฉิงส่งมาเลิกผ้าม่านขึ้น ผู้คนสวมชุดสีสันสดใสต่างยืนอยู่หน้าศาลาทิงอวี่ ทว่าเพียงมองปราดเดียวก็เห็นพี่สาวที่ประคองท่านยายอยู่แล้ว
นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีชมพูทอลวดลายสวยงามตัวหนึ่ง ปักปิ่นดอกไม้ติดขนนกกระเต็น เห็นแล้วทั้งดูอ่อนหวานและอ่อนโยน
โจวเสาจิ่นหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“ท่านพี่!” นางโผกอดพี่สาวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
ความกังวลใหญ่น้อยใดๆ ล้วนมลายหายไปในพริบตา เวลานี้นางเพียงปรารถนาจะอิงแอบกายให้ชิดพี่สาวที่ตนรักที่สุด
โจวชูจิ่นโอบกอดน้องสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสี่เดือน น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
น้องสาวเติบโตขนาดนี้นี่นับเป็นครั้งแรกที่แยกจากนาง การขี่ม้าล่องเรืออยู่ข้างนอกนั้นอันตรายยิ่งนัก ตั้งแต่ที่น้องสาวออกเดินทางนางก็จุดธูปหน้าองค์พระโพธิสัตว์ให้น้องสาวทุกวัน อธิษฐานขอให้พระพุทธองค์ปกป้องรักษานางให้ปลอดภัย
ทุกคนต่างตะลึงงัน
นายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรองเลิกคิ้วขึ้น กล่าวยิ้มๆ อย่างมีเลศนัยว่า “เด็กคนนี้ ออกไปข้างนอกพร้อมกับสะใภ้ใหญ่มาครั้งหนึ่ง ก็ไม่เห็นจะทำตัวโตขึ้นบ้างเลย มีผู้ใหญ่อยู่ตรงนี้มากมายถึงเพียงนี้ แต่นางก็ดี กลับร้องไห้โผเข้าไปกอดพี่สาว เสมือนได้รับความทุกข์ใจมาเสียหนักหนาก็ไม่ปาน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปาก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “เมื่อเด็กพบหน้ามารดา แม้นไม่มีเรื่องอะไรก็ล้วนอยากร้องไห้ออกมาสักสามรอบ จวนสี่ก็เหมือนกับบ้านมารดาของนาง เมื่อเด็กเห็นหน้ามารดา ร้องไห้สักสองสามรอบก็ถือเป็นเรื่องปกติ เจ้าเป็นผู้อาวุโส อย่าไปถือสาหาความมากมายเพียงนั้นเลย เสาจิ่น มาโขกศีรษะให้ท่านยายของเจ้าก่อน รองจากข้าแล้ว นางก็เป็นผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดของเจ้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าถังหน้าดำหน้าแดง รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
นางไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะปกป้องโจวเสาจิ่นเช่นนี้ ยิ่งไม่คิดว่าพอฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้าประตูมาแล้วจะประชันกับนางอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ยอมลดลาให้กันแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้ตัวว่าตนลืมตัวเสียแล้ว ทว่าอย่างอธิบายไม่ได้ นางกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีแต่ความรู้สึกขัดเขินที่เสียกิริยาไปเท่านั้น
นางรีบเช็ดน้ำตา แล้วเดินไปที่หน้าเบาะรองที่ไม่รู้ว่าใครวางเอาไว้ข้างหน้าฮูหยินผู้เฒ่าถังอย่างเรียบร้อย ย่อเข่าลงเล็กน้อย หมายจะโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าถัง
หงซื่อรีบก้าวออกมาจับโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ “เจ้าเด็กคนนี้ พวกผู้ใหญ่เพียงพูดล้อเล่นกัน เจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้อย่างไร” ขณะที่กล่าวก็ชำเลืองมองสื่อมามาที่นำเบาะรองมาวาง แล้วโอบโจวเสาจิ่น “กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว! ท่านยายกับพี่สาวของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!”
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ตั้งใจให้โจวเสาจิ่นคุกเข่าโขกศีรษะจริงๆ พอเห็นหงซื่อออกหน้ามาแก้สถานการณ์ ก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความต่อ แนะนำฮูหยินซ่งให้ทุกคนรู้จัก “…บังเอิญพบกันระหว่างทาง ถึงได้รู้ว่าเป็นฮูหยินของซ่งจิ่งหรานผู้เป็นที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออก เจ้ากรมคลัง บัดนี้นายท่านใหญ่ก็เป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว ฮูหยินซ่งก็ไม่ใช่คนนอกแต่อย่างใด ข้าจึงเชิญนางมาเป็นแขกที่บ้าน”
ตระกูลซ่งนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ความคิดของซ่งจิ่งหรานไม่ได้หมกมุ่นอยู่ในห้องหอ บวกกับอุปนิสัยทุนเดิมของนาง ฮูหยินซ่งจึงไม่เห็นคลื่นยักษ์ที่กระเพื่อมอยู่ระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่าถังเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย นางคลี่ยิ้มพลางก้าวออกมาคารวะบรรดาฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินของแต่ละจวน
เฉิงฉือที่มาส่งมารดายืนอยู่นอกวง มองคนกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวงดงามอยู่ไม่ไกลนักด้วยสายตาเยียบเย็น รู้สึกดูแคลนอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้นผ่านไปหลายปี จวนรองก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไปๆ มาๆ ก็รู้จักแต่จะใช้ถ้อยคำเหน็บแนม ยังมีจวนสาม ที่เป็นดั่งหญ้าบนกำแพงที่ลู่ไปตามลมเสมอ คิดอะไรก็ไม่พูดคำนึงถึงแต่เพียงผลประโยชน์ของตนเอง จวนสี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ใช้ชีวิตโดยเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง แสร้งทำเป็นว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ไม่เลวร้ายเท่าจวนห้า ที่ต้องการสิ่งใดก็ต้องได้ประเดี๋ยวนั้น นึกจะทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น…
เขากล่าวกับไหวซานอย่างเอือมระอาเล็กน้อยว่า “พวกเรากลับกันเถอะ”
ไหวซานเอ่ยถามว่า “ไม่ไปคารวะท่านผู้นำตระกูลสักหน่อยหรือขอรับ”
“ข้าเพิ่งกลับมา” เฉิงฉือตอบอย่างเกียจคร้าน “รู้สึกเพลียๆ พรุ่งนี้ค่อยไปก็แล้วกัน!”
ไหวซานขานรับ
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินอ้อมศาลาทิงอวี่ แล้วกลับเรือนหานปี้ซานไป
………………………