ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 270 ทะเลาะวิวาท
คนที่อยู่ภายในห้องสะดุ้งตกใจกันเป็นอย่างมาก
สื่อมามายิ่งแล้วใหญ่ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากก็ก้าวออกไปจับฮูหยินใหญ่เวิ่นเอาไว้ “นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ มีเรื่องอะไรที่พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่อาจทานทนต่อเรื่องโศกหรือขุ่นเคืองใจใหญ่ๆ ได้แล้ว เชิญฮูหยินใหญ่เวิ่นลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ เถิดเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางสุภาพ ทว่าดวงตาที่หันไปส่งสายตาให้สาวใช้ที่อยู่รอบๆ ครั้งหนึ่งนั้นมีแววดูถูกสายหนึ่งวาบผ่าน
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ได้สติคืนกลับมา หมาเหน่าไปเรียกบ่าวหญิงรูปร่างแข็งแรงกำยำหลายคนเข้ามา ส่วนปี้อวี้และอีกหลายคนต่างก้าวออกไปช่วยกันทั้งดึงทั้งเหวี่ยงเพื่อลากตัวตัวฮูหยินใหญ่เวิ่นให้ลุกขึ้นมา
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรีบประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ข้างๆ
ส่วนสื่อมามาหลอกล่อฮูหยินใหญ่เวิ่นไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องข้าง ส่วนป้ารับใช้ที่ประคองฮูหยินใหญ่เวิ่นเข้ามาผู้นั้นกลับถูกทิ้งเอาไว้ในห้อง
“ตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามป้าผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่ง
ป้าผู้นั้นตกใจกลัวจนตัวสั่นไม่หยุด กล่าวอึกๆ อักๆ ว่า “คนทางโน้นให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง นายท่านใหญ่ของพวกข้าไม่อยู่บ้านเลยทั้งวัน ฮูหยินใหญ่จึงคิดว่าอยากจะหาภรรยาให้คุณชายนั่วให้เร็วขึ้น ดูไปดูมา ก็ไปถูกใจหลานสาวผู้หนึ่งจากตระกูลของตัวเอง ทั้งสองตระกูลต่างเชิญแม่สื่อมาแล้ว เหลือเพียงรอเลือกฤกษ์ดีสักวันหนึ่งได้แล้วก็จะไปพูดเรื่องสู่ขอ แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดเอาเรื่องนี้ไปบอกนายท่านใหญ่ นายท่านใหญ่จึงวิ่งมาดุด่าฮูหยินใหญ่ถึงเรือนหลัก…” ขณะที่เล่าอยู่นั้น ก็มองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉยโดยตลอด ถึงได้กล่าวต่อว่า “ฮูหยินใหญ่กับนายท่านใหญ่จึงมีปากเสียงกันขึ้นมา นายท่านใหญ่พลันอารมณ์เดือดสูงขึ้น ดึงดาบที่แขวนอยู่บนผนังลงมาต้องการจะฆ่าฮูหยินใหญ่…ฮูหยินใหญ่ไม่มีทางเลือก จึงวิ่งหนีมาหาท่านที่นี่ หวังให้ท่านช่วยเป็นหลักยึดให้ฮูหยินใหญ่ ช่วยรักษาชีวิตให้นางเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้ว เม้มปากอย่างอดรนทนไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อยว่า “พวกเขาสามีภรรยาทะเลาะกัน เจ้าถึงกับพาหลานสะใภ้เวิ่นวิ่งมาหาข้าถึงที่นี่ได้ แสดงว่าคงเป็นคนข้างกายของหลานสะใภ้เวิ่นกระมัง เจ้าไม่เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวฮูหยินใหญ่และนายท่านใหญ่ของพวกเจ้าก็แล้วไปเถิด แต่มาเจอข้าแล้วก็ยังเอาแต่พูดจาไร้สาระ เจ้าคงคิดว่าที่นี่เป็นสวนผักกระมัง ที่อยากมาก็มา อยากไปก็ไป อยากพูดอะไรก็พูด อยากส่งเสียงโวยวายก็กระทำได้ใช่หรือไม่ สื่อมามา เจ้าเอาตัวป้าผู้นี้ไปโบยสามสิบครั้งแล้วค่อยมาสอบถามใหม่!”
สื่อมามาขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
ป้าผู้นั้นตัวสั่นไปทั้งร่าง คุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมกับโขกศีรษะลงพื้นเสียงดัง กึกๆๆ โขกศีรษะไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวไม่กล้าพูดเจ้าค่ะ! บ่าวเป็นเพียงผู้น้อยผู้หนึ่ง จะกล้าตำหนิเรื่องของฮูหยินกับนายท่านได้อย่างไรเจ้าคะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้กล่าวอะไร
สื่อมามายิ้มเย็นพลางกล่าว “ตำหนิหรือ เจ้ารู้ด้วยหรือว่าเป็นการตำหนิ! เหตุใดเจ้าจะไม่กล้าตำหนิผู้อื่นต่อหน้า ในเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้ายังกล้าเลย ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าเป็นผู้ใด ใช่คนที่คนหูตาไร้แววจิตใจชั่วช้าอย่างพวกเจ้าจะมาหลอกลวงได้หรือ!”
ขณะที่นางกล่าว ป้ารับใช้ร่างกำยำหลายคนก็เข้ามาจับตัวป้าผู้นั้นเอาไว้
ป้าผู้นั้นตกใจร้องโหวกเหวกเสียงดัง กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าๆ ท่านได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ! เป็นนายท่านใหญ่ นายท่านใหญ่ที่ถูกใจหลานสาวของอนุข้างนอกผู้นั้น บอกว่าต้องการให้หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่นั่ว ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าจะยอมอนุญาตได้อย่างไร ก็เลยมีปากเสียงขึ้นมาเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตาลง ด้วยท่าทางไม่อยากฟังนางพูดจาไร้สาระอีก
ป้ารับใช้ร่างกำยำสองสามคนนั้นเอาตัวนางออกไปโบยด้านนอก
นางตะโกนร้องขอความเมตตา ยังหันไปตะโกนร้องกับโจวเสาจิ่นด้วยว่า “คุณหนูรอง ได้โปรดช่วยพูดแทนป้าแก่ๆ สักประโยค ข้าจะจดจำบุญคุณของท่านไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ!”
เพียงยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังถูกลากลงน้ำไปด้วยอีก
นี่ถือเป็นความโชคร้ายที่ตกลงมาจากสวรรค์ใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดีแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่แต่เดิมเพียงมีสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อยนั้นบัดนี้กลับเดือดดาลราวฟ้าผ่า หนึ่งฝ่ามือตบลงบนโต๊ะน้ำชาที่อยู่ข้างๆ เอ็ดตะโรขึ้นว่า “ข้าก็ว่าจวนห้าที่ยังดีๆ อยู่เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะมีบ่าวแก่ๆ อย่างพวกเจ้าคอยยุแยงสร้างเรื่องวุ่นวายอยู่นี่เอง คุณหนูยืนอยู่ตรงนั้นดีๆ ก็เป็นพวกเจ้าที่ร้องโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง อุดปากนางให้เงียบลงเสีย โบยสามสิบทีแล้วเรียกคนจากนายหน้าเข้ามาแล้วขายนางทิ้งไปเสีย”
คนที่อยู่ภายในห้องต่างตกใจกลัวจนหน้าถอดสี รวมถึงโจวเสาจิ่นด้วย
ที่ผ่านมานางไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าโมโหหนักขนาดนี้มาก่อน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับยังไม่หายจากความโกรธ กล่าวขึ้นว่า “หากมีกิ่งไม้หรือใบไม้เล็ดลอดออกไปแม้แต่นิดเดียว ก็ให้ขายทิ้งให้หมด”
ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลที่มีเมตตากรุณา มิใช่ประเภทที่พอเจ้านายไม่พอใจก็เรียกผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไปตีหรือขายทิ้ง
เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวมากจริงๆ
เสื้อแขนกุดตัวในของสื่อมามาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขานรับคำว่า “เจ้าค่ะ” อย่างเกรงกลัว ทว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นกลับพุ่งออกมาจากห้องข้างที่อยู่ข้างๆ ด้วยหัวกระเซอะกระเซิง
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่” นางพูดขณะที่จะลงไปคุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่เพิ่งผ่านเรื่องเมื่อครู่มาจึงมีประสบการณ์แล้ว ไม่รอให้นางได้คุกเข่าลงไปก็จับตัวฮูหยินใหญ่เวิ่นเอาไว้แน่นซ้ายคนขวาคน ฮูหยินใหญ่เวิ่นเองก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องพวกนี้อีก ร้องไห้พลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านเมตตานางด้วยเถิดนะเจ้าคะ! ตลอดหลายปีมานี้ หากมิใช่เพราะมีบ่าวเก่าแก่เหล่านี้อยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าคงจะโมโหตายเพราะนายท่านใหญ่ไปแล้ว! ที่นางไม่พูด นั่นก็เพราะเห็นแก่หน้าข้า…” สายตาของนางตกไปอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น “หากนางพูดอะไรผิดไป ข้าขอโทษท่านแทนนางด้วยนะเจ้าคะ” แล้วก็เอ่ยเสียงนุ่มขึ้นอย่างขอร้องวิงวอนว่า “เสาจิ่น เห็นแก่ที่เจ้ามาอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาตั้งแต่เล็กๆ ช่วยป้าใหญ่เวิ่นขอความเมตตาสักครั้งหนึ่งได้หรือไม่”
เหตุใดเรื่องนี้ถึงวนกลับมาที่ตัวนางอีกแล้ว
โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้าง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นมาร้อง “เพ้ย” ใส่ฮูหยินใหญ่เวิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก! ที่จวนห้าวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมาทั้งนั้น…”
ฮูหยินใหญ่เวิ่นไม่กล้าแบกรับความผิดเช่นนี้ได้ ไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้กล่าวจนจบ นางก็ร้องไห้ออกมา “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านไม่ช่วยข้าก็ช่างมันเถิด แต่ยังผลักความผิดนี้มากองบนตัวข้าอีก ข้า…ข้า…ข้าตายๆ ไปเสียก็แล้วกัน!” กล่าวจบ ก็หันไปจะวิ่งเข้าไปชนเสาที่อยู่ข้างๆ
ปี้อวี้และอีกหลายคนช่วยกันจับนางเอาไว้อย่างแข็งขัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรังเกียจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “นางอยากตาย พวกเจ้าก็ปล่อยให้นางตายไปก็แล้วกัน! จะได้มีที่ให้อนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นย้ายเข้ามาได้พอดี!”
ฮูหยินใหญ่เวิ่นได้ยินแล้ว ก็ล้มพับลงไปกองกับพื้นราวกับเป็นตะคริวก็ไม่ปาน ร้องไห้คร่ำครวญออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง ยื่นมือไปให้โจวเสาจิ่นประคองตัวเองเอาไว้ หมายจะเดินเข้าไปที่ห้องชั้นใน
เมื่อฮูหยินใหญ่เวิ่นเห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวายใจ หวีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่” แล้วร้องไห้ออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าปากไวไม่รู้จักคิด ท่านยกโทษให้ข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าคะ! ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว…”
บ่าวรับที่อยู่กันเต็มห้องต่างก้มศีรษะลง ราวกับไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ชั่วขณะหนึ่งภายในห้องพลันเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้ของฮูหยินใหญ่เวิ่นเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่าตอนที่พวกเจ้าเพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ นั้นเป็นเช่นนี้หรือไม่ เจ้าปรนนิบัติแม่สามีของเจ้ารับมื้ออาหารเสร็จแล้ว หลังจากที่เจ้ากลับไปหลานเวิ่นยังนวดขาให้เจ้า แต่เจ้าดูเจ้าในตอนนี้ มีบุรุษที่ไหนบ้างที่ไม่เหมือนกับเด็ก ที่ต้องให้คนหลอกล่อเอาใจ แต่เจ้าก็ดี ฟังบ่าวแก่พวกนั้นยุแยง ต้องการทะเลาะกับหลานเวิ่นให้รู้แพ้รู้ชนะ หลานเวิ่นยอมลงให้เจ้า เจ้าก็ฟังบ่าวแก่พวกนั้น บอกว่าเป็นเพราะเขากลัวเจ้า เจ้าเองก็เหมือนกัน ยิ่งอยู่ก็ยิ่งโวยวายจนได้ใจ เจ้าดู ว่าตอนนี้เขากลัวเจ้าหรือไม่ แล้วเจ้าก็ลองดูคนข้างกายเจ้าเหล่านั้นอีกที มีผู้ใดบ้างที่ไม่แอบเก็บเงินส่วนตัวแล้วไปซื้อบ้านซื้อที่อยู่ข้างนอกบ้าง”
ดวงหน้าของฮูหยินใหญ่เวิ่นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ น้ำตาประดับอยู่บนใบหน้า ลืมร้องไห้ไปชั่วขณะ พึมพำกล่าวขึ้นว่า “บางส่วนก็เป็นข้า…เป็นข้าที่มอบให้เจ้าค่ะ!”
“นั่นก็ใช่!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “แต่ถ้าพวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่สร้างเรื่องวุ่นวายถึงเพียงนี้ พวกเขาจะได้รับเงินรางวัลมากมายเพียงนั้นหรือ ข้าบอกว่าที่จวนห้าวุ่นวายจนกลายเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าสร้างมันขึ้นมาทั้งสิ้น เจ้าก็ยังไม่ยอมรับ”
ฮูหยินใหญ่เวิ่นได้ยินแล้วมุมปากอ้าๆ หุบๆ อยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อหน้าข้าแล้ว เจ้าพูดความจริงมาว่าตกลงเจ้าพูดอะไรไปบ้าง ถึงทำให้หลานเวิ่นอยากฆ่าเจ้า หลานเวิ่นมิใช่คนที่เสียสติ ที่พอได้ยินคำที่ไม่ถูกใจ ก็อยากจะฆ่าแม้กระทั่งภรรยาของตัวเอง”
“ข้า…ข้าไม่ได้พูดอะไรเจ้าค่ะ” แววตาของฮูหยินใหญ่เวิ่นไหวระริก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เรื่องของเจ้า เจ้าก็ไปจัดการเองก็แล้วกัน!” กล่าวจบ ยกเท้าขึ้นจะเดินจากไป
หมาเหน่ากลับวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่เวิ่นมาเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
ฮูหยินใหญ่เวิ่นได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกับกระต่ายที่กระโดดเข้าไปหลบอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรวดเร็ว ร้องขึ้นว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านดูสิเจ้าคะๆ! เขาถึงกับตามมาถึงที่นี่…”
ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ เฉิงเวิ่นที่ถือดาบเปล่งประกายวิบวับเล่มหนึ่งเอาไว้นั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยความเดือดดาลแล้ว
โจวเสาจิ่นตกใจ รีบไปยืนขวางฮูหยินผู้เฒ่ากัวไว้โดยไม่ต้องคิด
มีรอยยิ้มสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางดึงตัวโจวเสาจิ่นไปอยู่ด้านหลัง
เฉิงเวิ่นกลับทิ้งดาบลงบนพื้นเสียงดัง เคร้ง เสียงหนึ่ง ตรงไปนั่งคุกเข่าลงพร้อมกับหันไปค้อมตัวโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านต้องช่วยตัดสินให้ข้านะขอรับ!” กล่าวจบ เขาก็หันไปชี้ฮูหยินใหญ่เวิ่นด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างโกรธแค้น “ภรรยาชั้นต่ำผู้นี้ นางถึงกับกล้าด่าทอบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว! ครั้งนี้หากข้าไม่จัดการนาง ก็เป็นบุตรที่ไม่ได้เรื่องแล้ว!”
ฮูหยินใหญ่เวิ่นยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวเสียงเข้มว่า “ท่านพูดจาต้องมีหลักฐานด้วย! ข้าไปด่าทอท่านพ่อกับท่านแม่เมื่อใดกัน เพื่อให้นั่วเกอเอ๋อร์แต่งงานกับหลานสาวของอนุผู้นั้นแล้วท่านถึงกับปรักปรำข้าอย่างไม่รับผิดชอบเช่นนี้เลยหรือ…ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านต้องช่วยตัดสินให้ข้านะเจ้าคะ!”
เฉิงเวิ่นเองก็ร้องเรียก “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่” แล้วกล่าวขึ้นว่า “ตระกูลนั้นก็เพียงมีแซ่เดียวกับสตรีผู้นั้นเท่านั้น นางก็หาว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นหลานสาวของสตรีผู้นั้นแล้ว…นางก็เพียงอยากจะให้หลานสาวของตัวเองแต่งเข้ามามากกว่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านเองก็เห็นแล้ว นางเป็นคนที่ทำให้บ้านวุ่นวาย แล้วข้าจะยอมให้นั่วเกอเอ๋อร์แต่งสตรีเช่นนางเข้ามาในบ้าน มาทำลายทายาทของจวนห้าอีกได้อย่างไรขอรับ”
“ท่านพูดอะไร” ฮูหยินใหญ่เวิ่นกระโดดออกมาอย่างไม่ยินยอม พลางกล่าว “ข้าทำให้บ้านวุ่นวายอย่างไร แล้วบ้านเดิมของข้าไปสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านได้อย่างไร…”
ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ตรงนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลากโจวเสาจิ่นออกไปจากห้องโถงรับรอง โดยไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวกของพวกเฉิงเวิ่นสองสามีภรรยาที่อยู่ด้านหลัง เดินตรงไปที่เรือนฝูชุ่ย
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น ชงชาเขียวกวาเพี่ยนของลิ่วอันยกมาให้ด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับจอกชามา กล่าวยิ้มๆ อย่างขมขื่นว่า “ความจริงแล้วบุรุษของตระกูลเฉิงล้วนเป็นคนใจเย็น แต่น่าเสียดายที่หลานสะใภ้เวิ่นแก้ปัญหาไม่ถูกวิธี!”
โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “วันนี้นางได้ฟังคำพูดของท่านแล้ว หลังจากนี้คงได้ไปสำรวจตัวเองดีๆ อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มองจวนห้าในแง่ดีสักนิด แต่บางอย่าง กลับไม่อาจพูดกับโจวเสาจิ่นได้ เนื่องจากนางยังเป็นเพียงหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนผู้หนึ่งเท่านั้น
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าอ่านพระธรรมให้ท่านฟังดีหรือไม่เจ้าคะ”
อ่านพระธรรมแล้ว จิตใจก็จะสงบ พอจิตใจสงบ ความกังวลใจก็จะหายไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย
เจอกับความวุ่นวายมาขนาดนี้ โจวเสาจิ่นยังสงบใจเอาไว้ได้…
นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวยิ้มๆ ออกมาอย่างยินดีประโยคหนึ่งว่า “ดีๆ”
โจวเสาจิ่นหยิบพระธรรม ‘อมิตาพุทธสูตร’ มาเล่มหนึ่ง แล้วอ่านออกเสียงอย่างมีชีวิตชีวา