ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 279 งานเลี้ยงตระกูล
โจวเสาจิ่นคิดว่าตนควรจะดีกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มากขึ้นสักหน่อย
เฉิงฉือกับเฉิงสวี่มาถึงศาลาทิงอวี่แล้ว
เช่นเดียวกับงานเลี้ยงตระกูลในวันตรุษใหญ่ ศาลาทิงอวี่ถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง กั้นไว้ด้วยฉากกั้นห้องไม้กฤษณาสิบสองบานพับ สตรีนั่งด้านใน บุรุษนั่งด้านนอก
พวกเขาไปถึงไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป
บรรดาเด็กหนุ่มที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘เหยียน’[1] ต่างมาถึงกันแล้ว เฉิงสือยังพาเกิงเกอเอ๋อร์บุตรชายคนโตวัยห้าขวบของตนมาด้วย ท่านอาที่เป็นคนรุ่นเดียวกับเฉิงสือที่ยังไม่แต่งงานสองสามคนกำลังเล่นกับเกิงเกอเอ๋อร์อยู่ที่นั่น เหล่าผู้ใหญ่ที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘สุ่ย’ ก็มาถึงแล้วเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเฉิงอี๋จากจวนรอง เฉิงหลูจากจวนสาม เฉิงเหมี่ยนจากจวนสี่ และเฉิงเวิ่นจากจวนห้า
มุมปากของเฉิงฉือกระตุกเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
ทุกครั้งที่ท่านผู้นำตระกูลท่านนี้ปรากฏตัวล้วนเหมือนกันทุกครั้ง ต้องรอให้ผู้อื่นมากันให้ครบก่อน ตนจึงจะมาทีหลังสุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ตรงต่อเวลา หรือว่าลอบส่งคนมาแจ้งเป็นการเฉพาะว่า จะมาตรงเวลาสักหน่อย เพื่อแสดงสถานะพิเศษภายในตระกูลนี้ของตนกันแน่
เฉิงฉือก้าวออกไปทำความเคารพญาติผู้พี่เหล่านั้น
เฉิงอี๋กับเฉิงหลูพยักหน้ารับเล็กน้อย ต่างนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เฉิงเหมี่ยนแม้ว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่ก็ยิ้มพลางทักทายเฉิงฉือว่า “น้องชายฉือมาแล้ว” มีแต่เฉิงเวิ่นที่เดินเข้ามาอย่างร้อนรน พลางบ่นไปด้วยว่า “ไฉนเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้ ขาดเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว! มานั่งข้างๆ ข้า เก้าอี้ข้างข้ายังว่างอยู่!” จากนั้นก็แลกเปลี่ยนคำทักทายกับเฉิงสวี่อีกว่า “เจียซ่าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าผอมลงมากเมื่อเทียบกับตอนที่เจ้าไป คร่ำเคร่งกับการอ่านตำรามากเกินไปใช่หรือไม่ เจ้าต้องระวังสุขภาพร่างกายด้วยถึงจะถูก”
นัยน์ตาของเฉิงอี๋กับเฉิงหลูต่างมีความดูแคลนสายหนึ่งวาบผ่าน ทว่าเฉิงเหมี่ยนกลับยิ้มแย้มอย่างใจดี
เฉิงสวี่ก้าวออกมาทำความเคารพท่านอาทั้งหลาย เฉิงสือก็พาญาติผู้น้องทั้งหลายมาคารวะเฉิงฉือเช่นกัน
สายตาของเฉิงฉือตกอยู่บนร่างของเฉิงอี้ที่ตามอยู่ข้างหลังญาติผู้พี่สองสามคนด้วยใบหน้าซีดเซียว
เขาเดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าบาดแผลยังไม่หายดี
เฉิงฉือเบนสายตาออกจากร่างของเขาอย่างพึงพอใจ
ทว่าเฉิงอี้ที่สัมผัสถึงสายตาของเฉิงฉือกลับหดไหล่ลง ยิ่งเห็นได้ว่าไม่อยู่ในสายตาของเขา
เฉิงสือพาเกิงเกอเอ๋อร์มาเบื้องหน้าเฉิงฉือ ยิ้มพลางกล่าวกับบุตรชายคนโตอย่างอบอุ่นว่า “นี่คือท่านปู่ฉือของเจ้า รีบคารวะท่านปู่ฉือเร็ว!”
เกิงเกอเอ๋อร์กุมหมัดคำนับเฉิงฉือด้วยท่าทางเฉกเช่นผู้ใหญ่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนน่าเอ็นดูว่า “ท่านปู่ฉือ” และกล่าวว่า “หลานคารวะท่านขอรับ!”
เฉิงฉือยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กวักมือเรียกเกิงเกอเอ๋อร์
เกิงเกอเอ๋อร์เองก็ไม่หวั่นกลัวเหมือนกัน หัวเราะร่าพลางวิ่งไปหา
เฉิงฉือลูบศีรษะของเขา ครุ่นคิดแล้ว บอกไหวซานว่า “ประเดี๋ยวส่งหยกรูปวานรขี่อาชาชิ้นนั้นที่ข้าซื้อมาจากจิงเฉิงเมื่อหลายวันก่อนไปที่เรือนหลิวทิง”
ไหวซานขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
เฉิงเจิ้งตบไหล่ของเกิงเกอเอ๋อร์เบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ “ท่านปู่ฉือของเจ้าตกรางวัลให้เจ้า เจ้ายังไม่รีบกล่าวขอบคุณท่านปู่ฉืออีก”
เกิงเกอเอ๋อร์เบิกดวงตากลมโตสีดำตัดสีขาวแวววาวสองข้างขึ้นพลางกล่าวขอบคุณเฉิงฉือด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
เฉิงฉือรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นตายิ่งนัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ในใจจึงรู้สึกเบิกบานเหลือแสน ครุ่นคิดว่าจะตกรางวัลให้เกิงเกอเอ๋อร์เพิ่มอีกดีหรือไม่ ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นเฉิงอี๋จากจวนรองและเฉิงหลูจากจวนสามโดยไม่ตั้งใจ
เฉิงอี๋มีสีหน้ากระหยิ่มเล็กน้อย ทว่าแววตาของเฉิงหลูกลับแต้มความไม่พอใจหลายส่วน
เฉิงฉืออดลอบถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้
ยิ่งมีการศึกษาน้อยเพียงใด วิสัยทัศน์ก็จะยิ่งถูกจำกัดเพียงนั้น
ในบรรดาบุรุษที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘เหยียน’ มีเพียงเฉิงสือที่แต่งงานแล้ว ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายสองคน เฉิงสือพาบุตรชายคนโตมาที่ห้องโถงรับรอง ก็หมายความว่าต้องการโอ้อวดว่าเขามีทายาทผู้สืบทอดอยู่หลายส่วน
ทายาทผู้สืบทอดนี้ นอกจากจะบ่งชี้การสืบทอดทางสายโลหิตแล้ว ยังเป็นผู้สืบทอดมรดกและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลอีกด้วย
ทว่าอายุของเด็กทั้งสองคนของจวนรองต่างยังเล็กอยู่ กล่าวถึงเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ถือว่ายังเร็วเกินไปอยู่บ้าง
จิตใจของพี่ชายทั้งสองท่านล้วนคับแคบเช่นเดิม
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะวางแผนทำร้ายเฉิงเจียซ่านกับเสาจิ่น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ตระกูลเฉิงไม่ถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลในอีกสิบปีให้หลัง หากหมายจะยืนอยู่ในแถวของบรรดาตระกูลเก่าแก่ที่เรืองอำนาจของเจียงหนาน เกรงว่าคงต้องตรากตรำลำบากกันบ้างแล้ว
คิดได้ดังนี้ ความคิดที่เตรียมจะตกรางวัลให้เกิงเกอเอ๋อร์เพิ่มอีกสองสามชิ้นก็อันตรธานหายไป
เฉิงอี๋เอ่ยถามถึงการเล่าเรียนของเฉิงสวี่ “ตำรา ‘อรรถาธิบายสี่ตำรา’ อ่านไปกี่รอบแล้ว ทุกวันเขียนอรรถาธิบายจื้ออี้[2] กี่บท ไม่นานมานี้ร้านเหวินเต๋อกับร้านเต๋ออีร่วมกันออกตำรา ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ ข้าพลิกอ่านดูแล้ว มีอรรถาธิบายจื้ออี้บางบทที่เขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าก็ควรซื้อกลับมาสักเล่มถึงจะถูก”
เฉิงสวี่ตอบอย่างนอบน้อมว่า “คราวก่อนตอนที่เข้าเมืองหลวงก็ได้ร่ำเรียนกับท่านปู่รอง ตามคำแนะนำของท่านปู่รอง ตำรา ‘อรรถาธิบายสี่ตำรา’ นั้นข้าท่องจำไปสามรอบแล้ว ส่วน ‘อรรถาธิบายจื้ออี้’ สองวันเขียนหนึ่งบทขอรับ สำหรับ ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ กล่าวกันว่าใต้เท้าเซินหรือเซินหมิ่นจือผู้เป็นราชเลขาและขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่เกษียณราชการไปแล้วเป็นผู้ตีพิมพ์ ท่านปู่รองได้ไหว้วานให้คนไปซื้อกลับมาแล้ว บอกว่าอยากจะอ่านดูอย่างละเอียดสักรอบ ข้าจึงยังไม่ได้เปิดดู ตอนที่กลับมาก็รีบเร่งเกินไป จึงลืมขอจากท่านปู่รองมาด้วย พอได้ยินท่านอาอี๋กล่าวเช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปซื้อที่ร้านหนังสือกลับมาสักเล่มขอรับ”
เฉิงสือกับเฉิงเจิ้งต่างเงี่ยหูฟัง
ยามอยู่ที่เมืองหลวง แม้ว่าเฉิงสืออาศัยในซอยซิ่งหลินเหมือนกับเฉิงสวี่ แต่เฉิงสวี่นั้นเหตุเพราะมีฮูหยินหยวน ทำให้หากไม่ไปเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลหยวนที่ซอยเอ้อร์เถียว ก็ถูกเฉิงเซ่าที่อาศัยอยู่ที่ซอยซวงอวี๋ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากซอยซิ่งหลินไม่ไกลนักเรียกไปซักถามถึงบทเรียน เวลาที่เขาอยู่กับเฉิงสวี่จึงน้อยกว่ายามที่อยู่จินหลิงเสียอีก
ระดับความก้าวหน้าของเฉิงสวี่ไปถึงไหนแล้ว เขาจึงอยากรู้ยิ่งนัก
ส่วนอารมณ์ของเฉิงเจิ้งกลับสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เขารู้ดีว่า หากไม่มีการพยักหน้ายินยอมจากจวนหลักและจวนรอง ต่อให้เขาเป็นผู้คงแก่เรียนที่เก่งกาจมากเพียงใดก็ไม่อาจเป็นขุนนางได้ เว้นแต่เขาจะมีความสามารถอัจฉริยะที่ฝืนสวรรค์ได้ ที่แม้แต่จวนหลักกับจวนรองก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ ทว่าดูจากตอนนี้ เขาก็เพียงเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น
เห็นเฉิงสวี่มีผู้ชี้แนะสั่งสอนและหนังสือตำรามากมายถึงเพียงนั้น กล่าวได้ว่าในใจของเขาทั้งอิจฉาและริษยายิ่ง
ถ้าหากเฉิงสวี่สอบผ่านได้ยศจวี่เหริน[3] ในครั้งนี้ล่ะก็ เขาอาจจะเป็นจวี่เหรินที่อายุน้อยที่สุดในตระกูลเฉิงก็เป็นได้
ไม่สิ นายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงเซ่าของจวนหลักก็สอบได้ยศจวี่เหรินตอนอายุสิบแปด สุดท้ายได้รับตำแหน่งทั่นฮวา[4] หรือว่าในภายหน้าเฉิงสวี่ก็จะมีความสามารถนี้ด้วยเช่นกัน
ไม่ถูกต้อง
เฉิงเจิ้งขบคิดอีกครั้ง
ท่านลุงอี๋ของจวนรองก็สอบได้ยศจวี่เหรินตอนอายุสิบแปดปีเช่นกัน แต่ภายหลังเขากลับสอบตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลเฉิงเท่านั้น
เห็นได้ว่าเรื่องใดๆ ล้วนไม่แน่นอนเสมอไป
ไม่แน่ว่าเฉิงสวี่อาจจะมีชะตาของเฉิงเซ่าหรือมีเพียงโชคของเฉิงอี๋ก็เป็นได้
เฉิงเจิ้งครุ่นคิดไปพลาง ในที่สุดอารมณ์ก็ดีขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เฉิงอี๋ก็พอได้ยินมาบ้างว่า ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ เล่มนั้นที่บรรดาผู้เข้าร่วมการสอบขุนนางในเจียงหนานต่างยกย่องชื่นชมอย่างยิ่งยวดเป็นตำราที่เซินหมิ่นจือตีพิมพ์ เพียงแต่เขายังไม่ได้รับการยืนยัน ตอนนี้ได้ยินเฉิงสวี่กล่าวเช่นนี้แล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วนอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวขึ้นว่า “ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่”
ความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างสองสามจวนในตระกูลเฉิงเฉิงสวี่ก็รับรู้มาตั้งแต่ยังเล็ก ยามนั้นเขาก็รู้แล้วว่าต่อหน้าท่านอาบางท่านไม่อาจทำตัวรู้แต่ไม่พูด พูดแต่พูดไม่หมดได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เฉิงฉือยังเตือนเขาไปรอบหนึ่ง เขาจึงยิ่งไม่อาจปริปากพูด
“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ!” เขากล่าวยิ้มๆ อย่างขอลุแก่โทษ “ตอนนั้นข้าจดจ่ออยู่แต่กับการเร่งรุดกลับมา ไม่ทันได้เสวนาเรื่องนี้กับท่านปู่รองขอรับ”
กล่าวกันว่าหัวหน้าผู้จัดการการสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดู[5] ครั้งนี้มีท่านหนึ่งเป็นสานุศิษย์ของเซินหมิ่นจือ ซึ่งไม่เหมือนกับลูกศิษย์ที่รับผิดชอบจัดการการสอบขุนนางระดับมณฑลเหล่านั้น แต่เป็นลูกศิษย์ที่ศึกษาเล่าเรียนมากับเซินหมิ่นจือ ที่ผู้คนกล่าวขานกันว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหาของเขาโดยตรง
เฉิงสวี่ต้องเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลในปีนี้ แต่เฉิงสือบุตรชายของเขาเป็นจวี่เหรินแล้ว ต้องเข้าร่วมการสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดูในปีหน้า
หากว่าตำราเล่มนี้เป็นตำราที่เซินหมิ่นจือตีพิมพ์ เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่ารูปแบบการเขียนที่ลูกศิษย์ของเซินหมิ่นจือชื่นชอบอาจจะมีออกสอบอยู่ในนั้น
เฉิงอี๋ขบคิดแล้วก็รู้สึกเดือดดาลเหลือคณา
นี่เป็นความแตกต่างระหว่างจวนหลักกับจวนรองในตอนนี้!
นอกจากท่านผู้นำตระกูลแล้ว พวกเขาก็ไม่มีช่องทางไปตรวจสอบว่าอรรถาธิบายเล่มนี้เป็นของจริงหรือของปลอมได้ แต่จวนหลักนอกจากเฉิงจิงแล้วยังมีเฉิงเซ่า กระทั่งยังมีเฉิงเว่ยและเฉิงฉืออีก
สิ่งของต่างๆ ที่พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะไขว่คว้ามาได้ แต่สำหรับจวนหลักเพียงเอื้อมมื้อออกไปก็ได้รับมาอย่างง่ายดายเหมือนเป่าฝุ่นแล้ว
เฉิงอี๋กำลังขบคิดอยู่ว่าจะขอร้องเฉิงฉือสักสองประโยคดีหรือไม่
ใครจะรู้ว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด เฉิงหลูก็กล่าวขึ้นมาว่า “เจียซ่าน เจ้ารีบเขียนจดหมายไปให้ท่านปู่รองของเจ้า ข้ามีสหายรักคนหนึ่ง ปีหน้าก็ต้องเข้าร่วมการสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดู” แล้วกล่าวอีกว่า “เจียซ่าน ในปีนั้นท่านอาเซ่าได้รับตำแหน่งทั่นฮวา ปกติเขาให้เจ้าเขียนอรรถาธิบายจื้ออี้อะไรบ้าง เจ้าเอาให้ข้าดูหน่อย ปีนี้ข้าก็อยากจะลองลงสนามสอบเช่นกัน”
เฉิงสวี่ยินดียิ่งนัก
ท่านอาหลูผู้นี้แม้ว่าเป็นผู้ที่เอาแต่อ่านตำรายากๆ และอ่านจนทึ่มทื่อไปแล้วผู้หนึ่ง แต่ลักษณะนิสัยกลับไม่เลวเลย มีความภาคภูมิใจและเที่ยงตรงของผู้เป็นบัณฑิต สิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ สิ่งที่ดีหรือไม่ดี ล้วนพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าบางครั้งได้ยินแล้วทำให้คนรู้สึกอึดอัดไปบ้าง ทว่ากลับต่างจากยามที่สนทนากับท่านอาอี๋ที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมาก หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะถูกปั่นหัวเอาได้
“เมื่อข้ากลับไปจะคัดลอกอรรถาธิบายจื้ออี้ที่ท่านปู่รองให้ข้าเขียนส่งไปให้ท่านหนึ่งฉบับนะขอรับ…”
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็สนทนากันอย่างกระตือรือร้นขึ้นมา
เฉิงสือก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ
เขาไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดีจริงๆ
หัวข้อสนทนาที่เฉิงเวิ่นไม่ชอบฟังที่สุดก็คือเรื่องพวกนี้
หากไม่ใช่เพราะเฉิงอี๋เป็นพี่ชายคนโต ทั้งทะนงตัวเสมอมา ชอบเคร่งครัดในยศศักดิ์ผู้น้อยผู้ใหญ่ ซ้ำยังเกรงกลัวเฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลของจวนรอง เขาก็คงเอ่ยปากพูดไปนานแล้ว
ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเฉิงหลูที่ไถ่ถามเฉิงสวี่ เขาไหนเลยจะยังอดรนทนได้ จึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินเข้าไปข้างหน้าเฉิงฉือ พลางกระซิบว่า “น้องชายฉือ พี่ชายมีเรื่องอยากขอร้องเจ้า…”
เฉิงฉือชายตามองเขาทีหนึ่ง ยกจอกชาขึ้นมาจิบชาคำหนึ่งอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าหากจะขอร้องให้อนุที่อยู่ข้างนอกคนนั้นล่ะก็ ท่านอย่าเอ่ยปากขอเลยจะดีกว่า ปกติมารดาของข้าอยู่บ้านตามลำพัง ไม่อาจทนให้สะใภ้ใหญ่เวิ่นมาสร้างความวุ่นวายได้”
ใบหน้าของเฉิงเวิ่นแดงเถือกในทันใด รีบกล่าวว่า “หญิงชั่วผู้นั้นไม่ได้รับการสั่งสอน เจ้าอย่าลดตัวไปถกเถียงกับนางเลย ทางด้านป้าสะใภ้ใหญ่นั้น ข้ากำลังคิดจะไปขอขมาลาโทษด้วยตนเอง”
เฉิงฉือไม่เอ่ยคำใด
เฉิงเวิ่นยิ้มเจื่อน กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่า “น้องชายฉือ ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับสิบสามห้างดียิ่งนัก สิบสามห้างรวบรวมขบวนเรือสำเภาออกทะเลในครั้งนี้ เจ้าก็เข้าร่วมหุ้นด้วยส่วนหนึ่ง น้องชายฉือ สถานการณ์ของข้าทางด้านนี้เจ้าเองก็ทราบดี ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงชอบก่อความวุ่นวายเท่านั้น ยังเป็นผู้ที่ผลาญเงินผลาญทองผู้หนึ่งอีกด้วย ดูหลานนั่วของเจ้าใกล้จะแต่งงานแล้ว แต่การเงินในบ้านกลับชักหน้าไม่ถึงหลัง หากข้าไม่คิดหาทางทำเงินสักหน่อย รอให้สะใภ้ใหม่เข้าเรือนแล้ว ไหนเลยจะมองข้าอย่างเคารพได้ ใบหน้านี้คงได้อับอายขายหน้าไปถึงบรรดาญาติของฝั่งเจ้าสาว เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องช่วยข้า! ถือว่าพี่ชายขอร้องเจ้า!” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงก็สะอึกสะอื้นขึ้นอย่างเว้าวอน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชายเวิ่น การเข้าร่วมหุ้นกับสิบสามห้างนั้น เป็นเงินจากกองกลาง ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ถึงเวลาท่านก็จะได้รับส่วนแบ่งส่วนหนึ่งด้วยอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องใช้เงินส่วนตัวเข้าร่วมหุ้นด้วย!”
ดวงหน้าของเฉิงเวิ่นเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำ นานครู่หนึ่งถึงได้กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าอับจนหนทางแล้วหรอกหรือ น้องชายฉือ หรือไม่ เจ้าช่วยคิดหาทางออกให้ข้าที ข้ายังขาดเงินอีกหลายพันเหลี่ยง! อีกไม่กี่วันนั่วเกอเอ๋อร์ก็จะหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ของจวนเจ้าเมืองอู๋แล้ว!”
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “หรือไม่ ท่านก็โยกย้ายเงินจากอนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นมาสักหน่อย ข้าได้ยินใครสักคนบอกว่า ดูเหมือนท่านจะมอบร้านค้าสามร้านกับเงินสี่พันเหลี่ยงให้กับอนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้น สับเปลี่ยนถุงเงินข้างซ้ายไปไว้ในถุงเงินข้างขวาสักหน่อยก็ได้แล้ว อย่างไรก็เป็นเงินของท่านทั้งนั้น”
………………………………………………………………….
[1] ชื่อของคนในตระกูลเฉิงในแต่ละรุ่น จะมีอักษรข้างบ่งบอกรุ่นในตระกูล อาทิ รุ่นเด็กหนุ่มจะมีอักษรข้าง เหยียน (讠) ประกอบในชื่อ เช่น เฉิงสวี่ 程许 และเฉิงรั่ง 程让 จากจวนหลัก, เฉิงสือ 程识 และเฉิงอวี่ 程语 จากจวนรอง, เฉิงเจิ้ง 程证จากจวนสาม, เฉิงเก้า 程诰 และเฉิงอี้ 程诣 จากจวนสี่ และเฉิงนั่ว 程诺 จากจวนห้า ส่วนรุ่นผู้ใหญ่จะมีอักษรข้าง สุ่ย (氵) ประกอบในชื่อ อาทิ เฉิงจิง 程泾, เฉิงเว่ย 程渭 และเฉิงฉือ 程池 จากจวนหลัก, เฉิงอี๋ 程沂 จากจวนรอง, เฉิงหลู 程泸 จากจวนสาม, เฉิงเหมี่ยน 程沔 และเฉิงหยวน 程沅 จากจวนสี่ และเฉิงเวิ่น 程汶 จากจวนห้า
[2] อรรถาธิบายจื้ออี้ (制艺) เป็นเรียงความประเภทหนึ่งที่ใช้ในการสอบขุนนาง ในสมัยหมิงและสมัยชิง โดยแบ่งเนื้อหาเรียงความเป็นแปดส่วน
[3] จวี่เหริน (举人) ผู้ที่สอบผ่านการสอบขุนนางระดับมณฑล จะได้รับยศจวี่เหริน
[4] ทั่นฮวา (探花) คือ ตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับสามในการสอบขุนนางหน้าพระที่นั่ง
[5] การสอบของราชสำนักช่วงวสันตฤดู คือ การสอบขุนนางระดับประเทศซึ่งจัดสอบในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทุกๆ สามปี ผู้ที่สอบผ่านจะได้รับยศจิ้นซื่อ