ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 292 ร้องห่มร้องไห้
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ยกยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านแม่ ท่านดูสิขอรับ! พอท่านไม่ไปพบนาง แม้แต่สาวใช้ของนางยังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยผู้นั้นคงรู้สึกเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มาอยู่เป็นเพื่อนท่านได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “เป็นเจ้าที่รู้จักพูด!”
ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเด็กผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในส่วนของมารดาทางด้านนี้ มีคำพูดของเขาไม่กี่ประโยคนี้แล้ว นางก็น่าจะรอดไปได้แล้ว
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ บอกให้สาวใช้เด็กยกสำรับเข้ามา
ครั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็เอ่ยถึงเรื่องของตระกูลกู้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกครั้งว่า “…เหตุใดถึงอยากจะเชิญท่านไปเป็นแขกหรือขอรับ พวกเขายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่นี่นา! หมู่นี้ข้าไม่ได้เจอจิ่วเนี่ยเลย พรุ่งนี้อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านหรือไม่ขอรับ”
หากเขาตามมารดาไปจวนตระกูลกู้ด้วย เด็กผู้นั้นก็ไม่ต้องรู้สึกพะว้าพะวงอะไร จะได้พักผ่อนอยู่ในบ้านได้อย่างไร้กังวลสักวันหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “หืม เจ้าสนใจเรื่องชาวบ้านตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเป็นเรื่องของผู้อื่นข้าคงไม่ถามหรอกขอรับ แต่นี่เป็นเรื่องของตระกูลกู้ ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของข้ากับจิ่วเนี่ย เพียงแค่นายหญิงผู้เฒ่าที่ล่วงลับไป ยามที่ข้าเป็นเด็กนางก็เคยอุ้มข้า ให้ขนมแก่ข้า ข้าไม่ปรารถนาจะเห็นว่าเถ้ากระดูกของนางยังไม่ทันเย็นชืดลง บุตรหลานก็ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเหล่านี้ให้นางต้องเสียใจเสียแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าว “ความจริงข้าก็เห็นด้วยที่พวกเขาจะแยกตระกูลกัน บุตรหลานหลายๆ รุ่นต่างอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกันหมดเช่นนี้ โดยเฉพาะยามที่มีงานแต่งงานหรืองานศพต่างๆ กองกลางก็ออกเงินให้ได้ไม่มากนัก แต่ละบ้านจะออกเงินสมทบให้เป็นการส่วนตัวก็ไม่ง่ายอีก บรรดาบุตรเขยและบุตรสะใภ้ของตระกูลในระยะหลังก็ไม่ได้มีแววหรือมีความคิดความอ่านเหมือนกับบรรดาบุตรเขยและบุตรสะใภ้จากสองรุ่นก่อนสักเท่าใด ไปครั้งนี้ ข้าก็อยากจะหารือเรื่องนี้กับคนของตระกูลกู้ ไม่สู้แยกทรัพย์สมบัติแต่ไม่แยกบ้านเหมือนจวนของพวกเราเสียจะดีกว่า เช่นนี้ทั้งสามารถรักษาชื่อเสียงของบรรพชนตระกูลกู้ และรักษาความรักใคร่ปรองดองระหว่างแต่ละบ้านได้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย”
เรื่องที่ตระกูลนี้จะแยกบ้านหรือไม่ หรือจะแยกกันอย่างไรนั้น สุดท้ายแล้วยังต้องได้รับความเห็นชอบของนายท่านผู้เฒ่ากับนายท่านทั้งหลายของตระกูลกู้ พวกเขาก็เพียงไปฟังคนเหล่านั้นบ่นระบายความขุ่นเคืองในใจก็เท่านั้น
เฉิงฉือยกยิ้มพลางหลอกล่อมารดาให้คลายกังวลว่า “ความคิดนี้ของท่านดียิ่งขอรับ! หากตระกูลกู้ยังไม่ฟังอีก ข้าว่าท่านก็ไม่ต้องไปยุ่งแล้ว ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองไปเถอะ ถึงเวลานั้นอย่างมากที่สุดก็เชิญข้าไปเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้พวกเขา!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกขบขัน กล่าวว่า “เจ้ามันคนไหลไปตามคำบัญชาของผู้เป็นใหญ่ดั่งคนที่ปีนขึ้นไปตามเสาคนหนึ่งจริงๆ ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่อยากไปบ้านตระกูลกู้เพื่อเห็นความสัมพันธ์อันเนิ่นนานของพวกเขาสูญเสียไป ประเดี๋ยวก็บอกอีกว่าปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ ตกลงเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
ข้ากลัวว่าพรุ่งนี้ท่านจะไม่ออกไปข้างนอก…
ความคิดนี้แล่นผ่านห้วงความคิดของเฉิงฉือโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาอึ้งงันไปเล็กน้อย รีบควบคุมอารมณ์ของตน กล่าวขึ้นว่า “นี่มิใช่ว่าข้างหนึ่งก็เป็นฝ่ามือของข้าอีกข้างหนึ่งก็เป็นหลังมือของหรอกหรือ ทั้งกลัวว่าตระกูลกู้จะมีเรื่องวุ่นวายขึ้นและกลัวว่าท่านจะต้องรู้สึกลำบากใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
ทว่าเฉิงฉือกลับมีเหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วร่าง
เขาคิดจะขับไล่ไสส่งมารดาออกไปข้างนอกได้อย่างไร…
เฉิงฉือนั่งไม่ติดที่อีกครั้ง
รอยยิ้มของมารดาทำให้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก
เขาลุกขึ้นกล่าวอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อคืนเฉิงฉือไม่ได้นอนทั้งคืน ช่วงกลางวันของวันนี้ก็ได้นอนพักไปเพียงสองชั่วยาม หลงจู๊รองของสิบสามห้างก็ติดตามหลงจู๊ใหญ่ของพวกเขามาเยี่ยมเฉิงฉือแล้ว นางจึงไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ เพียงบอกให้เขารีบเข้านอนเร็วๆ หากรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนนางแล้ว
เฉิงฉือขานรับแล้วออกจากเรือนไป
ทว่ายามที่เดินผ่านเรือนฝูชุ่ย เห็นกิ่งต้นทับทิมยื่นออกมาจากข้างหลังกำแพงดอกไม้ ฝีเท้าของเขาก็เชื่องช้าลง
ภายในเรือนฝูชุ่ยเงียบสงัด แสงจันทร์กระจ่างสุกใส เงาแมกไม้วูบไหวเป็นจุดดวงด่างดำ
เขานึกถึงคำพูดของโจวเสาจิ่นที่ว่า เหตุใดหอซื่ออี๋ถึงมองเห็นแผนผังโครงสร้างของจวนรอง จวนสาม จวนสี่ กระทั่งจวนห้าได้คร่าวๆ แต่กลับไม่มองเห็นจวนหลักเลย…มองไปแล้วล้วนเห็นแต่ต้นไม้พุ่มไม้หนาทึบเต็มไปหมด
นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นสอดแนมได้
ดังนั้นพอตกกลางคืน จวนหลักจึงไม่แขวนโคมไฟเอาไว้ใต้ชายคา
เด็กน้อยเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่นานพักหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะสังเกตเห็นความผิดปกตินี้บ้างหรือเปล่า
จึงยิ่งทำให้เขาจำท่าทางของเด็กน้อยผู้นั้นขณะเอ่ยถามเขาได้อย่างชัดเจน
คิ้วเรียวบางย่นเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาเมล็ดซิ่งดวงโตราวกับน้ำพุขาวใสนั้นจ้องเขาไม่กะพริบ…
เฉิงฉือหวนนึกถึงความรู้สึกยามที่นางอยู่ในอ้อมกอดของตนขึ้นมา
นางอิงแอบแนบอยู่กับตัวเขาอย่างว่าง่าย รูปร่างบอบบางแต่อ่อนนุ่ม เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าได้รางๆ อ่อนวัยทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนช้อย…
เขามองเงาด่างดำเป็นดวงของต้นไม้เหล่านั้น พร้อมกับหัวเราะหยันตนเอง
จากนี้ไป เขาพบนางให้น้อยลงจะดีกว่า
นางยังเพียงเป็นเด็กสาวคนหนึ่งอยู่!
เรื่องอะไรก็ยังไม่เข้าใจ…
เฉิงฉือค่อยๆ กลับเรือนหลีอินไปอย่างช้าๆ สั่งซางมามาว่า “เจ้าไปสอบถามที่เรือนฝูชุ่ยสักหน่อย ดูว่าบ่ายวันนี้คุณหนูเจียพูดคุยอะไรกับคุณหนูรองไปบ้าง แล้วกลับมารายงานข้า!”
ซางมามาขานรับแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นถอดอาภรณ์ล้มตัวลงไปนอนแล้ว
ชุนหว่านโน้มน้าวนางเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง ท่านยังไม่ได้รับมื้อเย็นเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่อยากกิน!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา “รอให้ข้ามีอารมณ์กินแล้วค่อยว่ากันอีกที! ตอนนี้ข้าอยากนอน!”
ชุนหว่านมองดวงตาของนางที่ร้องไห้จนบวมเป่งราวลูกท้อ ลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านต้องบอกพวกข้าว่าท่านร้องไห้ด้วยเรื่องอันใด เป็นเพราะคุณหนูเจียว่าอะไรมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางจำได้ว่าเมื่อก่อนยามที่โจวเสาจิ่นไปหาเฉิงเจีย หลังจากกลับไปถึงเรือนหว่านเซียงแล้ว บางครั้งก็จะนอนร้องห่มร้องไห้เงียบๆ อยู่บนเตียงอย่างตอนนี้เช่นกัน รอให้ผ่านไปสองสามวันแล้วนางค่อยถามใหม่ พบว่าเป็นเพราะคุณหนูได้เสื้อผ้าชุดใหม่ หรือไม่ก็พูดอะไรมาไม่กี่ประโยคเพียงเท่านั้น ทว่านั่นมันเรื่องเก่านานนมมาแล้ว เหตุใดคุณหนูรองถึงร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว
“นางไม่ได้ว่าอะไร” โจวเสาจิ่นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดขอบตา พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้าเพียงคิดถึงพี่สาว ไม่รู้ว่านางจะไปจิงเฉิงเมื่อใด แล้วเมื่อไรจะได้พบหน้ากันอีก” กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้าได้ร้องไห้ออกมาแล้วอีกประเดี๋ยวอารมณ์ก็ดีขึ้นเอง”
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
แต่ก่อนหลังจากที่คุณหนูรองร้องไห้ออกมาแล้วก็จะลืมเรื่องเหล่านั้นไปทั้งหมด
นางยกจอกชาที่ดื่มหมดจอกแล้วขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง วันนี้ข้าเป็นเวรดึก หากท่านต้องการสิ่งใด ก็เรียกใช้ข้าได้เลยนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างเหม่อลอย ชุนหว่านถึงได้ถอยออกไป
ตอนกลางคืนจวนหลักไม่แขวนโคมไฟไว้ที่ระเบียง แสงตะเกียงขนาดเท่าเมล็ดถั่วในห้องทำให้ภายในห้องมีแสงสลัวๆ เพียงเล็กน้อย ทว่าแสงสลัวนี้กลับทำให้โจวเสาจิ่นที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงคนเดียวรู้สึกปลอดภัยยิ่ง
ตอนอาศัยอยู่ในบ้านสวนที่ต้าซิ่ง นางก็นอนลืมตามองท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นมาคืนแล้วคืนเล่าเช่นนี้
นึกถึงตรงนี้ น้ำตาของนางก็รินไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง
นางไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ด้วยเหตุอันใด
แต่นางเพียงอยากจะร้องไห้ออกมา
ประหนึ่งว่าร้องออกมาเช่นนี้แล้ว จะทำให้นางรู้สึกเบาใจลงได้
แต่พอร้องไห้ไปแล้ว กลับยิ่งรู้สึกระทมใจมากขึ้น
ถ้านางเป็นเด็กตลอดไปได้ก็คงจะดี
นางจะได้อาศัยอยู่ที่จวนหลักตลอดไป
อยู่ปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ได้พูดคุยหัวเราะกับท่านน้าฉือ…ฮูหยินผู้เฒ่าไม่แก่ชรา ท่านน้าฉือก็ไม่แต่งงานสร้างครอบครัว
แต่หากว่านางคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ออกจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเฝ้ารอให้ท่านน้าฉือแต่งงานมาไม่รู้กี่ปีแล้ว
นอกจากนี้อายุอานามของท่านน้าฉือก็ไม่น้อยแล้วเช่นกัน
บุตรของคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาต่างเริ่มเข้าเรียนกันไปตั้งนานแล้ว แต่เขากลับยังไม่ได้แต่งงานเลย!
หากท่านน้าฉือแต่งน้าสะใภ้เข้ามา นางจะต้องปฏิบัติกับนางเหมือนดังที่ปฏิบัติกับท่านน้าฉืออย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นพูดกับตัวเองอยู่ในใจ แล้วก็หัวเราะคิกออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
นางมักจะเอาแต่เจ้ากี้เจ้าการกับท่านน้าฉืออยู่บ่อยๆ เคยทำดีกับเขาเมื่อไรกัน
หากน้าสะใภ้คนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว เกรงว่าคงจะทนให้นางเจ้ากี้เจ้าการเช่นนี้ไม่ได้แน่
สายตาของนางหม่นหมองลงอีกครั้ง
นางจะร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะบอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้ ให้นางไม่ต้องไปคารวะยามเช้าก็ตาม แต่นางจะปล่อยให้ตัวเองเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ไม่ได้
ผู้อื่นดีกับนาง นางก็ยิ่งต้องดีกับผู้อื่นให้มากยิ่งขึ้น
พรุ่งนี้นางไม่เพียงต้องไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเท่านั้น ยังต้องแต่งตัวให้สวยงาม และติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปบ้านตระกูลกู้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขอีกด้วย
นางตะโกนเรียกชุนหว่านเข้ามา กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ารีบไปต้มไข่มาให้ข้าสักสองสามฟอง พรุ่งนี้ข้าต้องไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้า ไม่อาจให้นางเห็นรอยบวมแดงที่ตาข้าแล้วรู้สึกเป็นกังวลใจได้”
ชุนหว่านอดรู้สึกปลาบปลื้มยินดีขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “คุณหนูรองควรจะเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ! ท่านดูสิ พอท่านบอกว่ารู้สึกไม่สบาย มิใช่แค่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่รู้สึกไม่สบายใจ แม้แต่นายท่านสี่ ก็ส่งซางมามามาสอบถามด้วย หลังจากที่ซางมามาไปรายงานนายท่านสี่แล้ว เขายังบอกอีกว่า พรุ่งนี้เช้าให้ซางมามาเชิญท่านหมอมาตรวจชีพจรให้ท่านสักคนหนึ่ง หรือไม่ก็เชิญคนมาตรวจร่างกายสักคนก็ได้ ซางมามาเพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ” ขณะที่กล่าว นางก็ชี้ไปที่นาฬิกาน้ำบนโต๊ะตัวยาว “ท่านดูสิเจ้าคะ กี่โมงกี่ยามแล้ว นายท่านสี่ยังรอให้ซางมามากลับไปรายงานอยู่เลยเจ้าค่ะ ได้ยินซางมามาบอกว่า เมื่อคืนนายท่านสี่คิดบัญชีอยู่ทั้งคืน เช้านี้ได้นอนไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มีหลงจู๊จากสิบสามห้างสองท่านมาเยี่ยมนายท่านสี่ ไม่เพียงพูดคุยกันตลอดทั้งเช้าเท่านั้น ยังรั้งให้หลงจู๊สองท่านนั้นอยู่รับประทานอาหารและร่ำสุราไปสี่ถึงห้าจินอีกด้วย จากนั้นก็สนทนากันต่อ ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งหลงจู๊สองท่านนั้นกลับไปได้ หนำซ้ำพ่อบ้านฉินกลับมาจากเจ่าหยวน ก็พูดคุยกันอีกครึ่งค่อนวัน จากนั้นไปรับมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว…จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้นอนพักสายตาเลยเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นทั้งรู้สึกละลายใจและเสียใจ รีบกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่เร่งให้นายท่านสี่รีบไปเข้านอนเล่า ทางข้าจะมีเรื่องอะไรไปได้!”
ชุนหว่านตอบว่า “ทางด้านนายท่านสี่ ตัวข้านี้จะไปพูดอะไรกับเขาได้เจ้าคะ ยิ่งกว่านั้น แม้ท่านบอกว่าไม่เป็นไร แต่นายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนเอาใจใส่ท่านเป็นอย่างมาก หากไม่ได้ส่งบ่าวคนสนิทมาดู จะวางใจลงได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ล้วนเป็นข้าที่ไม่ดีๆ!” โจวเสาจิ่นเสียใจยิ่งนัก
ตนทำตัวเสมือนถูกผีเข้าสิงจนสติเลอะเลือนไปได้อย่างไรกัน
เมื่อท่านน้าฉือแต่งน้าสะใภ้คนใหม่เข้ามา นางก็ควรจะเคารพรักน้าสะใภ้คนใหม่ให้มากถึงจะถูก เหตุใดถึงได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจเหตุเพราะท่านน้าฉือจะเคารพเทิดทูนน้าสะใภ้คนใหม่กันเล่า
นางจะเป็นหญิงชั่วร้ายที่เห็นแก่ตัวประเภทนั้นไม่ได้!
ท่านน้าฉือและภรรยารักใคร่ปรองดองกัน นางก็ควรจะอวยพรให้พวกเขามีความสุขถึงจะถูก!
กล่าวคือห้ามร้องไห้อีก แต่ไม่ว่าจะพูดปลอบใจตัวเองอย่างไรก็ไม่อาจหักห้ามใจมิให้รู้สึกเจ็บปวดประหนึ่งดวงใจถูกควักออกมาได้ โจวเสาจิ่นยังคงน้ำตาไหลพรากลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ชุนหว่านเล่าเรื่องเหล่านี้ให้โจวเสาจิ่นฟังก็เพราะต้องการให้โจวเสาจิ่นแก้นิสัยขี้แยนี้ให้หายเสียที
พวกนางอาศัยอยู่ในซอยจิ่วหรู หากว่าแอบร่ำไห้อยู่เงียบๆ แล้วถูกคนที่มีเจตนาร้ายพบเห็นเข้า ล้วนกุข่าวลือไร้มูลต่างๆ นานาขึ้นมาได้หมด
พอเห็นโจวเสาจิ่นสะอื้นไห้ขึ้นมาอีก นางได้แต่กล่าวว่า “ท่านรีบหยุดร้องไห้เถิดเจ้าค่ะ หากทำให้นายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่าตระหนกตกใจไปคงไม่ดีแน่!”
โจวเสาจิ่นรีบหยุดร้องไห้ในทันที กัดริมฝีปากแน่น พลางนอนลงบนเตียงให้ชุนหว่านช่วยนางประคบตาอย่างเชื่อฟัง ไม่หลั่งน้ำตาออกมาอีกแม้สักหยดเดียว
ทางด้านของเฉิงฉือได้รับรายงานแล้ว แจ้งว่าบรรยากาศพาให้โจวเสาจิ่นคิดถึงโจวชูจิ่นเพียงเท่านั้น
เขาอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เด็กน้อยคนนี้ ราวกับทำขึ้นจากน้ำก็ไม่ปาน
ช่างอ่อนไหวเกินไปแล้ว
ควรจะรอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วปรุงโอสถบำรุงเลือดลมให้นางกินสักหน่อยหรือว่าควรจะให้นางกินยาบำรุงร่างกายสักสองสามเม็ดก่อนดีนั้น รอให้โจวเหนียงจื่อเข้ามาจับชีพจรให้นางในวันพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีก็แล้วกัน
เฉิงฉือเข้าไปพักผ่อนนอนอย่างสบายใจ
แต่พอหลังสัมผัสลงบนเตียงแล้ว ถึงได้นึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
ต่อให้เป็นเพราะคิดถึงพี่สาวของตัวเอง โจวเสาจิ่นก็ไม่ถึงกับต้องใช้ความเหนื่อยล้ามาเป็นข้ออ้าง ถึงกับไม่ไปคารวะยามเย็นมารดา…เสมือนกับว่ากลัวการได้เจอหน้ามารดาอย่างไรอย่างนั้น
นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของเด็กน้อยผู้นั้นเลยสักนิด!
ต่อให้ไปขอทางมารดาไม่ได้ โดยปกตินางก็มักจะวิ่งมาหาตนที่นี่โดยไม่สนใจสิ่งใด