ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 297 เชิญชวน
คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินแล้วต่างตะลึงงัน
คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกง ก็คืออาจูมิใช่หรือ
นางแต่งงานไปไกลถึงเป่าติ้งได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ เหตุใดพวกเราถึงไม่มีใครรู้เรื่องเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องไม่ค่อยปรกตินัก
เฉิงฉือรู้ดีว่า เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปแล้วจะหันเหความสนใจของทุกคนได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวสิ่งที่ยิ่งทำให้คนประหลาดใจมากยิ่งขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้เป็นข้าที่สนับสนุนเองขอรับ!”
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างก็เบิกดวงตาโพลง
เฉิงฉือถึงได้กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ช่วงเดือนสอง มีข่าวเรื่องที่ชิ่งอ๋องผู้ปกครองซื่อชวนถูกตัดสินโทษเนื่องจากยึดที่ดินทำกินส่วนที่อุดมสมบูรณ์ของประชาชนไปอย่างมิชอบด้วยกฎหมายแพร่งพรายออกมา ไม่เพียงถูกลดฐานันดรศักดิ์เท่านั้น ยังถูกริบเบี้ยรายเดือนสองปีอีกด้วย เหลียงกั๋วกงรู้สึกว่าทิศทางลมที่มีต่อเรื่องนี้หลังจากถูกเปิดเผยออกไปไม่ค่อยดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะให้บุตรสาวได้แต่งกับตระกูลที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ตลอดชีวิตสักตระกูลหนึ่ง…
…เขาจึงมาขอร้องข้าที่นี่…
…พอดีกับตอนที่ข้าเดินทางไปจิงเฉิงนั้นได้พบกับหยวนเปี๋ยอวิ๋น เขาเพิ่งกลับมาจากเป่าติ้ง เอ่ยถึงสหายเก่าแซ่ฟ่านผู้หนึ่งของตัวเองขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าเหมาะสมเป็นอย่างมาก จึงเสนอให้เหลียงกั๋วกง…
…เหลียงกั๋วกงส่งคนไปสืบอยู่หลายเดือน แล้วก็ถูกชะตากับบุตรชายคนรองของตระกูลฟ่าน…
…ข้าเขียนจดหมายไปบอกหยวนเปี๋ยอวิ๋น…
…หยวนเปี๋ยอวิ๋นเองก็รู้สึกว่าเหมาะสมเช่นกัน เขาเดินทางไปเป่าติ้งด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง งานแต่งนี้จึงถูกกำหนดลงมาด้วยประการฉะนี้ เมื่อผ่านพ้นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ก็น่าจะส่งสินสอดมาให้เจ้าสาวแล้ว…
…เหลียงกั๋วกงอยากจะให้บุตรสาวแต่งออกไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย เมื่อหลายวันก่อนยังมอบหมายให้จูเผิงจวี่ไปดูฤกษ์วันอีกด้วย…
…หากไม่มีข้อผิดพลาดอะไร หลังผ่านพ้นวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลจูก็จะแต่งออกไปแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
อาจู ถูกจับแต่งงานออกไปเช่นนี้น่ะหรือ
นางมองไปที่เฉิงฉือ แล้วก็มองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลฟ่านมีพื้นเพเป็นอย่างไร เจ้าอย่าจับคู่ผิดๆ เชียว!” จากนั้นก็มองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
ความหมายก็คือ ถ้าบุตรชายของตระกูลฟ่านดีปานนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่จับคู่ให้โจวเสาจิ่นสักคนหนึ่งเล่า
อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่น เฉิงฉือไม่อาจกล่าวอะไรมากได้
เดิมทีตั้งใจจะไปดูตัวคนผู้นี้ให้โจวเสาจิ่น แต่ต่อมาเขาค้นพบว่าตระกูลฟ่านยึดถือกาลเทศะมากเกินไป อีกทั้งพายุทรายที่เป่าติ้งก็รุนแรงมาก แล้วโจวเสาจิ่นเด็กผู้นี้ก็เป็นคนขี้กลัวและพูดน้อยสงบปากสงบคำ หากแต่งเข้าไปแล้วเกรงว่าจะยิ่งระแวดระวังตัวเก็บน้ำคำมากขึ้น ให้จูจูที่เป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นการปีนต้นไม้หรือต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่เป็นทางการก็ทำได้อย่างสบายๆ ไม่ติดขัดแต่งเข้าไปจะเหมาะสมกว่า
เขาได้แต่กล่าวขึ้นว่า “สิ่งที่จวนเหลียงกั๋วกงให้ความสำคัญคือคุณสมบัติของอีกฝ่าย ตระกูลฟ่านถือเป็นตระกูลลำดับต้นๆ ของเป่าติ้งในรัชสมัยก่อน ถึงแม้ตอนนี้จะถดถอยลงแล้ว แต่จริยธรรมจรรยาของตระกูลก็มียังอยู่ เคยมีคนถือเงินทองจำนวนมากมาค้างคืนที่บ้านสวนของตระกูลฟ่านแล้วเสียชีวิตลงกะทันหัน ตระกูลฟ่านช่วยเก็บรักษาทรัพย์สินของผู้อื่นยาวนานถึงยี่สิบปีโดยไม่แตะต้องเลยแม้แต่แดงเดียว”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ลูกหลานอาจจะไม่ได้โดดเด่น แต่เป็นคนที่รักษาคำสัญญาอย่างเข้มงวด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจแล้ว
โจวเสาจิ่นกลับฉงนสนเท่ห์ ถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ท่านน้าฉือ แล้วผู้อื่นทราบได้อย่างไรว่าตระกูลฟ่านช่วยเก็บรักษาทรัพย์สินให้คนผู้นั้นถึงยี่สิบปี แล้วลูกหลานของคนผู้นั้นเอาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตัวเองเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีบ่าวจงรักภักดีของคนผู้นั้นกลับไปแจ้งข่าวให้ที่บ้านทราบตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ว่าบุตรชายคนเดียวของคนผู้นั้นยังเล็กนัก อีกทั้งยังกลัวว่าหากไปถามหาทรัพย์สินจากตระกูลฟ่านแล้วจะถูกลอบสังหาร เพราะฉะนั้นจึงอดทนเอาไว้ก่อน กระทั่งบุตรชายของคนผู้นั้นสอบได้จิ้นซื่อ มียศตำแหน่งแล้ว ถึงได้นำบ่าวผู้จงรักภักดีไปถามหาทรัพย์สิน เนื่องจากคนมาเสียชีวิตอยู่ในบ้านสวนของตัวเอง ตระกูลฟ่านจึงเปิดหีบสัมภาระ หมายจะเสาะหาเบาะแสอะไรบางอย่าง ถึงได้ค้นพบทรัพย์สินเหล่านั้น และเนื่องจากว่ามีคนมาเสียชีวิตที่บ้านสวนนั้นถือเป็นลางไม่ดี สุดท้ายตระกูลฟ่านจึงขายบ้านหลังนั้นไปในราคาถูก แล้วยกหีบสัมภาระมาเก็บไว้ที่ห้องเก็บของใต้ดินที่บ้านของตัวเอง ต่อมาเมื่อบุตรชายของคนผู้นั้นมาถามหาทรัพย์สิน หลังจากตรวจนับจำนวนสิ่งของถูกต้องตรงกันหมดแล้ว ตระกูลฟ่านกลัวว่าจะมีคนมากล่าวแอบอ้างสวมรอย จึงเชิญให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไปตรวจสอบบ้านของคนผู้นั้นอีกที ถึงได้คืนทรัพย์สินให้คนตระกูลนั้นไป และเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดบอกต่อๆ กันมาเช่นนี้”
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ อาจูแต่งเข้าไปแล้ว ตระกูลฟ่านคงไม่ปฏิบัติกับนางอย่างอยุติธรรมเป็นแน่!
โจวเสาจิ่นนึกถึงกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือ ข้าอยากจะเชิญคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยเจ้าค่ะ!” จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นอีกว่า “แล้วก็คุณหนูของตระกูลกัวด้วยเจ้าค่ะ!”
ทางด้านของเฉิงเจียก็ต้องถามดูด้วยเช่นกัน ดูว่านางจะไปดูแข่งเรือมังกรกับตนได้หรือไม่
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีที่จองห้องส่วนตัวเอาไว้สองห้องก็เพื่อให้เจ้าเอาไว้รับรองสหาย เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดบ้างก็จดรายชื่อออกมาก็แล้วกัน ถึงเวลาก็ให้สื่อมามาไปส่งเทียบเชิญให้เจ้า”
เช่นนี้ก็จะไม่มีบ้านไหนปฏิเสธคำเชิญของโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น นางยังคงคิดเรื่องงานแต่งของจูจูอยู่
กระทั่งโจวเสาจิ่นดึงตัวชุนหว่านกลับไปจดรายชื่อแขกที่เรือนฝูชุ่ยอย่างเริงร่าแล้ว นางถามเฉิงฉือว่า “อาจูมีศักดินาเป็นจวิ้นจู่ นางจะแต่งงาน เกรงว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชวงศ์และกรมพิธีการก่อน”
“ข้าให้หยวนเปี๋ยอวิ๋นไปจัดการเรื่องนี้แล้วขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “ญาติห่างไกลมิสู้เพื่อนบ้านที่ชิดใกล้ หลายปีมานี้จวนเหลียงกั๋วกงเองก็ปฏิบัติกับพวกเราอย่างให้ความเคารพ เวลานี้ช่วยอะไรพวกเขาได้ก็ช่วยไปเถิด! ชะตาของพวกเขาก็ลำบากไม่น้อยเลยเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าช้าๆ กล่าวขึ้นว่า “แล้วตกลงคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิวเป็นอย่างไรบ้าง งานแต่งของเผิงจวี่ดูทำอย่างสุกเอาเผากินอยู่บ้างเล็กน้อย!”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นคนที่เผิงจวี่เลือกด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไร เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองแล้ว คนอื่นอย่างพวกเราไม่อาจจะไปพูดอะไรมากได้”
“นี่ก็ใช่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวทอดถอนใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็เป็นคนที่พี่ชายใหญ่ของเจ้าเลือกมาด้วยตัวเอง”
เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร
ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็มีข้อเสียของตัวเอง
ข้อเสียของมารดาเขาก็คือหยวนซื่อ
ขอเพียงเอ่ยถึงหยวนซื่อ ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวามารดาของเขาก็รู้สึกไม่เข้าตาไปเสียหมด
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ขาดสติหรือไร้เหตุผล จึงเพียงบ่นกับเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น
ทางด้านโจวเสาจิ่นกลับหารือกับชุนหว่านเกี่ยวกับคนที่จะต้องเชิญอย่างมีความสุขอยู่ตรงนั้นว่า “อาจูเป็นคนที่ท่านน้าฉือเอ่ยปากมาด้วยตัวเอง จะต้องเชิญอย่างแน่นอน นอกจากนี้ตอนเทศกาลโคมไฟเมื่อคราวก่อนนางยังเคยชวนข้าไปดูโคมลอย อีกอย่างนางก็ใกล้จะแต่งงานแล้วด้วย ส่วนคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้กับพี่สาวเจียก็ต้องเชิญด้วยเหมือนกัน…หากพี่สาวเจียรู้เรื่องจะต้องเป็นคนที่ดีใจมากที่สุดเป็นแน่ เช่นนี้นางก็จะได้ไม่ต้องถูกกักบริเวณแล้ว ส่วนคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้ก็จะได้มีหน้ามีตาขึ้นยามอยู่ต่อหน้าพี่สาวน้องสาวทุกคน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยให้ได้เจรจาการหมั้นหมายกับตระกูลดีๆ ก็เป็นได้ แต่คุณหนูทั้งหลายของตระกูลกัวนั้นจะเชิญผู้ใดดีนะ”
นางรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางเคยเจอบรรดาคุณหนูของตระกูลกัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ทุกคนต่างดูไม่ค่อยยิ้มแย้มหรือพูดคุยเท่าไรนัก ไม่รู้ว่าจะชวนสำเร็จหรือไม่
ถ้าพี่สาวอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี
นางก็จะได้ไปดูแข่งเรือมังกรพร้อมกับพี่สาวด้วยกัน
โจวเสาจิ่นร่าเริงขึ้นมา ตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายไปหาโจวชูจิ่น เล่าให้นางฟังว่าเฉิงฉือจะไปดูแข่งเรือมังกรเป็นเพื่อนตนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง
นางและพี่สาวเติบโตมาขนาดนี้ ยังเคยไปดูการแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบโม่โฉวเพียงครั้งเดียวสมัยที่ยังเป็นเด็กเท่านั้น ดูเหมือนว่าตอนนั้นนางถูกจับให้นั่งอยู่บนบ่าของฝานหลิวซื่อ เนื่องจากไปช้า จำได้เพียงว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน อึกทึกครึกโครมเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็มีของกินมากมายเต็มไปหมด พี่สาวจับมือน้อยๆ ของนางเอาไว้ไม่ปล่อยเลยสักครั้ง ได้ยินแต่เสียงพายของเรือมังกรแต่มองไม่เห็นเรือมังกร ไม่ง่ายเลยกว่าจะเบียดตัวไปถึงศาลาดูการแข่งขันที่อยู่ริมทะเลสาบได้ พอไปถึงก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว การแข่งเรือมังการก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ไอร้อนของพระอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่บนผิวน้ำลอยขึ้นมา นางทั้งเหนื่อยและกระหายน้ำ หลังจากที่บ่าวรับใช้เตรียมน้ำซวนเหมยเย็นๆ ให้นางดื่มไปหนึ่งถ้วยแล้วนางก็นอนพิงฝานหลิวซื่อจนหลับไป
แต่ครั้งนี้ท่านน้าฉือบอกว่า พวกนางจะได้นั่งดูอยู่ในห้องส่วนตัว
จึงไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้อื่นเหมือนกับคราวก่อนแล้ว
คิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นนั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ปีนั้นนางกับพี่สาวมาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูแล้ว เป็นท่านป้าใหญ่เหมี่ยนที่พาพวกนางสองพี่น้องไปด้วย ทว่าศาลาริมทะเลสาบที่พวกนางได้นั่งกลับเป็นเพียงศาลาที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น
ทว่าหอชิงเยียนที่อยู่ริมทะเลสาบโม่โฉวนั้นก็เพิ่งจะสร้างขึ้นมาหลังจากเริ่มรัชศกใหม่ของรัชกาลปัจจุบันนี้เท่านั้น
เกรงว่าห้องส่วนตัวขนาดสามห้องกั้นนี้คงจะได้มาไม่ง่ายนัก
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก นำจดหมายที่เขียนให้พี่สาวเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ กว่าครู่ใหญ่ถึงสั่งให้ชุนหว่านส่งไปให้หม่าฟู่ซาน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงฉือถามนางว่า “เจ้าตัดสินใจจะเชิญผู้ใดบ้าง”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือมีคนที่ต้องการเชิญหรือเปล่าเจ้าคะ”
คงจะไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลกัวหรอกกระมัง
นางคาดเดาอยู่ในใจ ได้ยินเฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้ข้าอยากเชิญผู้ใดมาก็ไม่อาจนั่งรวมกับพวกเจ้าอยู่ดี เจ้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี
เฉิงฉือส่ายศีรษะ ไม่สนใจนางอีก
โจวเสาจิ่นอารมณ์ดีมาโดยตลอด จนกระทั่งได้ยินข่าวว่างานแต่งของเฉิงนั่วกับอู๋เป่าจางถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่แปดเดือนแปด นางถึงได้กล่าวกับชุนหว่านอย่างไม่พอใจว่า “จวนห้าก็เหลือเกินจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่างานแต่งของพี่ชายเก้ากำหนดให้ตรงกับวันที่หนึ่งเดือนเก้า พวกเขาก็ยังจะชิงพาตัวเจ้าสาวเข้ามาตัดหน้าพี่ชายเก้าให้ได้ ไม่แปลกใจที่ทุกคนต่างไม่ชอบคนจวนห้า!”
การทำเช่นนี้มีเจตนาจะข่มเฉิงเก้าอยู่บ้างเล็กน้อย
ชุนหว่านเองก็รู้สึกขุ่นเคืองแทนเฉิงเก้าเหมือนกัน
ฝานหลิวซื่อกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กอย่างพวกเจ้าจะไปรู้อะไร! งานแต่งของคุณชายใหญ่เก้าต่างหากถึงจะเป็นงานแต่งที่จัดขึ้นอย่างสมเกียรติตามครรลอง งานแต่งที่เจรจากันวันนี้พรุ่งนี้ก็สู่ขอกันแล้วอย่างของคุณชายใหญ่นั่วนั้น เห็นได้ชัดว่ามิได้ให้ความสำคัญกับเจ้าสาวสักเท่าไรนัก ต่อให้อีกหน่อยเจ้าสาวคนใหม่แต่งเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้มีเกียรติเท่ากับสะใภ้ใหญ่เก้าหรอก”
เมื่อโจวเสาจิ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็เห็นว่าเป็นไปตามเหตุผลนี้จริงๆ
นางจึงกระซิบถามฝานหลิวซื่อว่า “ท่านว่า ท่านป้าใหญ่เวิ่นต้องการทำอะไรกันแน่ นางไม่กลัวว่าต่อไปสะใภ้ของตัวเองจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะหรอกหรือ”
ฝานหลิวซื่อมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น ก็กดเสียงลงกล่าวออกมาว่า “ข้าได้ยินฉีเอ๋อร์บอกว่า นี่เป็นความต้องการของตระกูลอู๋ บอกว่าเนื่องจากฮูหยินอู๋กำลังตั้งครรภ์ สิ้นปีก็จะคลอดแล้ว กลัวว่าถึงเวลานั้นจะกระทบกระเทือนต่อทารกในครรภ์ได้ ก็เลยเลือกวันที่นี้”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
รู้สึกว่าความกรุ่นโกรธได้ถูกขจัดออกไปแล้ว
ไม่ว่าจริงๆ แล้วจะเป็นเหตุผลอะไร ฮูหยินอู๋ก็ได้ตบหน้าอู๋เป่าจางไปฉาดหนึ่งแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นครรภ์นี้ของฮูหยินอู๋ยังเป็นบุตรชาย นับจากนี้ไปวันเวลาของอู๋ไท่เฉิงผู้เป็นพี่ชายของอู๋เป่าจางคงจะผ่านไปอย่างไม่ง่ายดายอีกแล้ว
ชาติก่อน หลังจากที่เฉิงลู่ถูกถอดถอนชื่อออกไปจากตระกูลเฉิงแล้ว อู๋เป่าจางก็ถอนหมั้นเฉิงลู่ด้วยเช่นกัน แล้วไปแต่งงานกับซิ่วไฉสอบตกผู้หนึ่ง ตั้งรกรากอยู่ที่หูโจว เฉิงอี้เคยเล่าให้นางฟังว่า ซิ่วไฉผู้นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับอู๋เป่าจางแต่อย่างใด นางมีชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะตั้งภรรภ์กี่ครั้งก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ อาศัยรายได้เพียงเล็กน้อยจากการเย็บเสื้อผ้าให้ผู้อื่นประทังชีวิต ส่วนอู๋ไท่เฉิงไม่ได้ติดตามใต้เท้าอู๋ไปรับราชการที่อวิ๋นหนาน ยังคงรั้งอยู่ที่จินหลิง กลายเป็นคนไม่เอาถ่านผู้หนึ่ง มีชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ อดมื้อกินมื้อ สุดท้ายภรรยาก็หนีตามผู้อื่นไป ถูกผู้คนในเมืองจินหลิงเรียกขานกันว่า ‘คุณชายเจ้าสำราญ’
ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว พี่ชายน้องสาวสองคนนี้นับว่าผิดแผกไปจากคนทั่วไปนัก
เป็นถึงคุณชายและคุณหนูของเจ้าเมือง แต่กลับกลายเป็นคนเช่นนั้นไปได้
โดยเฉพาะอู๋เป่าจาง ในสายตาของโจวเสาจิ่นแล้ว นางเป็นคนที่มีความสามารถและมากด้วยแผนการผู้หนึ่ง ต่อให้จะเคยหมั้นหมายกับเฉิงลู่มาก่อน แต่ก็ไม่น่าจะไปแต่งงานกับผู้ใดก็ได้ง่ายๆ เพียงนั้นถึงจะถูก
ยังมีท่านเจ้าเมืองอู๋อีก ที่สุดท้ายก็ไปเสียชีวิตอยู่ที่อวิ๋นหนาน
ราวกับว่าคนชั่วร้ายย่อมได้รับสิ่งเลวร้ายเป็นผลตอบแทน จุดจบของตระกูลอู๋ล้วนไม่ดีนัก
และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักว่าเหตุใดหลังจากที่กลับมามีชีวิตใหม่แล้วนางถึงไม่ได้ชิงชังอู๋เป่าจางจนเข้ากระดูกดำขนาดนั้น
ชาตินี้อู๋เป่าจางได้แต่งงานกับคนที่พอจะพึ่งพาได้มากกว่าชาติก่อน
นี่อาจจะเป็นเพราะนางไม่ได้กระทำเรื่องชั่วร้ายก็เลยไม่ต้องรับผลกรรมร้ายกระมัง
โจวเสาจิ่นโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไปก่อน แล้วกลับมาปวดหัวกับเรื่องที่ว่าจะเชิญคุณหนูคนใดของตระกูลกัวต่อแทน!