ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 303 ความสัมพันธ์ลับๆ
ซางมามากล่าวให้ความมั่นใจกับโจวเสาจิ่นว่า “ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะคุณหนูรอง ข้าจะเชิญตัวคุณหนูเจียกลับห้องส่วนตัวไปอย่างไม่ให้ใครรู้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเห็นว่าถึงแม้ใบหน้าของนางจะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงและท่าทางกลับมั่นใจยิ่งนัก โจวเสาจิ่นพลันมีความมั่นใจขึ้นมา
พวกนางลงมาข้างล่าง ค่อยๆ เดินไปยังประตูข้างอย่างเงียบๆ
สวนมีขนาดเล็กมาก เงียบเชียบไร้สุ้มเสียงใดๆ มองจากประตูข้างที่ลงกลอนเอาไว้ ว่างเปล่าไร้เงาคน เห็นเพียงต้นหลิวระย้าที่ปลูกอยู่ข้างทาง กิ่งก้านประหนึ่งเส้นไหม ห้อยระย้าลงมาอย่างหนาแน่นเท่านั้น
โจวเสาจิ่นย่ำเท้าลงอย่างแผ่วเบา กำลังจะก้าวออกไปสำรวจ ซางมามาที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับดึงนางเอาไว้ แล้วก็พานางเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ กระทั่งถอยเข้าไปในหอชิงเยียน
นางหันศีรษะกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
ซางมามาชี้ไปทางทิศตะวันออกพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “คุณหนูรอง ท่านรู้จักคนผู้นั้นหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเพ่งสายตามองไปครั้งหนึ่ง
ด้านหลังของต้นตั้กแตนต้นใหญ่ตรงกำแพงฝั่งตะวันออกมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่
เขามีอายุประมาณยี่สิบกว่าปี สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลิน บริเวณเอวคาดเข็มขัดผ้าสีดำ ห้อยถุงหอมต่างๆ เอาไว้ ที่มือยังสวมแหวนทองอีกสองวง แต่งตัวประหนึ่งพ่อค้าผู้ร่ำรวย แต่โจวเสาจิ่นมองเพียงครั้งเดียวก็จำได้แล้ว คนผู้นั้นคือจ้าวต้าไห่คนข้างกายของเฉิงลู่!
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นพลันตกตะลึงจนแน่นิ่งไป
เฉิงลู่ควรจะอยู่ที่หูหนานมิใช่หรือ
เขาไม่ติดตามอยู่ข้างกายเฉิงลู่ กลับมาทำอะไรที่เมืองจินหลิง
ดูท่าทางของเขาแล้ว เสมือนกับว่ากำลังดูต้นทางอยู่แล้วก็เหมือนกำลังแอบฟังไปด้วยในคราวเดียวกัน ตกลงคนที่อยู่นอกประตูนั่นเป็นผู้ใดกันแน่
ถ้าเป็นเฉิงเจีย เหตุใดนางจะต้องแอบตนออกมาพบคนผู้นี้ด้วยเล่า
ถ้าหากไม่ใช่เฉิงเจีย แล้วคนที่สวมชุดสีแดงผู้นั้นเป็นใคร
โจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อน เนื่องด้วยคำชักจูงของเฉิงเจีย ดังนั้นนางจึงไปที่สวนดอกไม้โดยไม่ได้ระแวดระวังตัวเลยสักนิด…
หรือว่าเฉิงเจียในชาติก่อนจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องอะไร
ในใจของโจวเสาจิ่นสับสนวุ่นวาย ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครู่ใหญ่
ซางมามาแตะตัวนางเบาๆ
นางถึงได้ได้สติกลับคืนมา สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้จักคนผู้นั้น เขามีนามว่าจ้าวต้าไห่ เป็นบ่าวข้างกายของเฉิงลู่ ชนิดที่ใกล้ชิดกันมากประเภทนั้น”
ซางมามากล่าวเสียงอ่อนโยนยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง ข้าเข้าใจแล้ว! ท่านยืนรออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปจัดการจ้าวต้าไห่ผู้นี้ก่อนแล้วจะกลับมาพาท่านไปดูที่ประตูข้าง”
โจวเสาจิ่นกลับจับซางมามาเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ไปบอกท่านน้าฉือดีกว่า! จ้าวต้าไห่ผู้นี้เรี่ยวแรงมากยิ่งนัก คนธรรมดาสามถึงห้าคนยังเข้าใกล้เขาไม่ได้ ท่านระวังเขาจะทำร้ายท่านเอาได้!”
ซางมามายิ้มออกมา
เป็นรอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและความเอ็นดูที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่ด้วย กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูรองวางใจเถิด นายท่านสี่ให้ข้าตามท่านมา ก็เพราะเห็นว่าข้ามีเรี่ยวแรงมาก อย่าว่าแต่คนเช่นเขานี้เลย ต่อให้มีอีกสามถึงห้าคนก็ไม่คณามือของข้า ท่านยืนรออยู่ตรงนี้ให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยังคงลังเลใจเล็กน้อย
ซางมามากล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจไม่เชื่อข้า แต่จะไม่เชื่อนายท่านสี่ด้วยหรือ”
จริงด้วย!
ถ้ามีอันตราย ท่านน้าฉือย่อมไม่ให้นางมาตรวจดูด้วยตัวเองอย่างแน่นอน!
นางยิ้มตาหยีออกมา ดึงแขนเสื้อของซางมามาเบาๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ซางมามา ท่านต้องระวังตัวด้วย หากเห็นว่าไม่ไหวก็รีบเร่งกลับมา อย่างมากพวกเราก็ตะโกนเรียกให้คนมาชิงตัวพี่สาวเจียกลับไป”
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะปกปิดเรื่องของเฉิงเจียเอาไว้ไม่ได้แล้ว
แต่เรื่องนี้เมื่อกล่าวกันตามจริงแล้วก็เป็นเฉิงเจียที่ทำผิดก่อน
ซางมามาเงียบไปหลายอึดใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นถึงได้ปล่อยแขนเสื้อของซางมามา แล้วไปหลบอยู่หลังประตู
ซางมามาถอดชุดเพ่ยจื่อตัวนอกออก เผยให้เห็นเสื้อตัวในที่คาดเอวด้วยเข็มขัดผ้าเอาไว้ จากนั้นผลักหน้าต่างขนาดเล็กทางฝั่งตะวันตกให้เปิดออกไปอย่างเงียบเชียบ ยกตาข่ายขึ้นแล้วปีนออกไป
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน เชื่อในคำพูดของซางมามาแล้ว
นางเดินเข้าไปใกล้กรอบหน้าต่างอย่างเบามือเบาเท้า
เห็นซางมามาปรากฏตัวอยู่ตรงเบื้องหลังของจ้าวต้าไห่ แต่จ้าวต้าไห่กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด กำลังมองไปที่ความเคลื่อนไหวในสวนด้วยสายตาวาววับ
ต่อให้ความรู้สึกช้า แต่เวลานี้โจวเสาจิ่นมองออกแล้วว่า ซางมามาผู้นี้เป็นผู้มีวรยุทธ์ติดตัวผู้หนึ่ง ก็เหมือนกับจี๋อิ๋ง ล้วนไม่ใช่สตรีธรรมดาทั่วไป
แต่นางยังคงเป็นกังวลจนกำหมัดเอาไว้แน่น
ถ้าหากซางมามากับจ้าวต้าไห่ปะทะกันขึ้นมา จนแหวกหญ้าให้งูตื่น ตนควรจะตะโกนออกมาหรือไม่นะ
เนื่องจากท่านน้าฉือมีเจตนาปกปิดเอาไว้ แม้แต่คนในบ้านล้วนไม่มีใครรู้ว่าซางมามามีวรยุทธ์ ถ้านางตะโกนออกไป แล้วถูกผู้อื่นค้นพบเข้าจะทำอย่างไร
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังเป็นทุกข์ใจอยู่ตรงนั้นนั้น ก็เห็นซางมามาหยิบของบางอย่างคล้ายกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากอกเสื้อแล้วหันไปเป่าใส่จ้าวต้าไห่ จ้าวต้าไห่ตัวอ่อนยวบ กำลังจะล้มลงบนพื้น
ซางมามาก้าวยาวๆ ออกไปประหนึ่งโบยบิน จับร่างของจ้าวต้าไห่เอาไว้ จากนั้นค่อยๆ วางจ้าวต้าไห่ลงบนพื้นช้าๆ ย่อตัวลง ‘จับๆ’ ตัวของจ้าวต้าไห่ตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้าอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ ราวกับอยากรู้ว่าบนตัวของจ้าวต้าไห่พกของอะไรมาด้วยหรือไม่ก็ไม่ปาน
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นนึกถึงพวกขุนนางที่เผชิญกับโจรผู้ร้ายในเรื่องเล่าจางหุยเหล่านั้นขึ้นมา
นางหน้าแดง ยกกระโปรงขึ้น ออกจากประตูหลังไปอย่างระมัดระวัง
ซางมามาหันมาแย้มรอยยิ้มว่า ‘สำเร็จแล้ว’ มาให้ครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เขย่งเดินเข้าไปหาอย่างอ่อนแรง
ซางมามาเดินมาประคองโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่ตรงประตูข้างที่ลงกลอนเอาไว้ เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกประตู
มีเสียงของเฉิงลู่ดังมาให้ได้ยินว่า “…ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก! เจ้าไม่รู้หรอกว่าตระกูลเฉิงจับตาดูข้าอย่างแน่นหนามากเพียงใด ต่อให้ข้าไปเพียงเมืองเล็กๆ ครั้งหนึ่ง ยังมีคนตามไปด้วย เจ้าจะให้ข้าทำอะไรได้ หากจะกล่าวโทษก็ต้องโทษคนของตระกูลเฉิงที่ใจร้ายมากเกินไป โทษที่ข้าไร้ความสามารถมากเกินไป โทษที่สวรรค์กลั่นแกล้งคน…โทษที่พวกเราสองคนมีชะตาต้องกันแต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้…”
เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาก็สะอื้นขึ้น
โจวเสาจิ่นกลับประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด
ชาติก่อน หลังจากที่ข่าวคราวการหมั้นหมายของเฉิงลู่กับอู๋เป่าจางเผยแพร่ออกมาแล้ว นางอยากจะไปพบเฉิงลู่เพื่อสอบถามให้ชัดเจนสักครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ พอเฉิงลู่รู้ ก็มาหานางก่อนด้วยตัวเอง มาพูดกับนางด้วยคำพูดชุดเดียวกันนี้
ตอนนั้นนางยังขังตัวเองอยู่แต่ในห้องร้องไห้ไปหนึ่งวันหนึ่งคืน
ความจริงแล้ว เฉิงลู่ยังพูดคำพูดชุดเดียวกันนี้กับสตรีอื่นด้วย
น่าขันตัวเองที่ตอนนั้นยังไปโกรธเกลียดอู๋เป่าจางอีก
เพราะคิดว่าทั้งๆ ที่นางรู้ว่าตนกับเฉิงลู่มีสัญญาหมั้นหมายด้วยคำพูดกันอยู่ แต่ตอนนั้นนางยังคิดจะประจบประแจงเฉิงลู่อีก ตอนที่ตระกูลอู๋กับตระกูลเฉิงหมั้นหมายกัน นางก็ยังเต็มใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่พูดอะไรเลยแม้สักประโยค
ที่แท้เฉิงลู่ก็เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
ตนถูกเขาแหกตาลวงหลอกก็เท่านั้น
หรือว่าคนที่เฉิงเจียลักลอบมาเจอจะไม่ใช่หลี่จิ้งแต่เป็นเฉิงลู่?
โจวเสาจิ่นอับอายและแค้นใจเหลือจะกล่าว
สำหรับความโง่ของตัวเองในชาติก่อน และสำหรับเรื่องที่ตัวเองถูกหลอกลวงในชาตินี้ทั้งหมด…
นางขยับออกไปหมายจะดึงประตูให้เปิดออก อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ใครจะรู้ว่านางเพิ่งจะยกมือขึ้นมา ก็ถูกซางมามาจับแขนเอาไว้แล้ว
โจวเสาจิ่นหันหน้ากลับมาอย่างประหลาดใจ
ซางมามาส่ายศีรษะให้นางเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้นางอย่าผลีผลาม
โจวเสาจิ่นหน้าแดง สงบสติอารมณ์ลงมา
ด้านนอกมีเสียงเศร้าซึมและเสียใจของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไร เฉิงนั่วผู้นั้นเป็นเพียงบุรุษเสเพลผู้หนึ่ง นอกจากกินดื่มเที่ยวเล่นแล้ว วันๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง หรือว่าท่านก็จะยอมทนมองข้าแต่งให้เขาไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
อู๋เป่าจาง!
ที่แท้ก็เป็นอู๋เป่าจาง!
พวกเขามาร่วมมือกันตั้งแต่เมื่อไร!
โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้าง หัวสมองสับสนมึนงงไปหมด ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้เล็กๆ ของอู๋เป่าจางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้ข้ามีชีวิตอย่างไรบ้าง เขียนจดหมายส่งไปให้ท่าน ท่านก็ไม่ตอบกลับ ให้คนนำความไปแจ้งท่าน ท่านก็ไม่ตอบ ข้าทั้งกลัวว่าจดหมายจะตกหล่นไปอยู่ในมือของผู้อื่น และก็กลัวว่าเมื่อท่านได้ยินข่าวแล้วจะร้อนใจ แล้วรีบกลับมาโดยไม่สนใจอะไร เป็นการตัดอนาคตของท่านเสีย…โชคดีที่ท่านหาข้ออ้างเร่งกลับมาได้…แต่ไม้ก็ได้กลายเป็นเรือไปแล้ว…พ่อของข้ารับสินสอดของตระกูลเฉิงมาแล้ว…ข้า…ข้ากับท่านคงไม่อาจสมปรารถนากันแล้ว…ข้าไม่อยากยอมรับ ไม่อยากยอมรับ!”
เฉิงลู่เซื่องซึม กล่าวขึ้นว่า “ไม่อยากยอมรับแล้วทำอะไรได้ หรือว่าพวกเราจะหนีไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ ต่อให้ข้าจะมีความคิดนี้ แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ารับความทุกข์ใจเช่นนั้นได้! ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้ายังดูแลครอบครัวของตัวเองไม่ได้ ยังต้องพึ่งพาตระกูลเฉิงอยู่…”
ดูเหมือนคำว่าหนีไปด้วยกันที่เฉิงลู่พูดออกมาจะทำให้อู๋เป่าจางตกใจกลัวไปแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่เอ่ยอะไร
โจวเสาจิ่นเผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา
คิดถึงตอนนั้น หลังจากที่อู๋เป่าจางกับเฉิงลู่หมั้นหมายกันแล้ว ไม่รู้ว่ามีความสุขมากเพียงใด แต่พูดได้ว่าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจอย่างมีความสุข ไม่เพียงเอาเรื่องงานแต่งของตัวเองเล่าไปทั่วทุกที่ แม้แต่ตอนอยู่ที่เรือนของสะใภ้ใหญ่สือทางด้านโน้น อยู่ต่อหน้านางกับเฉิงเจียก็ไม่ปิดบังความพึงพอใจที่นางมีต่องานแต่งครั้งนี้เลยสักนิด ยังพูดอะไรทำนองว่า คุณชายใหญ่ลู่เป็นคนเอาใจใส่ผู้อื่นและอ่อนโยนเป็นที่สุด หลายวันก่อนฝนตกหนัก เขายังส่งบ่าวชายมาถามข้าว่าได้ย้ายดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้พวกนั้นเข้าไปในโรงปลูกดอกไม้หรือยังอีกด้วย
นางได้ยินแล้วประหนึ่งถูกคว้านหัวใจด้วยมีด
แต่หลังจากที่เฉิงลู่ถูกตระกูลเฉิงหาข้ออ้างขับไล่ออกไปแล้ว อู๋เป่าจางก็ถอนหมั้นกับเฉิงลู่ในทันที
กล่าวได้ว่าเป็นการหันหลังให้อย่างง่ายดายประหนึ่งการพลิกหน้าหนังสือ
โจวเสาจิ่นคิดอย่างขุ่นเคือง
หากรู้ว่าอู๋เป่าจางร่วมมือกับเฉิงลู่เร็วกว่านี้ นางอาจจะขอร้องให้ท่านน้าฉือคิดหาวิธีจับคู่ให้อู๋เป่าจางกับเฉิงลู่ รอให้อู๋เป่าจางรู้ว่าเฉิงลู่ถูกถอดถอนยศตำแหน่ง ดูว่านางจะทำหน้าอย่างไร!
นางนึกถึงชาติก่อนขึ้นมาอีกครั้งด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย
เฉิงลู่หมั้นหมายกับอู๋เป่าจางกันอย่างกะทันหันโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หรือว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ลับๆ กันมาตั้งนานแล้ว
ไม่อย่างนั้นหลังจากหมั้นหมายกันแล้วอู๋เป่าจางจะมาพูดถึงความดีของเฉิงลู่ต่อหน้านางทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจบ่อยๆ ไปทำไม
โจวเสาจิ่นรู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียน
กำลังครุ่นคิดว่าจะเข้าไปทำลายเส้นทางของพวกเขาสองคนดีหรือไม่นั้น ก็ได้ยินอู๋เป่าจางกล่าวขึ้นอย่างทุกข์ใจว่า “พี่ชายลู่ เช่นนั้นต่อไปท่านยังจะใส่ใจข้าอยู่อีกหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าก็เหมือนกับน้องสาวของข้า” เฉิงลู่รับปากเสียงอบอุ่น “ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอะไรมาขอร้องข้า ข้าจะยังคงช่วยเหลือเจ้าเหมือนเมื่อก่อน เจ้าวางใจเถิด หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว จะมีพี่ชายที่คอยปกป้องเจ้าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง” กล่าวจบ เขาก็ทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “น่าเสียดายที่สิ้นปีข้าถึงจะได้กลับมา นอกจากนี้หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าตระกูลเฉิงจะกลั่นแกล้งให้ข้าสวมใส่รองเท้าคับๆ อย่างไรอีกบ้าง…”
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นพี่ชายลู่ทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตระกูลเฉิงถึงไม่พอใจท่าน ถ้าหากหาสาเหตุออกมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะแก้ไขความขุ่นเคืองนี้ได้ก็เป็นได้นะเจ้าคะ ตระกูลเฉิงเก่งกาจยิ่งนัก มีครั้งหนึ่งข้าลองหยั่งเชิงเอ่ยถึงเรื่องพาท่านกลับมากับท่านพ่อของข้าอย่างอ้อมๆ ท่านพ่อกลับต่อว่าข้าอย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง ยังบอกว่าหากข้าสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก จะส่งข้ากลับไปอยู่บ้านเดิม…”
เฉิงลู่ทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “จะมีสาเหตุอะไรได้ ก็เพราะมีทั้งอัญมณีและแสงสว่าง เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ก็เท่านั้น! ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า! ที่เฉิงเจียซ่านสอบได้อั้นโส่วตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น นั่นก็เพราะใต้เท้าผู้เป็นเจ้าเมืองคนก่อนต้องการประจบประแจงตระกูลเฉิง หากว่ากันตามความสามารถแล้ว เฉิงโหย่วอี๋ของจวนรอง หรือคุณชายใหญ่เจิ้งของจวนสาม มีผู้ใดบ้างที่ไม่แข็งแกร่งกว่าเขา เขาก็แค่เกิดมาจากจวนหลัก มีบิดาเป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้าก็เท่านั้น…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็แสยะยิ้มเย็น
ถึงแม้เฉิงสวี่จะเป็นคนสารเลวผู้หนึ่ง แต่ความสามารถในการเรียนนั้นกลับดีมากจริงๆ
ชาติก่อนพี่ชายเก้าพูดถึงความสามารถในการเรียนของเฉิงสวี่ต่อหน้าเฉิงลู่ เฉิงลู่ก็ไม่เคยปฏิเสธความสามารถของเฉิงสวี่เลยสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับมาพูดว่าที่เฉิงสวี่สอบได้อั้นโส่วนั้นเป็นเพราะอาศัยบารมีของบิดา
ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอีกอย่างหนึ่ง เฉิงลู่ช่างเป็นจอมวายร้ายต้อยต่ำผู้หนึ่งจริงๆ!