ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 309 ละอายใจ
ไม่เคย!
โจวเสาจิ่นคิดอย่างเศร้าใจ
นางเคยมีความรู้สึกเช่นนี้…กับท่านน้าฉือเท่านั้น!
หรือว่านางจะชอบท่านน้าฉือเข้าแล้ว!
โจวเสาจิ่นเอามือปิดหน้าเอาไว้ อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว
เป็นเพราะรู้สึกชอบอยู่ในใจ ฉะนั้นทั้งๆ ที่ท่านน้าฉือดื่มสุรามามากแต่นางกลับยังนั่งโบกพัดให้เขาอยู่ข้างๆ ได้ใช่หรือไม่ นั่งจนตีกลองบอกเวลายามสามแล้วก็ยังไม่อยากกลับไป…
เพราะรู้สึกชอบอยู่ในใจ ดังนั้นนางถึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องคิดทบทวนเพิ่มเติมใช่หรือไม่ ขอเพียงในทุกๆ วันได้ใกล้ชิดหรือได้เห็นเขาสักครั้งก็พอ…
เพราะรู้สึกชอบอยู่ในใจ ด้วยเหตุนี้นางถึงได้ชอบไปหาเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตามใช่หรือไม่ ขอเพียงได้เห็นท่าทางของเขาที่ทำเพื่อนางอย่างขะมักเขม้น ก็รู้สึกมีความสุขอย่างไม่สิ้นสุดแล้ว…
“พี่สาวเจีย!” นางกอดเฉิงเจียเอาไว้พร้อมกับร้องไห้อย่างทุกข์ระทมออกมา “เหตุใดท่านต้องชอบหลี่จิ้งด้วย”
ถ้าหากเฉิงเจียไม่ได้ชอบหลี่จิ้ง นางก็ไม่ต้องมารับรู้ว่าอะไรคือ ‘ชอบ’ แล้ว…ล้วนเป็นเพราะเฉิงเจีย! พาให้นางมาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะทานทนนี้!
ต่อไปนางควรจะเผชิญหน้ากับเฉิงฉืออย่างไรดี!
โจวเสาจิ่นร้องไห้อย่างทุกข์ระทมยิ่ง!
ราวกับถูกผู้อื่นพรากของรักอะไรบางอย่างไปก็ไม่ปาน ร้องไห้จนควบคุมตัวเองไม่ได้
นี่นางกลัวว่าหลังจากที่ตนแต่งกับหลี่จิ้งแล้วจะไม่ใยดีนางอย่างนั้นหรือ
เฉิงเจียได้ยินแล้วขอบตาก็แดงตามขึ้นมาด้วย นางกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ ค่อยๆ ลูบหลังนางเบาๆ กล่าวปลอบโยนนางว่า “ต่อให้ข้าชอบหลี่จิ้ง เจ้าก็ยังเป็นน้องสาวของข้านี่นา! หลี่จิ้งให้ความสำคัญกับข้า ก็ย่อมจะดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ต่อไปจะมีพี่ชายมาเอาอกเอาใจเจ้าเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วไม่ดีหรือ”
ไม่ดี!
โจวเสาจิ่นร้องไห้ไปด้วยส่ายศีรษะไปด้วย
หลี่จิ้งเป็นของเฉิงเจีย เกี่ยวอะไรกับนางด้วย
นางต้องการเพียงท่านน้าฉือของนาง…นางเพียงอยากให้นางกับท่านน้าฉือเป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเท่านั้น…
โจวเสาจิ่นเอาแต่กัดริมปากอย่างเป็นเอาตาย พูดอะไรไม่ออกแม้สักประโยค แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรสักประโยคด้วยเช่นกัน นางกลัวว่าตัวเองจะอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จะพูดสิ่งที่ทำให้นางและเฉิงฉือต้องตกนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทั้งหมด
เฉิงเจียมองนางกัดริมฝีปากจนช้ำไปหมด ร่างซวนเซไปมา ท่าทางเจ็บปวดจนเหมือนกับจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตานั้นแล้ว ก็ตะโกนเรียกไม่หยุดว่า “เสาจิ่นๆ เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้! ข้าไม่แต่งแล้วก็ยังไม่ดีหรือ ไม่แต่งแล้วก็ยังไม่ดีหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไร กอดแขนเฉิงเจียเอาไว้แน่นประหนึ่งกอดขอนไม้ช่วยชีวิตขอนหนึ่ง
เฉิงเจียชอบหลี่จิ้ง อย่างน้อยก็ยังพูดออกมาได้ว่าชอบ!
แล้วนางเล่า?
นางจะเลือกทางเส้นไหนดี
แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วอยู่ที่เรือนหานปี้ซานต่อไป?
หรือว่าจะฝังความรู้สึกนี้เก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจแล้วทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น?
รอจนกระทั่งท่านน้าฉือแต่งงาน นางก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว!
นางทำไม่ได้…ทำไม่ได้…
แต่ต่อให้นางทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรได้?
จะไปเผยความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้าเขาอย่างหน้าไม่อายอย่างนั้นหรือ
แค่คิดว่าถึงเวลานั้นเฉิงฉือจะมองนางด้วยสายตาประหลาดใจและดูแคลน นางก็รู้สึกปวดไปทั้งหัวใจแล้ว เหมือนกับที่เฉิงเจียกล่าวมา เจ็บปวดราวกับถูกมีดจ้วงแทง เจ็บจนอยากจะตายไปเสียยังจะดีกว่า
นางซบอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงเจียพึมพำกล่าวขึ้นว่า “พี่สาวเจีย ท่านว่าข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าควรจะทำอย่างไรดี”
โจวเสาจิ่นอยากไปหาพี่สาว
แต่เรื่องนี้พูดกับพี่สาวได้หรือ
หรือไปหาบิดา?
นั่นคงยิ่งไม่อาจพูดออกมาได้
นางควรจะทำอย่างไรดี
ทำอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นวิตกและหวาดกลัวราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงไปในกับดัก
ตอนที่ฝานหลิวซื่อกับชุนหว่านเร่งมาถึงนั้น ก็เห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียกอดคอกันร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ฝานหลิวซื่อเอ่ย จะแยกพวกนางออกจากกันก็ไม่ดี จะไม่แยกก็ไม่ดี
เป็นเฉิงเจียที่รู้สึกตัวก่อน เช็ดน้ำตาพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มามาช่วยตักน้ำเข้ามาให้พวกข้าล้างหน้าใหม่สักครั้งเถิด! พวกข้าพูดคุยถึงเรื่องน่าเศร้าใจบางอย่าง ก็เลยพากันร้องไห้ขึ้นมา”
แน่นอนว่าฝานหลิวซื่อไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ก็มิใช่เวลามาไล่เรียงถามเรื่องพวกนี้
นางสั่งสาวใช้เด็กตักน้ำเข้ามา ชุนหว่านกับชุ่ยหวนนั้น คนหนึ่งปรนนิบัติโจวเสาจิ่นอีกคนหนึ่งปรนนิบัติเฉิงเจีย ช่วยพวกนางล้างหน้าหวีผมใหม่
ทางด้านโน้นของเฉิงเจียนั้นไม่นานก็ล้างหน้าหวีผมเสร็จแล้ว แต่ทางด้านนี้ของโจวเสาจิ่นกลับยังมีสีหน้าซึมเศร้า น้ำตาไหลลงมาไม่หยุดราวกับเชือกร้อยสร้อยไข่มุกขาด เช็ดแล้วก็รินไหลลงมาใหม่ รินไหลลงมาแล้วก็เช็ดให้แห้งอีกครั้ง ไม่นานดวงตาก็บวมแดงขึ้นมา
ฝานหลิวซื่อกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวอย่างปวดใจว่า “คุณหนูที่แสนดีของข้า นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ มีเรื่องอะไรขอเพียงท่านบอกข้า ต่อให้ข้าจะใช้การไม่ได้ แต่ก็ยังมีนายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วก็นายท่านใหญ่อยู่นี่นา ท่านเป็นเช่นนี้ ทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งกว่าฆ่าข้าให้ตายเสียอีกเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นฝืนยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่รู้สึกเศร้าใจเท่านั้น” ขณะที่กล่าว น้ำตาก็ไหลลงมาไม่หยุดดั่งหยดน้ำ คนที่เดิมทีงดงามประหนึ่งดอกไม้ดอกหนึ่ง ตอนนี้ดูหมดสภาพราวกับต้องน้ำค้างแข็งมาก็ไม่ปาน
ฝานหลิวซื่อมองแล้วก็ปวดใจ ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากเอาไว้และร้องไห้ออกมา ร้องไห้ไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “คุณหนูรอง ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย! พวกเราเขียนจดหมายไปให้นายท่านใหญ่ แล้วพวกเราไปอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง…”
นางไม่ชอบเฉิงเจียมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว รู้สึกว่าเฉิงเจียอาศัยว่าตนมีบิดามารดารักและทะนุถนอมจึงชอบมาออกคำสั่งโจวเสาจิ่น แต่คำพูดนี้ไม่อาจกล่าวออกไปได้ นางเคยเตือนโจวเสาจิ่นมาแล้วหลายครั้ง แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่เก็บคำพูดของนางไปใส่ใจเลยสักนิด นางกลัวว่าตักเตือนไม่สำเร็จแล้วกลับกลายเป็นได้ชื่อว่าเป็นผู้หว่านเมล็ดแห่งความขัดแย้งขึ้นมาแทน จึงไม่กล้าเตือนอีก แต่หลังจากที่โจวเสาจิ่นฟื้นขึ้นมาจากการลื่นล้มในครั้งนั้นแล้วก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงมีความคิดเป็นของตัวเอง มนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่นก็มีจุดยืนเป็นของตัวเอง นางรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยปล่อยให้เป็นไปที่โจวเสาจิ่นต้องการ
แต่ตอนนี้ เฉิงเจียมาทำให้โจวเสาจิ่นตกอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว
แต่พวกนางก็มิใช่โจวเสาจิ่นและฝานหลิวซื่อคนเดิมของเมื่อก่อนนั่นอีกแล้ว
คุณหนูรองไม่เพียงยืนขึ้นมาได้แล้วเท่านั้น แต่เบื้องหลังของคุณหนูรองยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัว นายท่านผู้เฒ่ากวน และนายท่านของพวกเขาเองคอยสนับสนุนอยู่
มิใช่คุณหนูรองตระกูลโจวที่ยอมให้คุณหนูสี่ตระกูลเฉิงอยากจะปั้นให้กลมก็ปั้นให้กลม อยากจะบีบให้แบนก็บีบให้แบนคนนั้นอีกแล้ว
เฉิงเจียได้ยินแล้วก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ
นางคิดไม่ถึงว่าฝานหลิวซื่อจะว่านางเช่นนี้
หากเป็นยามปรกติ เฉิงเจียคงไม่ยอมปล่อยไว้และต้องให้โจวเสาจิ่นสั่งสอนฝานหลิวซื่อเป็นแน่ แต่วันนี้อารมณ์ของโจวเสาจิ่นไม่ปรกตินัก ทั้งร่างราวกับคนที่ถูกสูบวิญญาณออกจากร่างไปก็ไม่ปาน เจ้าพูดกับนางไปตั้งหลายประโยคนางถึงจะตอบเจ้ากลับมาสักหนึ่งประโยค…เวลานี้เฉิงเจียไม่อยากให้โจวเสาจิ่นต้องมาเป็นกังวลด้วยเรื่องพวกนี้อีก นางแสยะยิ้มเย็นแล้วกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น วันนี้เจ้าพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน! พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างซึมเซา
เฉิงเจียอดไม่ได้ก้าวออกไปกอดโจวเสาจิ่นที่นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นอย่างเชื่อฟัง ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นพาชุ่ยหวนออกจากเรือนฝูชุ่ยไป
โจวเสาจิ่นประคองตัวไว้ไม่ได้อีกต่อไป ล้มตัวลงบนตั่งหลัวฮั่น ไม่รอให้ถึงเวลาอาหารเย็น ก็เป็นไข้ตัวร้อนขึ้นมาแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเร่งมาดูด้วยตัวเอง ลูบหน้าผากของโจวเสาจิ่นไปด้วย ถามฝานหลิวซื่ออย่างไม่พอใจไปด้วยว่า “คุณหนูเป็นคนที่เจ้าให้นมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้นางป่วยไข้จนมีสภาพเช่นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งจะมารู้เอาเวลานี้เล่า”
ฝานหลิวซื่อยากที่จะเอื้อนเอ่ยความระทมทุกข์ของตัวเองออกมาได้
เพียงล้มตัวลงนอนโจวเสาจิ่นก็เริ่มมีอาการตัวร้อน เวลาผ่านไปเพียงสามเค่อ ร่างกายก็ร้อนจัดเสียแล้ว
แต่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางไม่กล้าพูดอะไรแม้สักประโยค ได้แต่ก้มหน้าลงยอมรับความผิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไหนเลยจะมีเวลาว่างมาดุด่าบ่าวแก่ๆ ผู้หนึ่ง คำพูดนี้พูดจบก็ถือว่าจบกันไป นางสั่งสื่อมามาว่า “ยังไม่รีบไปเชิญท่านหมอมาอีก!”
สื่อมามาไม่กล้าชักช้า หยิบป้ายชื่อของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วออกไปข้างนอก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือโอกาสตอนที่ท่านหมอยังไม่มาให้ปี้อวี้ตักน้ำเย็นเข้ามาเช็ดตัวให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่บิดาของข้าสอนข้ามาตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เวลาที่เจ้าใหญ่กับเจ้ารองไม่สบายตอนเป็นเด็ก ข้าล้วนใช้วิธีนี้ ด้วยกลัวว่าลูกจะตัวร้อนจนไม่ได้การ!”
ฝานหลิวซื่อเช็ดน้ำตาอย่างซาบซึ้งใจ ช่วยเป็นลูกมือให้ปี้อวี้
ไม่นาน ไข้ของโจวเสาจิ่นก็ลดลงมาเล็กน้อย
หม่าเหน่าเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า ถามขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ท่านเห็นว่าจะให้ตั้งโต๊ะที่ไหนดีเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโบกมือให้อย่างกระวนกระวายใจ กล่าวขึ้นว่า “อีกประเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าให้มีเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว ภายในห้องจึงได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ดังกว่ายามปรกติเล็กน้อยของโจวเสาจิ่นเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่เอ็นดู
เห็นปากนางพึมพำกล่าวอะไรบางอย่าง เสียดายที่เสียงเบาเกินไป จึงไม่ได้ยินว่ากล่าวอะไรอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคาดเดาว่าหากมิใช่กำลังเพ้อถึงพ่อแม่ก็คงกำลังเพ้อถึงพี่สาวอยู่
เด็กคนนี้เสียมารดาไปตั้งแต่อายุยังไม่ครบหนึ่งขวบปี ยังเดินไม่ได้เลยด้วยซ้ำก็ต้องตามพี่สาวร่วมบิดาจากบ้านมาอยู่กับยายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแล้ว…อีกทั้งหน้าตายังงดงามดุจดอกไม้ชูช่อทำให้ผู้คนรักใคร่ ก็เป็นคนที่น่าสงสารผู้หนึ่ง
มีคนพรวดเข้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวก่อน
คนที่สามารถเดินเข้าออกบ้านหลังนี้ได้เช่นนี้มีเพียงเฉิงฉือบุตรชายคนเล็กของนางคนเดียวเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมุนกายไป ก็เห็นบุตรชายคนเล็กของตัวเองยืนนิ่งอยู่ด้านนอกผ้าม่านของห้องชั้นใน เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เมื่อวานยังดีๆ อยู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่สบายดีขึ้นมา”
นางยังไม่ทันได้ถามคนข้างกายของโจวเสาจิ่นเช่นกัน ได้ยินแล้วจึงกวาดสายตาไปมองฝานหลิวซื่อที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างนอบน้อม
ฝานหลิวซื่อตัวสั่นสะท้าน เล่าเรื่องที่เฉิงเจียมาหาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง “…รายละเอียดว่าคุยกันเรื่องอะไรนั้น พวกบ่าวก็ได้ยินไม่ถนัดเจ้าค่ะ เนื่องจากปรกติเวลาคุณหนูรองกับคุณหนูเจียพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันจะไม่ชอบให้พวกบ่าวคอยรับใช้อยู่ข้างๆ พวกบ่าวได้ยินเสียงตะโกนเรียกของคุณหนูเจียถึงได้วิ่งเข้ามาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นว่า “หลานเจียผู้นี้ ไม่มีเวลาไหนให้คนไม่กังวลใจได้เลย ฮูหยินใหญ่หลูกักบริเวณนางก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมต่อนาง”
จบกันๆ
ปี้อวี้ถอนหายใจแทนเฉิงเจียอยู่ในใจไม่หยุด
ด้วยคำพูดประโยคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฤดูร้อนนี้คุณหนูเจียก็ไม่ต้องหวังจะได้ออกจากบ้านแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้หวังจะเหยียบเข้ามาที่เรือนหานปี้ซานอีก
ทว่าทางด้านเฉิงฉือกลับเอ่ยขึ้นว่า “เชิญท่านหมอมาหรือยัง ไปเชิญท่านหมอคนใด ได้ให้คนเอาเกี้ยวไปรับหรือไม่”
สื่อมามารีบกล่าว “นำป้ายชื่อของฮูหยินผู้เฒ่าไปเชิญท่านหมอของโรงหมอตระกูลโจวแล้วเจ้าค่ะ พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าประตูใหญ่ด้านนอกติดตามเกี้ยวไปด้วยตัวเอง บอกให้ท่านหมอโจวและภรรยาของเขามาพร้อมกันเจ้าค่ะ”
จิตใจของเฉิงฉือสงบลงเล็กน้อย คิดว่าโดยปรกติโจวเสาจิ่นก็เป็นคนที่ร่างกายผอมบางที่เพียงลมพัดก็ล้มลงได้ผู้หนึ่งอยู่แล้ว แต่ว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ตนจึงไม่ทันได้ระวัง เมื่อคืนนอกจากจะรั้งตัวนางไว้พูดคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ตอนกลับก็ไม่ได้ให้สาวใช้หาเสื้อคลุมสักตัวมาให้นางคลุมเอาไว้ น่าจะเพราะต้องลมหนาวยามค่ำคืนโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวจนล้มป่วยลงเป็นแน่
เขาพลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา อยากจะเข้าห้องชั้นในไปจับชีพจรให้โจวเสาจิ่น แต่เมื่อเห็นแสงสีทองที่สะท้อนมาจากปิ่นปักผมทองบนศีรษะของมารดาแล้วก็สะท้านอยู่ในใจ ถึงได้อดกลั้นหยุดเท้าที่กำลังจะยกขึ้นมานั้นกลับไปลงไปได้
เฉิงฉือพลันกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่ห้องโถงชั้นนอก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสี่ ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้ากลับไปกินข้าวก่อนก็แล้วกัน ที่นี่มีข้าเฝ้าอยู่ ประเดี๋ยวรอให้ท่านหมอจัดเทียบยามาแล้ว ข้าจะให้พวกเขาเอาไปให้เจ้าดู”
เฉิงฉือไหนเลยจะกินข้าวลงได้ แต่ก็ไม่อาจเอาแต่รั้งอยู่ที่นี่ได้ ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ท่านหมอโจวกับโจวเหนียงจื่อก็มาถึง
เขาถึงได้รู้สึกราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป เชื้อเชิญท่านหมอโจวกับโจวเหนียงจื่อเข้ามา ยืนอยู่ด้านนอกกับท่านหมอโจวขณะรอโจวเหนียงจื่อตรวจชีพจร
ไม่นาน สื่อมามาก็ออกมาแจ้งว่า “โจวเหนียงจื่อบอกว่าคุณหนูรองไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ น่าจะเป็นเพราะเจอเรื่องที่ทำให้ตกใจกลัวมา จึงหวาดผวาไปชั่วขณะ ให้ดื่มยากล่อมประสาทสักชุดก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”