ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 312 สะกดกลั้นความรู้สึก
ท่านน้าฉือเฝ้าไข้นางตลอดทั้งคืน!
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วนัยน์ตาสว่างวาบ
จู่ๆ ก็นิ่งเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
นางเป็นแขกที่มาอาศัยอยู่ในเรือนหานปี้ซาน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย จวนหลักก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ คงไม่อาจให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาดูแลนางด้วยตนเองได้หรอกกระมัง จึงเป็นธรรมดาที่จะให้ท่านน้าฉือมาเฝ้าไข้นางแทน!
แม้จะบอกกับตนเองไปเช่นนั้น ทว่าในใจของนางกลับยังคงเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
เหตุใดท่านน้าฉือถึงมาเฝ้าไข้นางทั้งคืนด้วย
เพียงสั่งการฝานมามาไปก็ได้แล้วนี่นา
หรือว่าท่านน้าฉือ…ก็พอจะชอบนางอยู่บ้างเหมือนกัน?
แต่ความชื่นชอบเช่นนี้เกรงว่าเป็นความรักใคร่เอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็กๆ มากกว่ากระมัง!
ทว่าแล้วอะไรคือความชอบพอกันระหว่างชายหญิงเล่า
มอบของขวัญให้กัน?
เป็นห่วงเป็นใยกัน? เอาใจใส่กัน?
พูดคุยสัพเพเหระไม่หยุดยามที่อยู่ด้วยกัน?
หรือคอยเอาอกเอาใจและตามใจกัน?
โจวเสาจิ่นนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ เวลาที่ตนอยู่กับเฉิงฉือ ในใจก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
หลี่จิ้งก็ปฏิบัติกับเฉิงเจียอย่างนี้เหมือนกันหรือไม่นะ
นางเอ่ยถามฝานหลิวซื่ออย่างอดไม่ได้ว่า “พี่สาวเจียถูกกักบริเวณหรือ ท่านป้าใหญ่หลูกักบริเวณนางด้วยเรื่องอะไรอีก ข้าไปดูนางสักหน่อยดีกว่า! อย่างไรเสียท่านป้าใหญ่หลูก็กักบริเวณนางทุกสองสามวัน ส่วนนางเองก็ถูกกักบริเวณทุกสองสามวันอยู่ดี…”
เฉิงเจียต้องรู้อย่างแน่นอน!
ฝานหลิวซื่อย่อมไม่อาจบอกได้ว่าเพราะนางเป็นสาเหตุทำให้โจวเสาจิ่นป่วยหนัก จึงตอบไปอย่างคลุมเครือว่า “คุณหนูรองไปเยี่ยมนางก็ดีเจ้าค่ะ นำขนมกินเล่นติดไปด้วยสักหน่อย อยู่คุยเป็นเพื่อนคุณหนูเจีย แม้อารมณ์ของคุณหนูเจียจะไม่ดีนัก แต่นางก็มีจิตใจกว้างขวาง ท่านไปเยี่ยมนาง นางย่อมต้องดีใจเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ก็ได้กระจ่างเสียที
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ แล้วสวมรองเท้าลงมาจากเตียง
ทว่ากลับรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาในทันใด
ฝานหลิวซื่อรีบเข้ามาประคองนาง กล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนูรองไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ ข้าจะไปเรียกท่านหมอ! ทางด้านคุณหนูเจียนั้นรอวันไหนที่ร่างกายของท่านแข็งแรงดีขึ้นแล้วค่อยไปหานางก็ยังไม่สาย”
เช่นนี้ก็จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้จวนสามคิดว่าจวนหลักทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คุณหนูรองเพียงเป็นหวัดธรรมดาก็ไปกล่าวหาว่าคุณหนูเจียเล่นซุกซนจนเกินเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ฮูหยินใหญ่หลูจำต้องกักบริเวณคุณหนูเจีย
ทว่าในใจของโจวเสาจิ่นกลับคิดแต่เรื่องของหลี่จิ้งกับเฉิงเจีย ยืนกรานไปว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงนอนติดเตียงมาหลายวัน ร่างกายจึงไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย เดินสักรอบก็ดีขึ้นแล้ว” นางดึงดันจะให้ฝานหลิวซื่อเรียกสาวใช้เข้ามาล้างหน้าแต่งตัวให้นาง พอนางล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็จะไปกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว จากนั้น…ค่อยไปหาท่านน้าฉือ แล้วไปที่เรือนหรูอี้
หลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเยี่ยมโจวเสาจิ่นทุกวัน ในเมื่อโจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาแล้ว จะด้วยความรู้สึกหรือเหตุผลก็ควรจะไปกล่าวทักทายและขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฝานหลิวซื่อพูดเกลี้ยกล่อมไปสองสามประโยค แต่พอเห็นโจวเสาจิ่นตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ก็ไม่อาจห้ามปรามเอาไว้ได้อีก จึงเรียกปี้เถาและคนอื่นๆ เข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าแต่งตัว
ทว่าโจวเสาจิ่นเพิ่งจะหวีผมเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มาหาเสียก่อนแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบบอกให้สาวใช้ยกน้ำชาไปรับรอง ส่วนตนรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางซูบผอมลง ทว่าตัวนางกลับยิ่งดูงดงามอ่อนช้อยราวกับต้นหลิวที่ลู่ไปตามสายลมอ่อนอย่างไรอย่างนั้น จึงลอบทอดถอนใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ไม่แปลกใจที่เจ้าสี่จะหลงใหลนาง!
งามพริ้มเพราถึงเพียงนี้ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าสี่ที่กำลังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มแน่น แม้แต่หญิงชราผู้เป็นหม้ายอย่างนางเมื่อเห็นแล้วก็ยังรู้สึกรักใคร่เอ็นดูเลย
นางไม่รอให้โจวเสาจิ่นยอบกายให้นางก็จับมือของนางเอาไว้ก่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ายังไม่หายดี อย่าฝืนตนเองไปเลย ถ้าป่วยขึ้นมาอีกล่ะก็ เกรงว่าอาการจะทรุดหนักกว่าเดิม แล้วจะรักษายากเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงระเรื่อ พึมพำกล่าวขอบคุณนาง
เด็กคนนี้ โชคดีที่เป็นเด็กสาวที่เงอะๆ งะๆ ผู้หนึ่ง หากเป็นเด็กสาวที่เจ้ามารยาพราวเสน่ห์คนหนึ่งล่ะก็ เกรงว่าเฉิงสวี่ เฉิงเก้าและคุณชายคนอื่นๆ ล้วนหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของนางเป็นแน่
ครั้นความคิดนี้แล่นผ่านในหัว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ลอบทอดถอนใจอีกครั้ง
หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าสี่ย่อมไม่รู้สึกพิเศษกับนาง ตั้งแต่เล็กเจ้าสี่ก็เฉลียวฉลาดกว่าทุกคน ไม่ชอบให้ใครไปล่วงล้ำเขาเป็นที่สุด หากว่าเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าเขา บางทีเขายังจะไว้หน้าเจ้าบ้าง แต่ถ้าหากเจ้าทำเป็นอวดรู้อวดเก่งต่อหน้าเขา เขาอาจจะมองเจ้าเป็นธาตุอากาศ หรือไม่ก็เหยียบย่ำเจ้าให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเพื่อสั่งสอนเจ้าคำรบหนึ่ง ทำให้ต่อจากนี้ไปเมื่อเจ้าพบเจอเขาแล้วอยากจะเดินเลี่ยงอ้อมไปไกลๆ เสียก็เป็นได้
ชั่ววูบหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับปรารถนาให้โจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่เจ้ามารยาพราวเสน่ห์คนหนึ่งมากกว่า
ต่อให้เฉิงสวี่หรือเฉิงเก้าจะหนีไม่พ้นเงื้อมมือของนาง นั่นก็จะเป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น
แต่พอมาเป็นบุตรชายคนเล็กของตน นั่นจึงไม่เหมือนกันแล้ว
นางสะกดความรู้สึกของตัวเอง แล้วยิ้มพลางกำชับโจวเสาจิ่นในทำนองว่า ‘ต้องพักฟื้นร่างกายดีๆ’ ‘เจ้าไม่ต้องไปหาข้าแล้ว รอให้หายดีแล้วค่อยมาสวดพระธรรมเป็นเพื่อนข้าก็ยังไม่สาย’ ‘ประเดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่ ไม่ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยขนาดนี้หรอก ตอนนี้เจ้าทนฝืนร่างกายให้เหนื่อยไม่ได้’ จากนั้นก็บอกให้ฝานหลิวซื่อปรนนิบัติโจวเสาจิ่นไปพักผ่อน
ฝานหลิวซานขานรับว่า “เจ้าค่ะๆ”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังไม่ได้ไปขอบคุณท่านน้าฉือเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตื่นตัวขึ้นมาในทันที
ทว่าพอนางมองนัยน์ตาที่สุกใสดั่งน้ำและสีหน้าที่จริงใจไม่หวาดหวั่นของโจวเสาจิ่นแล้ว ก็อดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เด็กน้อยใสซื่อและไร้เดียงสา เรื่องบางเรื่อง ก็เป็นพวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านี้คิดมากเกินไปเอง
ความผิดปรกติของเจ้าสี่ เด็กน้อยอาจจะไม่รู้เลยก็เป็นได้
เหตุใดนางต้องไปทิ่มแทงกันอีก ทำให้เจ้าสี่โกรธแค้นนาง และทำให้เด็กน้อยคิดฟุ้งซ่านไปด้วยเล่า!
รอดูท่าทีว่าเจ้าสี่วางแผนอย่างไรก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่ามิใช่หรือ
แต่นางก็ไม่อาจยอมให้ทั้งสองคนพบกันอย่างที่ยากจะหลีกเลี่ยงคำครหาเหมือนแต่ก่อนได้อีก
“น้าฉือของเจ้าออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เขายุ่งทั้งวันจนไม่เห็นแม้แต่เงา เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เขาไม่ได้เป็นผู้ที่คิดเล็กคิดน้อยกับทุกเรื่องประเภทนั้น เพียงทราบว่าเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว เขาย่อมดีใจมากเป็นแน่ ถ้อยคำขอบคุณเหล่านั้นก็ไม่เป็นไรหรอก วันไหนได้พบเขาแล้วค่อยกล่าวขอบคุณสักครั้งก็มีค่าเท่ากัน”
โจวเสาจิ่นอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
แต่เมื่อนึกถึงเฉิงฉือที่ต้องงานยุ่งทั้งวันในช่วงนี้ นางก็หายเศร้าอย่างรวดเร็ว คลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะให้ฝานมามาส่งของกินเล่นไปให้ท่านน้าฉือก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ตื่นขึ้นมาแล้วไม่บอกท่านน้าฉือสักคำอย่างนี้ ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก”
นี่ก็เป็นความรู้สึกปรกติของผู้คน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ แล้วลุกขึ้นขอตัวกลับไป
โจวเสาจิ่นไปที่เรือนหรูอี้
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนที่เรือนฝูชุ่ยรายงานมาว่า คุณหนูรองไปหาคุณหนูเจียเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เชื่อฟังกันเลยจริงๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าให้คนไปจับตาดูนางสักหน่อย อย่าให้ทะเลาะกับหลานเจียอีก นางเพิ่งจะหายป่วยได้ไม่นาน”
ปี้อวี้ขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกล่าวอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติกับคุณหนูรองเสมือนเป็นหลานสาวแท้ๆ คนหนึ่งเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
ส่วนทางด้านเฉิงฉือก็ได้รับรายงานเหมือนกันว่า “คุณหนูรองตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่าไปเยี่ยมคุณหนูรองมาแล้ว ทั้งยังส่งคนจับตาดูคุณหนูรองเอาไว้อีกด้วย หากทางด้านคุณหนูรองมีความเคลื่อนไหวอะไรก็จะแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบ จากนั้นคุณหนูรองก็ไปหาคุณหนูเจียเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว!” เฉิงฉือกล่าวเสียงเบา ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หินในศาลา แล้วทอดสายตามองดูทะเลสาบเหวิ่นเฉวียนที่อยู่ไม่ไกลนัก
วันนี้สือควนจะขึ้นเรือกลับเมืองหลวงจากที่นี่ เขามาที่นี่เพื่อส่งเขากลับไป
เขาไม่ได้เผยฐานะของตนให้สือควนรู้ สือควนเองก็ไม่ได้ถามถึงฐานะของเขา แต่เขาเชื่อว่าสือควนจะต้องรู้ว่าเขาเป็นใครอย่างแน่นอน นอกจากนี้เนื่องจากองค์ชายสี่ยังไม่ได้มีอำนาจอะไรนัก สือควนย่อมต้องคิดจนหัวระเบิดแล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าพวกเขาไป ‘บังเอิญเจอกัน’ ได้อย่างไร แล้วเหตุใดเขาถึงได้ยกย่องชื่นชม ‘ความสามารถ’ ของสือควนไม่หยุดเช่นนั้นเป็นแน่
หากวันใดที่ตระกูลเฉิงมีขุนนางที่สร้างคุณูปการให้แก่องค์ฮ่องเต้ นี่ล้วนเป็นผลงานของเสาจิ่นทั้งสิ้น!
หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปเยี่ยมเด็กน้อยผู้นั้น ไม่รู้ว่าร่างกายของเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
นางนอนติดเตียงมาหลายวัน เกรงว่าร่างกายคงจะฝืดกระด้างไปหมด ไม่ยอมพักผ่อนอยู่ในห้องแต่โดยดี ยังจะวิ่งไปหาเฉิงเจียอีกทำไม
ยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งจริงๆ
สองวันก่อนยังทะเลาะกับเฉิงเจียอยู่เลย มาวันนี้พอหายดีขึ้นแล้วก็ไปหานางอีกแล้ว
สมกับคำพูดที่กล่าวว่าพอแผลหายดีก็ลืมความเจ็บปวดไปหมดแล้วนั่นเสียจริงๆ!
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะแก้นิสัยเสียนี้ให้หายได้
แต่เห็นทีว่าระหว่างนางกับเฉิงเจียมิได้ผิดใจกันอะไรมากมาย
สำหรับเรื่องกักบริเวณนั้น…เขาบอกพี่ชายหลูสักหน่อย ก็ได้แล้ว…
เฉิงฉือขบคิดอยู่ในใจ เกี้ยวของสือควนค่อยๆ โผล่ขึ้นมาในแนวสายตาของเขา
เขาเก็บความคิดกลับไป แล้วยกยิ้มพร้อมกับเดินไปที่ศาลา
***
เฉิงเจียหันหลังให้โจวเสาจิ่น ไม่สนใจนาง
โจวเสาจิ่นยิ้มแหยอย่างขัดเขิน “พี่สาวเจีย เจ้าอย่าโกรธข้าเลย! ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองจะล้มป่วย แล้วท่านน้าฉือจะให้ท่านป้าใหญ่หลูกักบริเวณเจ้า…ข้ามิใช่ว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็มาหาเจ้าทันทีหรอกหรือ”
ทว่าในใจของนางกลับรู้สึกหวานหยดย้อยราวกับกินน้ำผึ้งมาก็ไม่ปาน
ไม่คาดคิดว่าท่านน้าฉือจะตักเตือนท่านป้าใหญ่หลูไปคำรบหนึ่งเพราะเรื่องที่นางป่วย
นางโตถึงเพียงนี้ นอกจากพี่สาวแล้ว ท่านน้าฉือเป็นคนที่สองที่ออกหน้าเพื่อนาง
นอกจากนี้ยังกวดขันถึงเพียงนี้…ในใจของท่านน้าฉือ ตนคงจะพิเศษอยู่บ้างกระมัง
แต่ว่าก็พูดยากเช่นกัน
เพราะนางยังเข้าใจเรื่องของท่านน้าฉือน้อยยิ่งนัก
ไม่แน่ว่าท่านน้าฉืออาจจะแค่แสดงความห่วงใยแบบที่ผู้ใหญ่มีให้เด็กเท่านั้นก็เป็นได้
จู่ๆ อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ดำดิ่งลงอีกครั้ง นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ พลางถอนหายใจเบาๆ
เฉิงเจียเห็นโจวเสาจิ่นดูเคร่งขรึมขึ้นมา จึงไม่กล้าชวนทะเลาะอีก
ตั้งแต่โจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาหลังจากที่พลัดตกลงน้ำ อุปนิสัยก็เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น จนบางครั้งนางถึงกับไม่กล้าเย้าแหย่อยู่บ้าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นเจ้าที่ทำให้วุ่นวาย!” จู่ๆ นางก็ลุกพรวดขึ้นมา พลางบ่นว่า “ข้าจะแต่งกับหลี่จิ้ง แล้วเจ้าร้องไห้เรื่องอะไร เจ้าร้องห่มร้องไห้จนป่วยแล้วไม่บอกกล่าวกันสักคำ ซ้ำยังทำให้ข้าต้องไปผิดสัญญากับหลี่จิ้งอีก…หากเจ้าไม่หาทางชดใช้ให้ข้า ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าตลอดชีวิต!” ขณะที่นางกล่าว ดวงตาก็รื้นชื้นขึ้นมา
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งตัวโหยง รีบกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉิงเจียปาดน้ำตาพลางตอบว่า “เดิมทีข้าตกลงกับหลี่จิ้งว่า วันที่เขากลับก่วงโจวข้าจะไปส่งเขาที่ทะเลสาบเหวิ่นเฉวียน ปรากฏว่าเจ้าป่วยไม่สบายขึ้นมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่ได้ไปส่งเขา แม้แต่จดหมายสักฉบับก็ไม่ได้ส่งไปให้หลี่จิ้ง ถ้าหากเขาเห็นว่าข้าไม่ได้ไป จะไม่รู้สึกเป็นห่วงจนแทบตายหรอกหรือ!” แล้วกล่าวพึมพำอีกว่า “ไม่รู้ว่าหลี่จิ้งจะเดินทางออกจากเมืองไปแล้วหรือยัง ได้ส่งคนมาตามสืบข่าวข้าบ้างหรือไม่” จากนั้นก็จ้องตาของโจวเสาจิ่นพลางกล่าวว่า “คนจากบ้านของพวกข้าเหล่านั้นต่างหลอกใช้ความใจกว้างของเขา หากว่าเขาอยากจะได้รับข่าวสารของข้า ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเงินจ่ายไปเท่าไร”
โจวเสาจิ่นตกตะลึงตาค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ข้า…ข้าจะหาทางช่วยไปสืบให้เจ้าดีหรือไม่”
เฉิงเจียไร้ความปรานี กล่าวขู่นางว่า “เจ้ากล้าไม่ช่วยสืบให้ข้าอย่างนั้นหรือ! หากเจ้าไม่ช่วยสืบให้ข้า ต่อไปข้าจะ…ต่อไปข้าจะไม่ไปเล่นที่เรือนฝูชุ่ยแล้ว”
นี่นับเป็นคำข่มขู่อะไรกัน
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
เฉิงเจียเห็นแล้วก็ตำหนิไปว่า “เจ้ายังจะหัวเราะอีก! เจ้าดูสารรูปของเจ้าสิ ผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกหมดแล้ว ระวังคนอื่นจะคิดว่าท่านอาฉือรังแกเจ้า”
“เจ้านี่พูดอะไรดีๆ ไม่เป็นเอาเสียเลย เหมือนปากสุนัขที่ไม่คายงาช้างออกมาจริงๆ!” โจวเสาจิ่นผลักเฉิงเจียอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่ใช่สุนัขสักหน่อย ย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้อยู่แล้ว! เฉิงเจียย้อนคำพลางผลักโจวเสาจิ่นคืน
ทั้งสองคนหัวเราะลั่นขึ้นมา
เนื่องจากโจวเสาจิ่นเพิ่งจะหายป่วย เพียงครู่เดียวก็หอบหายใจพลางรู้สึกวิงเวียนเหมือนท้องฟ้าหมุนคว้างเสียแล้ว
นางล้มลงบนเตียงของเฉิงเจีย แล้วหลับตาลงพักผ่อนสายตา ทว่าปากกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “พี่สาวเจีย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลี่จิ้งชอบเจ้า หากว่ามีคนมาชอบข้า แล้วเขาไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน ข้าต้องดูไม่ออกเป็นแน่”
ชาติก่อน หากเฉิงลู่ไม่ได้บอกว่าปรารถนาจะแต่งงานกับนางอย่างชัดเจน นางคงไม่กล้าคิดว่าเฉิงลู่ชอบนางจริงๆ
แต่ตอนนี้เมื่อมองดูแล้ว ต่อให้พูดออกมาอย่างชัดเจน ก็ไม่จำเป็นว่าจะชื่นชอบกันจริงๆ ก็ได้