ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 314 กังหันลม
โจวเสาจิ่นลูบใบพัดของกังหันลมเบาๆ ราวกับกำลังลูบดอกไม้อันงดงามในยามวสันต์
ปี้เถาเม้มปากกลั้นยิ้ม พลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ช่างเป็นผู้ที่ใส่ใจจริงๆ เจ้าค่ะ รู้ว่าคุณหนูรองอยู่แต่ในบ้านแล้วจะรู้สึกเบื่อหน่าย จึงให้คนส่งกังหันลมเหล่านี้มาให้เป็นการเฉพาะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า คิ้วของนางดูอ่อนโยนจนเหมือนจะหยดออกมาเป็นน้ำได้เลยทีเดียว นางบอกปี้เถาว่า “เสียบกังหันลมเหล่านี้ไว้ตามช่องหน้าต่างให้ที”
เช่นนี้นางก็จะได้ดูกังหันลมเหล่านี้จนผล็อยหลับไป
ปี้เถายิ้มน้อยๆ พลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วนำสาวใช้เด็กสองสามคนไปเสียบกังหันลมกันอย่างเบิกบาน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
เจ้าสี่ต้องการทำอะไรกันแน่
อยากจะบอกการตัดสินใจของเขาให้นางทราบ และแสดงเจตจำนงของเขาอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดื่มน้ำชาติดๆ กันหลายจิบ แล้วอารมณ์ถึงได้สงบลงมาเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวกับสาวใช้ที่อยู่ในห้องด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “นายท่านสี่ของพวกเจ้ามองเสาจิ่นเป็นเด็กน้อยไม่ประสาคนหนึ่ง พอเห็นนางป่วย ถึงกับซื้อกังหันลมกลับมาให้กองหนึ่ง”
ปี้อวี้เติมน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “คุณหนูรองอายุน้อยที่สุดในเรือนหานปี้ซาน ทั้งยังเป็นเด็กที่อ่อนโยนบอบบาง เห็นแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดู นายท่านสี่ย่อมต้องมองคุณหนูรองเหมือนเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งเช่นกันเจ้าค่ะ! นี่ก็ถือว่าคุณหนูรองกับนายท่านสี่มีวาสนาต้องกัน หากเป็นคุณหนูเซิงที่กินน้ำแข็งจนจะละลายกลายเป็นน้ำอยู่แล้ว อย่าพูดถึงการหลอกล่อเหมือนเด็กๆ เลย แม้แต่ให้ความเคารพเสมือนเป็นคุณหนูคนหนึ่ง เกรงว่านายท่านสี่ยังอาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกล่าว เจินจูและคนอื่นๆ ที่ช่วยพัดฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ข้างๆ ต่างก็หัวเราะขึ้นมา
เฉิงเซิงมีร่างกายที่แข็งแรง โตจนป่านนี้แทบจะไม่เคยเจ็บป่วยไม่สบายเลยสักครั้ง มีครั้งหนึ่งที่ฝนตกหนัก และน้ำไหลหลาก น้ำในเรือนหานปี้ซานท่วมสูงถึงหนึ่งฉื่อ นางจึงสั่งให้สื่อมามาไปจับเป็ดมาปล่อยให้แหวกว่ายอยู่ในเรือน พอเป็ดตัวนั้นว่ายน้ำไม่เร็วทันใจ ยังถลกปลอกขาขึ้นมาแล้วลงน้ำไปวิ่งไล่เป็ดด้วยตัวเอง บังเอิญถูกเฉิงฉือเห็นเข้าพอดี เขารีบให้คนลากนางขึ้นมา ทั้งยังกลัวว่านางจะต้องลมเย็นจนเป็นไข้ จึงไปเชิญท่านหมอมาตรวจร่างกาย และต้มน้ำขิงให้นางดื่ม ใครจะรู้ว่าเฉิงเซิงไม่ยอมกินยา ซ้ำยังกรอกน้ำขิงนั้นลงในปากของสาวใช้คนสนิท ส่วนตนเองกลับไม่แม้แต่จะกระแอมไอเลยสักครั้ง…จากนั้นเป็นต้นมาต่อให้เฉิงเซิงจะแกะกระเบื้องบนหลังคา เฉิงฉือก็ไม่สนใจนางอีกแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หัวเราะขึ้นมาด้วย
ทว่าในใจกลับรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
เด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็มักจะขี้สงสารคนที่ตัวเล็ก อ่อนแอ และว่านอนสอนง่ายประเภทนั้น ลักษณะของเสาจิ่นจึงเป็นที่ถูกใจของเขา
จึงไม่แปลกไม่ว่าเรื่องอะไรเขาล้วนเก็บเด็กน้อยผู้นั้นมาใส่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดทอดถอนใจไม่ได้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่กล้าออกไปเดินเล่นข้างนอกอีกแล้ว นางเรียกภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา หลังจากฝากฝังเรื่องส่งจดหมายให้หลี่จิ้งแก่ภรรยาของหม่าฟู่ซ่านเรียบร้อยแล้ว ก็กินยาพักผ่อนอยู่ในบ้านอย่างเชื่อฟัง จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเยี่ยมนางในตอนเย็น เมื่อถูกจับได้แล้ว นางจึงยิ่งต้องพักฟื้นร่างกายอยู่ในห้องแต่โดยดี
เพียงแต่ไม่ได้เห็นเฉิงฉือ นางจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
แต่เสียใจแล้วจะทำอย่างไรได้
นางจะไปถามท่านน้าฉือว่าไฉนถึงไม่มาเยี่ยมนางได้ด้วยหรือ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านน้าฉืองานยุ่งมากในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ เพียงแค่นางมีความคิดที่ไม่เหมาะสมต่อท่านน้าฉือ หากถูกท่านน้าฉือสังเกตเห็นขึ้นมา ก็เพียงพอที่จะทำให้นางอับอายจนตายแล้ว
นางนอนอยู่บนเตียง อารมณ์ห่อเหี่ยวลงมาเล็กน้อย
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นกังหันลมที่กำลังหมุนอยู่เหล่านั้น ก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นอีกครั้ง รู้สึกชื่นบานคล้ายกับอารมณ์ขณะที่เดินทอดน่องกลางยามวสันต์ก็ไม่ปาน
เพียงแต่อารมณ์นี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก
วันที่ได้รับกังหันลม นางส่งชุนหว่านไปขอบคุณเฉิงฉือ ชุนหว่านกลับมาแจ้งว่า เฉิงฉือเพียงตอบนางมาเบาๆ ว่า “เข้าใจแล้ว” ประโยคเดียว จากนั้นเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
ท่านน้าฉือบังเอิญซื้อมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่ากลัวนางจะรู้สึกเหงาเลยตั้งใจซื้อมาให้นางเพื่อดึงดูดความสนใจกันนะ
โจวเสาจิ่นเดาไม่ถูกเลยทีเดียว
นางนึกถึงบรรดาปิ่นลูกปัดแก้ว เครื่องประดับผมที่ทำจากไข่มุกทะเลใต้ และเครื่องประดับอื่นๆ ที่ทำจากปะการังสีแดงเหล่านั้นที่เฉิงฉือมอบให้นาง…แล้วรู้สึกว่าเฉิงฉือปฏิบัติกับตนเองแตกต่างออกไปบ้างไม่มากก็น้อย
โจวเสาจิ่นนอนขดตัวอยู่บนเตียง ประเดี๋ยวก็รู้สึกดีใจประเดี๋ยวก็รู้สึกโศกเศร้า วันเวลาล่วงผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หากมิใช่เพราะได้ยินสาวใช้เด็กพูดคุยกันนอกหน้าต่างโดยบังเอิญว่าตอนที่ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงแต่งงานนั้นสินเจ้าสาวเกี้ยวแรกของคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวหามไปถึงจวนเหลียงกั๋วกงเรียบร้อยแล้ว แต่สินเจ้าสาวเกี้ยวสุดท้ายยังไม่ได้ยกออกมาจากตระกูลหลิวเลย สินเจ้าสาวของคุณหนูใหญ่หลิวคงมีค่ามากกว่าหนึ่งหมื่นเหลี่ยงเป็นอย่างน้อยนั้นล่ะก็ เกรงว่านางยังคงจะหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองจนสลัดให้หลุดออกมาไม่ได้เป็นแน่
“ชุนหว่าน” นางพยายามลุกขึ้นมานั่ง พลางกล่าวว่า “วันที่สิบห้าเดือนห้าผ่านไปแล้วหรือ”
ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงกับจวนเหลียงกั๋วกงนั้นไม่เลวนัก ตอนที่จูเผิงจวี่แต่งงาน ตามหลักแล้วตระกูลเฉิงควรจะไปร่วมงานกันทั้งตระกูล แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายหญิงผู้เฒ่าคนอื่นๆ จะเป็นหม้าย ไม่อาจไปร่วมงานแต่งได้ แต่ตระกูลจูไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะส่งเทียบเชิญมาให้ถึงจะถูก เหตุใดนางถึงไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อยเลยเล่า
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้มาเยี่ยมนางเลยสักครั้งเหมือนกัน!
ดวงใจของนางราวกับถูกเข็มทิ่มแทงอยู่ก็ไม่ปาน
ทว่าชุนหว่านกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านยังจะกล้าถามอีกหรือเจ้าคะ! วันนั้นตอนที่จวนเหลียงกั๋วกงส่งเทียบเชิญมาให้ คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงยังกำชับมามาที่มาส่งเทียบเชิญแทนนางให้มาคารวะท่านเป็นพิเศษด้วย แต่ปรากฏว่าท่านนอนหลับสนิท ปลุกอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่น ยังดีที่ฝานมามามีไหวพริบดี กล่าวขอโทษมามาท่านนั้น และเล่าเรื่องที่ท่านป่วยเป็นไข้ให้นางฟัง แล้วควักเงินส่วนตัวมอบให้มามาผู้นั้นไป หาไม่แล้วก็อาจจะกลายเป็นที่น่าขบขันไปเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเถือกราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น
ชุนหว่านยกรังนกเข้ามา ยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรอง นี่เป็นรังนกที่นายท่านสี่ให้ซางมามาส่งมาให้ท่านเจ้าค่ะ ฝานมามาพาเสี่ยวถานและคนอื่นๆ ไปล้างนานครึ่งค่อนวันจึงจะล้างจนสะอาดหมดจด ท่านรีบดื่มตอนร้อนๆ เถิด! ถ้าเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ!”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน เอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดจู่ๆ ท่านน้าฉือถึงได้ส่งรังนกมาให้เล่า”
ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ็บคอเล็กน้อย รังนกคุณภาพดีในบ้านล้วนถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งไปที่จิงเฉิงเมื่อหลายวันก่อนเพื่อมอบเป็นสินเจ้าสาวให้คุณหนูเซิงหมดแล้ว ดังนั้นนายท่านสี่จึงให้คนไปซื้อกลับมาอีกเป็นการเฉพาะ ซื้อมาทั้งหมดห้าจิน มอบให้ท่านสองจิน และฮูหยินผู้เฒ่ากัวสามจิน ฝานมามาเห็นว่าช่วงนี้สภาพจิตใจของท่านไม่สู้ดีนัก จึงต้มรังนกเอาไว้ส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นประหนึ่งถูกน้ำเย็นถังหนึ่งสาดใส่ก็ไม่ปาน
ท่านน้าฉือชอบนาง แต่ก็ไม่เหมือนหลี่จิ้ง
เมื่อเฉิงเจียผิดสัญญากับหลี่จิ้ง หลี่จิ้งที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งกลัวว่าเฉิงเจียจะส่งคนไปตามหาเขา และกลัวว่านางจะแอบออกมาจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาไม่เพียงส่งคนไปเฝ้าดูจากโรงเตี๊ยม ยังลอบจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเช่าชั้นสองของร้านขายของชำที่ตั้งอยู่ที่หน้าปากซอยจิ่วหรู พักอยู่ที่นั่นอีกสามสี่วันด้วย…
โจวเสาจิ่นพยายามกะพริบตาเพื่อซ่อนรอยเปียกชื้นที่ขอบตา พลางบอกให้ชุนหว่านตักน้ำเย็นมาให้นางล้างหน้า “…ไม่อาจทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ได้อีกแล้ว!”
เป็นนางเองที่บังเกิดจิตใจสกปรกโสมมจึงทำให้ความปรารถนาดีที่ท่านน้าฉือมีให้นางเปลี่ยนเป็นเรื่องโสโครกไปเสีย ในโลกนี้ยังมีเรื่องต่ำช้าไร้ยางอายกว่านี้อีกหรือ
หากว่านางยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป เช่นนั้นนางยังเป็นคนอยู่หรือไม่
ยังคู่ควรที่จะอาศัยอยู่ในเรือนหานปี้ซานต่อไปอีกหรือ
โจวเสาจิ่นจุ่มหน้าลงในน้ำเย็น
ชุนหว่านตกใจจนดวงหน้าเผือดสี “คุณหนูรองๆ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“ข้าไม่เป็นไร!” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำคล้ายกับมีน้ำเข้าตา กล่าวขึ้นอีกว่า “อากาศร้อนเกินไป ทำเช่นนี้แล้วรู้สึกเย็นสบายดี!”
ชุนหว่านตบอกไม่หยุด กล่าวอย่างไม่หายตกใจว่า “ท่านทำข้าตกใจแทบตายเจ้าค่ะ! ข้ายังคิดว่าท่านมือไม้อ่อนแรงเสียอีก…”
นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้โจวเสาจิ่นซับหน้า
ทว่าน้ำกลับหยดไหลลงมาเป็นสายบนเสื้อของโจวเสาจิ่น ทิ้งรอยเปียกเป็นรอยเล็กบ้างใหญ่บ้างเอาไว้
ชุนหว่านรีบเรียกสาวใช้เด็กไปหยิบผ้าเช็ดหน้าแห้งมาเพิ่ม
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ! ไม่สู้เจ้าให้พวกนางตักน้ำเข้ามาปรนนิบัติข้าอาบน้ำเสียยังจะดีกว่า หลายวันมานี้ข้าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับไปไหน รู้สึกเหนียวเหนอะไปทั้งตัว…อาบน้ำให้สะอาดแล้ว ก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าดีกว่า!”
ชำระล้างความคิดโสมมในใจเหล่านั้นให้สะอาดเสีย
จากนี้ต่อไป นางจะเป็นหลานสาวที่ว่านอนสอนง่ายคนนั้นของท่านน้าฉือ
จะเชื่อฟังท่านน้าฉือและอยู่เป็นเพื่อนท่านน้าฉืออย่างเป็นเด็กดี
หยาดน้ำบนศีรษะดูเหมือนจะหยดลงมาเข้าตาของนาง ทำให้รู้สึกแสบตา จนน้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
ชุนหว่านเห็นนางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา ย่อมรู้สึกยินดียิ่งนักเป็นธรรมดา หยิบผ้าเช็ดหน้าให้โจวเสาจิ่นซับหน้าไปด้วย พร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า “ต่อไปห้ามคุณหนูรองทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ นี่ยังเป็นเพียงน้ำเข้าตา หากว่าเข้าหูหรือสำลักขึ้นมา นั่นคงยุ่งยากเสียแล้ว ตอนที่ข้าเป็นเด็ก หญิงสาวที่หมู่บ้านของพวกข้าก็ไม่ได้ระวังเช่นนี้…”
“พอแล้วๆ!” โจวเสาจิ่นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดดวงตา กล่าวด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “ทำไมเจ้าถึงขี้บ่นเช่นนี้เล่า ถ้าเจ้าบ่นเช่นนี้อีกล่ะก็ ระวังข้าจะจับเจ้าแต่งงานออกไป!”
ชุนหว่านหน้าแดงเถือก เขินอายจนไม่กล้าพูดอะไรอีก ทว่าเสี่ยวถานและคนอื่นๆ ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ กลับปิดปากกลั้นหัวเราะไม่หยุด
โจวเสาจิ่นอาบน้ำ เช็ดผมจนแห้ง และเกล้าผมขึ้นเป็นมวยเรียบร้อยแล้ว ก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อสีขาวพระจันทร์ดิ้นเงินตัวหนึ่ง สวมคู่กับกระโปรงจีบสีเดียวกัน คลุมทับไว้ด้วยเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอสีแดงเงิน และสวมกำไลติดขนนกกระเต็นที่บิดาส่งมาให้ แล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังรู้สึกเบื่อ จึงเล่นไพ่ใบไม้กับปี้อวี้และคนอื่นๆ
พอเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา เจินจูรีบลุกขึ้นมา ให้นางนั่งที่ของตนแทน
โจวเสาจิ่นจะทำตัวเป็นแขกที่แย่งตำแหน่งของเจ้าบ้านได้อย่างไร นางยิ้มพลางกดเจินจูให้นั่งลงไป แล้ววิ่งไปนั่งข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวอย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า “ข้าจะช่วยดูไพ่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า มองดูดวงหน้าน้อยๆ ของโจวเสาจิ่นที่ขาวเนียนละเอียดดุจไข่ไก่ที่เพิ่งออกใหม่ แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขอลุแก่โทษว่า “ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงเสียแล้ว”
“ดีขึ้นแล้วก็ดีๆ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ แล้วก้มหน้าก้มตาเล่นไพ่ต่อ
โจวเสาจิ่นเหลือบมองดูครั้งหนึ่ง เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวลงไพ่อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังคำนวณได้ว่าจะทิ้งไพ่ใบไหน ในมือของตนมีไพ่อะไรบ้าง หรือในกองยังเหลือไพ่อะไรบ้าง ความคิดโลดแล่นเป็นอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาช่วยดูไพ่อยู่ข้างๆ เลย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รู้สึกขัดเขิน นางจึงเริ่มยกน้ำชาและของว่างมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแทน
แต่ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเพ่งความสนใจไปที่ไพ่ทั้งหมด ไม่ได้สนใจน้ำชาและของว่างของตนเองแต่อย่างใด
โจวเสาจิ่นสัมผัสได้ถึงไอเย็นชาสายหนึ่ง
แต่ทำไมฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงทำตัวเย็นชากับนางเล่า
โจวเสาจิ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
เฉิงฉือเข้ามาหา
เขามาเพื่อกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…พรุ่งนี้ข้าต้องเร่งเดินทางไปไหวอัน จะกลับมาในอีกสิบวันข้างหน้าขอรับ”
แต่ไรมาเขาก็มักจะออกเดินทางอยู่ข้างนอกเสมอ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย้ำกำชับถึงเรื่องที่เขาควรจะระวังตัวตอนเดินทางด้วยความคุ้นเคยเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าหางตากลับชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่ง
โจวเสาจิ่นก้มหน้าหลุบตาลงนั่งอยู่ที่นั่น อดกลั้นเอาไว้เป็นอย่างมากถึงได้ห้ามใจไม่ให้จ้องเฉิงฉือได้ นางกลัวว่าครั้นตนเหลือบมองเขาแล้วก็จะเก็บสายตาคืนกลับมาไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ยังดีที่ทางด้านเสาจิ่นไม่ได้ดูมีพิรุธแต่อย่างใด
หากว่าเสาจิ่นก็คิดกับเจ้าสี่แบบเดียวกัน เช่นนั้นคงยุ่งยากจริงๆ เสียแล้ว
ตอนที่ความคิดนี้วาบผ่านในหัวของนาง เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ามีสิ่งใดที่อยากจะให้ข้านำไปด้วยหรือไม่ ข้าอาจจะเดินทางผ่านเจิ้นเจียง!”
“จริงหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างลิงโลดยินดี ดวงตาเมล็ดซิ่งอันสุกใสดั่งคลื่นน้ำระยิบระยับที่กำลังมองเขาคู่นั้น ดูราวกับน้ำพุในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านน้าฉือช่วยข้านำจดหมายไปให้พี่สาวของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ!”
“ย่อมได้!” เฉิงฉือยิ้มพลางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าในใจกลับเต้นอย่างลิงโลดถึงสองครั้ง
เด็กน้อยเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งจริงๆ ต้องเลี้ยงดูฟูมฟักไว้อย่างดี
ความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพราะนางได้พักผ่อนอยู่ในบ้านอย่างเต็มที่มาหลายวัน จึงดูสดใสมากยิ่งขึ้น
………………………………………………………………….