ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 329 โล่งใจ
โจวเสาจิ่นอดรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้
ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นอะไร กอดไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วกล่าวทักทายคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวก่อนสองสามประโยค จากนั้นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคุณหนูของตระกูลกู้ว่า “ฮูหยินและสะใภ้ทั้งหลายที่จวนเป็นอย่างไรกันบ้าง ได้ยินว่านายท่านผู้เฒ่าหลายคนที่บ้านต่างอยู่ที่กระท่อมข้างสุสานของตระกูล แล้วกิจการงานต่างๆ ในบ้านผู้ใดเป็นคนดูแล การสอบช่วงสารทฤดูของปีนี้มีคนเข้าร่วมหรือไม่”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้อายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องที่มาวันนี้ กล่าวตอบยิ้มๆ ว่า “ขอองค์พระโพธิสัตว์อำนวยพร ทุกคนที่บ้านล้วนสบายดีเจ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่าทั้งหลายไม่อยู่บ้าน กิจการงานต่างๆ ในบ้านยังคงเป็นท่านอาสิบเก้าเป็นผู้จัดการดูแล ถึงแม้พวกข้าที่เป็นรุ่นเหลนเหล่านี้จะออกจากการไว้ทุกข์แล้ว แต่ผู้อาวุโสในบ้านยังคงไว้ทุกข์กันอยู่เจ้าค่ะ ช่วงเวลานี้บรรดาพี่ชายทั้งหลายเองก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจนัก ส่วนใหญ่คงไม่ได้เข้าร่วมการสอบของปีนี้แล้วเจ้าค่ะ”
นางพูดจาชัดเจน มีหลักการไม่รีบร้อน อีกทั้งยังอายุมากที่สุดในบรรดาคุณหนูของตระกูลกู้ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรู้ว่าผู้นี้คือกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ คนที่เฉิงจิงทาบทามให้ผู้นั้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลอบถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ครุ่นคิดว่าอคตินั้นทำร้ายคนหนักนัก ถ้าหากว่าเด็กสาวผู้นี้กลายมาเป็นบุตรสะใภ้ของตัวเองแล้ว คงไม่อาจเอาความโกรธมาลงกับเด็กสาวผู้นี้เพราะว่ารั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ได้ ต้องรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ต่างหากที่เป็นคนมาอยู่กับบุตรชายคนเล็กของตัวเองไปทั้งชีวิต ต่อให้โจวเสาจิ่นจะดีมากเพียงใด แต่ก็เป็นบุตรสาวของผู้อื่น เป็นบุตรสะใภ้ของผู้อื่นอยู่ดี…
นางปลอบโยนตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ถึงได้ข่มความหดหู่เอาไว้ในใจได้ และมองสำรวจกูที่สิบเจ็ดอย่างละเอียด
กูที่สิบเจ็ดสวมเสื้อแขนสั้นผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ ด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพู ด้านล่างเป็นกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์เช่นเดียวกับเสื้อ บริเวณคอติดกระดุมผ้าทรงผีผาเอาไว้ ทำผมเป็นมวยก้นหอยคู่หนึ่ง ปักไว้ด้วยปิ่นปักผมเงินฝังไข่มุก สวมตุ้มหูเงินดอกติงเซียงเล็กๆ คู่หนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นอีก ถึงแม้จะดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กระโปรงจีบนั้นสีซีดเหลืองและรอยจีบก็ยับย่นเล็กน้อย กระดุมผ้าทรงผีผาที่ล้าสมัยแล้วตรงคอเผยให้เห็นความข้นแค้นอยู่บ้าง ปิ่นปักผมเงินกับตุ้มหูเงินดอกติงเซียงเผยให้ความว่องไวปราดเปรียวของเด็กสาวออกมาให้เห็นหลายส่วน
ในส่วนของรูปร่างหน้าตา ช่างแตกต่างจากโจวเสาจิ่นไปไกลโขยิ่งนัก จึงไม่จำเป็นต้องเปรียบ
โชคดีที่มีแววตาสุกใส สีหน้าสงบ มีความมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง มิเสียแรงที่เป็นหญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่นอย่างตระกูลกู้
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเก็บสายตากลับมาเงียบๆ ในใจยังคงมีความเสียดายอยู่หลายส่วน ถอยกลับมาอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากวน คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าไปเล่นสนุกของพวกเจ้าเถิด อย่าให้เพราะมีคนแก่อย่างพวกข้าอยู่ด้วยแล้วทำให้พวกเจ้าต้องอึดอัด”
ทุกคนต่างพากันรบเร้าให้อยู่ต่ออย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ยังคงออกไปจากศาลาริมน้ำ
ทุกคนจึงพูดคุยเจื้อยแจ้วขึ้นมา
ทว่ากูที่สิบเจ็ดกลับมองส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ เดินออกไป กระทั่งเห็นพวกนางไปถึงศาลาที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาจำลองที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำแล้ว ก็ลากโจวเสาจิ่นไปข้างๆ และกระซิบถามอย่างอดไม่ได้ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ของจวนสี่มาได้อย่างไร ข้าเห็นสีหน้าของพวกนางดูไม่ค่อยถูกต้องนัก!”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ว่าคราวก่อนตอนที่ท่านยายมาหานั้นบอกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก มีเรื่องอยากคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัว ต่อมาก็ส่งคนไปที่ผูโข่ว ข้าสงสัยว่าเป็นเพราะเรื่องงานแต่งของพี่ชายเก้าไม่ค่อยราบรื่น”
อย่างนั้นหรือ
แต่สายตาที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองนางนั้นดูแปลกๆ เล็กน้อย
กูที่สิบเจ็ดหันมองไปทางศาลา
เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายหญิงผู้เฒ่ากวนนั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะหิน มีฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับสื่อมามาและสาวใช้อีกสองสามคนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เท่านั้น
เนื่องจากมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย เช่นนั้นคงมิใช่การพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันกระมัง
กูที่สิบเจ็ดรู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ กลับคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางศาลาริมน้ำอยู่ตลอด
ตอนที่มองเห็นเรือพายกูที่สิบเจ็ดขึ้นเรือเป็นคนสุดท้ายและลงจากเรือเป็นคนแรก ตอนกินข้าวนางเป็นคนที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุด คอยสั่งการให้สาวใช้ส่งผ้าเช็ดหน้าเอยน้ำล้างมือเอยมาให้ ตอนที่พวกพี่สาวน้องสาวเล่นสนุกกันนางก็คอยมองไปรอบๆ กลัวว่าจะมีใครบางคนหายตัวไป…คอยช่วยเหลือโจวเสาจิ่น แต่ก็ไม่ขโมยบทบาทของผู้เป็นเจ้าของงาน
นี่คือสะใภ้รองที่จวนสี่ของพวกเขาต้องการ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกระซิบกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ยังคงเป็นท่านแม่ที่มีสายตากว้างไกล…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองโจวเสาจิ่นที่ยิ้มแย้มดุจดอกไม้ น้ำเสียงดูผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “เรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ ล้วนต้องอาศัยความเหมาะสมและพอดี เมื่อพอดีกันแล้ว คนก็สบายใจ ทุกอย่างก็ราบรื่น หากไม่พอดีกัน ต่อให้เป็นทองหรือหยกชั้นดี ก็ทุกข์ใจอยู่ดี”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหันไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขอบคุณนายท่านใหญ่แทนข้าแล้ว” เนื่องด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ตอนนี้จึงเหลือเพียงดูดวงชะตาเพียงอย่างเดียว ทางนี้จึงได้แต่ต้องรอแล้ว นางกล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “รอให้วันใดที่มีเวลาว่างแล้ว ข้าจะให้อี้เกอเอ๋อร์ไปโขกศีรษะให้นายท่านใหญ่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าตัดสินใจแล้วหรือ นี่มิใช่เรื่องเด็กเล่นขายของ หากตัดสินใจแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ! ข้าเชื่อสายตาของจิงจื๋อเอ๋อร์ คู่ครองของชูจิ่นก็เป็นเขาที่ทาบทามให้ ชูจิ่นกับหลานเขยมีชีวิตคู่ที่ดียิ่งนัก” ตอนนี้คู่ครองของเฉิงอี้ก็เป็นเฉิงจิงที่ทาบทามให้ “จะว่าไปแล้วจวนสี่ของพวกข้าล้วนเป็นหนี้จิงจื๋อเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรล้วนนึกถึงพวกข้า วันใดที่เขากลับมา นายท่านใหญ่ของพวกข้าจะต้องจัดงานเลี้ยงรับรองจิงจื๋อเอ๋อร์สักครั้งถึงจะถูก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “เขาเป็นบุตรชายคนโตของจวนหลัก มีโอกาสที่เหมาะสมเช่นนี้ ย่อมต้องดูแลคนในตระกูลเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!” จากนั้นก็กล่าวถึงเรื่องของเฉิงหยวนผู้เป็นนายท่านรองของจวนสี่ขึ้นมาว่า “หลังผ่านพ้นปีใหม่ก็ใกล้จะถึงการประเมินของราชสำนักแล้วกระมัง เจ้าไปบอกหยวนจื๋อเอ๋อร์สักหน่อย ให้เขาพยายามให้ผลการประเมินอยู่ในระดับบน รอให้ถึงตอนประเมินของเสนาบดีทั้งเก้าแล้ว จะได้เปลี่ยนไปอยู่ที่ที่ดีขึ้นสักหน่อย”
นี่หมายความว่า ต่อไปเฉิงจิงอาจจะให้ความช่วยเหลือเฉิงหยวนอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าในใจกลับเป็นกังวลถึงอีกเรื่องหนึ่ง
นางไล่สาวใช้ออกไป กระซิบกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นนั้น…เกรงว่าคงได้แต่ต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว…”
“เจ้าวางใจเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “รอให้การสอบขุนนางช่วงเดือนเก้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าเตรียมจะไปอยู่ที่เมืองหลวงสักช่วงหนึ่ง ถึงเวลานั้นจะเลือกตระกูลดีๆ ให้เสาจิ่นสักตระกูลด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้วางใจลง
ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวคราวการเกี่ยวดองของตระกูลเฉิงและตระกูลกู้เผยแพร่ออกมา
เฉิงอี้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
มิใช่บอกว่าจะให้เสาจิ่นหมั้นหมายกับเขาหรอกหรือ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ถือได้ว่าพวกเขาเป็นดังเด็กชายเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หากต้องกลายมาเป็นสามีภรรยากันก็ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนี้เสาจิ่นยังมีหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนโกรธหรือโมโหล้วนดูเหมือนภาพวาดภาพหนึ่ง ดูแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง…ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนตัวคนอย่างกะทันหัน…เช่นนั้นจะให้เสาจิ่นไปหมั้นหมายกับผู้ใด
เป็นเพราะท่านอาเขยไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ
เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
เขาหาโอกาสตอนที่ไม่มีคนในช่วงบ่ายแอบไปที่เรือนหานปี้ซาน
แต่เรือนฝูชุ่ยไม่เหมือนกับเรือนหว่านเซียงที่เขาเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นจี๋อิ๋งภรรยาสาวผู้ชั่วร้ายคนนั้นก็อาศัยอยู่ที่เรือนหลีอินซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเรือนฝูชุ่ยอีกด้วย
เขาคิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก
เร่งเร้าให้ซื่อเอ๋อร์ไปเรียกโจวเสาจิ่น ส่วนตัวเองนั่งรอโจวเสาจิ่นอยู่ริมทะเลสาบข้างๆ เรือนหานปี้ซาน
โจวเสาจิ่นนั้นเมื่อได้ยินข่าวคราวการหมั้นหมายของเฉิงอี้กับกูที่สิบเจ็ดแล้วก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางนึกถึงตอนที่เฉิงฉือถามว่านางสนิทกับผู้ใดที่สุดในครานั้น…หรือว่าจะเกิดขึ้นจากคำพูดโดยไม่ตั้งใจของตัวเองประโยคนั้น?
โจวเสาจิ่นก็รู้สึกอีกว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว
ถึงแม้ท่านน้าฉือจะดีกับนาง แต่เรื่องแต่งงานที่เป็นการเกี่ยวดองเพื่อประโยชน์อันดีของทั้งสองตระกูลเช่นนี้จะตัดสินใจจากคำพูดประโยคเดียวของนางได้อย่างไร
นางอยากจะถือโอกาสนี้ไปพบเฉิงฉือ แต่ก็รู้สึกว่าหากตัวเองไปพบเฉิงฉือแล้วจะยิ่งคะนึงหาเขามากขึ้น ขณะที่กำลังเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องนั้น ก็ได้ยินว่าเฉิงอี้ต้องการพบนาง พลันรู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป เปลี่ยนอาภรณ์แล้วรีบออกไปที่ทะเลสาบ
หลายวันมานี้เฉิงฉือล้วนไม่อยู่บ้าน ทำเรื่องถอนหุ้นส่วนกับร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าของตระกูลหลี่อยู่ที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาหลัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการธุระจนเหลือไม่มากแล้ว นึกถึงว่าไม่ได้กินข้าวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาหลายวันแล้ว จึงเร่งกลับมาตอนเที่ยง ตั้งใจว่าหลังจากกินข้าวเสร็จแล้วจะนอนกลางวันสักตื่น ทว่ากลับได้ยินซางมามาที่ยกน้ำชาเข้ามาให้เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายรองอี้ยังคงเป็นเด็กผู้หนึ่งจริงๆ จะมาหาคุณหนูรองก็มาหาคุณหนูรองเองก็ได้ แต่กลับลากแม่นางซื่อเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเข้ามาเชิญตัวคุณหนูรองแทน ส่วนตัวเองกลับไปนั่งรออยู่ข้างทะเลสาบ…”
เฉิงฉือเหลือบมองซางมามาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน วันนี้อี้เกอเอ๋อร์หมั้นหมายแล้ว ย่อมต้องอยากรู้เรื่องของว่าที่เจ้าสาวเป็นธรรมดา มาหาคุณหนูรองเพื่อพูดคุยความในใจ ก็เป็นธรรมดาของคน นี่มีอะไรให้น่าประหลาดใจอย่างนั้นหรือ”
นี่เป็นความในใจของเขา
เขาหวังให้เสาจิ่นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหมือนกับดอกไม้ป่าที่เติบโตอย่างอิสรเสรี มิใช่เลี้ยงนางเอาไว้ในกรง ที่เวลาจะกินอาหารหรือเวลาจะส่งเสียงร้องก็ต้องให้เขาพยักหน้าอนุญาตก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเฉิงอี้มาหานาง เกรงว่าคงต้องคุยกันครู่หนึ่ง เขาที่เร่งเดินทางกลับมาจากร้านในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ จึงควรใช้โอกาสนี้ไปอาบน้ำก่อน รอตอนที่เขาไปถึงที่เรือนของมารดาแล้ว คาดว่านางก็น่าจะคุยเสร็จพอดี
เฉิงฉือสั่งให้ซางมามาไปเรียกให้คนตักน้ำเข้ามา
สายตาที่เหลือบมองมาเมื่อครู่ของเฉิงฉือทำให้ซางมามาสั่นสะท้านอยู่ในใจไม่หยุด จึงปรนนิบัติเขาอย่างระมัดระวัง ทว่ากลับอดประหลาดใจอยู่ในใจไม่ได้
ถ้าหากนายท่านสี่ต้องการให้เฉิงอี้กลับไป เพียงหาข้ออ้างสั่งให้จี๋อิ๋งไปเรียกคุณหนูรองกลับมา เฉิงอี้ก็น่าจะตกใจจนวิ่งหนีไปแทบไม่ทันอยู่แล้ว
หรือว่าตัวเองจะคาดการณ์ผิดไป?
ไม่อย่างนั้นนายท่านสี่ให้นางจับตามองคุณหนูรองเพื่ออะไร
นางไม่อยากแสดงออกพลาดไป
หลังจากออกมาจากห้องหนังสือแล้ว นางจึงไปหาไหวซาน “…เจ้าว่านายท่านสี่หมายถึงอะไร”
ไหวซานเองก็ไม่รู้
แต่เขารู้ดีว่าหากเฉิงฉือไม่พูดก็คือไม่พูด แต่ถ้าพูดออกมาแล้วทุกประโยคล้วนมีความหมายแฝงอยู่
“แล้วนายท่านสี่ได้บอกให้เจ้าไม่ต้องจับตาดูคุณหนูรองแล้วหรือไม่” เขากระซิบถามเสียงเบา
ซางมามารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาในทันใด
ไม่มีความจำเป็นต้องหวาดกลัวคู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้อย่างราบคาบอยู่ในกำมืออยู่แล้ว!
ไม่สิ เฉิงอี้มิใช่แม้แต่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ
เขามิใช่คนระดับเดียวกับนายท่านสี่ หากนายท่านสี่ต้องเก็บคนเช่นเขามาใส่ใจ มิเท่ากับว่าเป็นการลดระดับตัวเองหรอกหรือ
ซางมามาจึงสงบใจลงมา
ทางด้านของเฉิงอี้เมื่อได้เจอโจวเสาจิ่นที่ดูอ่อนหวานและงดงามแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หันไปโยนหินใส่ทะเลสาบเล่นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตึกครั้งหนึ่ง ชิงเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มก่อนว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะพี่ชายอี้! กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้กับข้าสนิทสนมกันดี นางเป็นคนดีมาก พวกท่านจะต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของเฉิงอี้แดงมากยิ่งขึ้น พึมพำกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวรอง เช่นนั้นเรื่องแต่งงานของเจ้า…กำหนดลงมาหรือยัง”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงฉือ
แววตาที่สุกใสนั้นพลันหมองหม่นลงมา ก้มหน้าลงพลางกล่าวขึ้นว่า “ยะ…ยังเจ้าค่ะ!”
เฉิงอี้รู้สึกผ่อนคลายลงมาทั้งร่าง
เขาไม่เคยรู้สึกแจ่มใสและสบายใจเหมือนเวลานี้มาก่อน
ถ้าหากท่านย่าเอ่ยเรื่องงานแต่งกับท่านอาเขย แล้วท่านอาเขยไม่พึงใจตนแต่ก็ไม่อยากทำให้ตระกูลเฉิงขุ่นเคือง คงได้แต่ต้องใช้ข้ออ้างว่าน้องสาวรองได้หมั้นหมายปากเปล่ากับผู้อื่นไปแล้ว จากนั้นก็คงหาคนมาหมั้นหมายกับน้องสาวรองอย่างรวดเร็ว หรือต่อให้ไม่ได้หมั้นหมายกัน ก็ต้องกำชับน้องสาวรองมาสักประโยค
แต่นี่ยังไม่มี เช่นนั้นก็แสดงว่าท่านอาเขยไม่ได้ไม่พึงใจตน แต่เพราะผู้ใหญ่เห็นว่ากูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เหมาะสมกับตัวเองมากกว่านั่นเอง!
………………………………………………………………….