ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 336 สารภาพ
เฉิงสวี่ขวางโจวเสาจิ่นเอาไว้ รีบกล่าวขึ้นว่า “อย่า…เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้เลย!”
โจวเสาจิ่นทำหน้าเย็นชา กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายสวี่เป็นคนมียศมีตำแหน่งแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าพิธีสวมกวาน[1] ทว่าก็มีชื่อเรียกอย่างสุภาพเป็นของตัวเอง ระมัดระวังรอบคอบ ผู้อาวุโสในบ้านล้วนให้ความเคารพ ข้าเองก็เคารพพี่ชายสวี่ในฐานสุภาพบุรุษผู้มีเกียรติ อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกัน เวลาพบหน้าถึงได้ทำความเคารพ แต่พี่ชายสวี่กลับมองข้าเป็นดั่งสตรีต่ำต้อย มาขวางทางข้าบนถนนตามอำเภอใจ ข้าไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้พี่ชายสวี่เข้าใจผิด แล้วก็ไม่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเองด้วย หวังเพียงว่าต่อไปพี่ชายสวี่จะไม่ขวางทางข้าอีก มีเรื่องอะไร ก็ให้พูดต่อหน้าผู้ใหญ่ ข้าเป็นคนที่อายุน้อยกว่าผู้นั้น ย่อมต้องทำทุกอย่างอย่างสุดกำลังที่มี”
นางกล่าวเตือนสติ ทำให้เฉิงสวี่หน้าแดงก่ำ รู้สึกละอายที่จะเอ่ยคำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากนั้นออกมา
นี่เป็นสิ่งที่โจวเสาจิ่นต้องการ
นางยอบกายทำความเคารพ ส่งสัญญาณให้ชุนหว่าน ทั้งสองคนเดินตามกันไปด้านหน้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่งออกจากสถานที่สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาและข่าวลือนี้ไป
เฉิงสวี่มีอาการร้อนรน!
ถึงแม้จะกล่าวว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ทว่ายากนักที่เฉิงสวี่จะได้เจอโจวเสาจิ่น อีกทั้งตอนนี้ท่านอาสี่ก็ทราบแล้วว่าเขาพึงใจโจวเสาจิ่น จะต้องไม่ยอมให้เขาเข้าออกเรือนหานปี้ซานตามอำเภอใจมากยิ่งขึ้นเป็นแน่
“เจ้ารอก่อนๆ!” เขาไล่ตามไป กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนและไม่สนใจอะไรว่า “เสาจิ่น ข้าชอบเจ้า ข้าอยากสู่ขอเจ้ามาเป็นภรรยา!”
แม้แต่ในความฝันโจวเสาจิ่นก็ไม่คาดคิดว่าเฉิงสวี่จะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาต่อหน้าตน นอกจากนี้ยังพูดต่อหน้าชุนหว่าน ฮวนสี่และคนอื่นๆ อีกด้วย
ชั่วขณะนั้นนางอับอายจนอยากจะขุดหลุมมุดหน้าลงไปยิ่งนัก
แต่หลังจากที่เฉิงสวี่ได้พูดสิ่งที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งนั้นออกไปแล้ว ก็ราวกับได้ปลดเอาหินก้อนใหญ่ที่แบกเอาไว้ลงมาเสียที รู้สึกเบาสบายไปทั้งร่าง คำพูดคำจาก็ค่อยๆ ลื่นไหลและเป็นระบบระเบียบขึ้น “เสาจิ่น ข้าไม่ได้เพ้อเจ้อหรือเลอะเลือน ข้าทำข้อตกลงกับท่านแม่ของข้าเอาไว้ หากข้าสอบได้เจี้ยหยวน นางตกลงจะช่วยไปสู่ขอเจ้าให้ข้า…ที่ผ่านมาข้าไม่เคยทุ่มเทอ่านตำราอย่างหนักเหมือนการสอบครั้งนี้มาก่อน นอกจากนี้ท่านพ่อของข้ายังหาทางไปเอาความเรียงและงานเขียนต่างๆ ของหัวหน้าผู้คุมสอบหลายท่านมาให้อีกด้วย…ระหว่างนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปหมั้นหมายกับผู้ใด รอข้าสักสองสามวันก่อน หากข้าทำไม่ได้ จะไม่มารบกวนน้องสาวอีก แต่ถ้าหากข้าโชคดีสอบผ่าน…หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องสาวจะให้โอกาสข้าสักครั้ง…”
โจวเสาจิ่นโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ค่อนแคะอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ว่า นี่ขนาดเจ้ายังไม่ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน ก็กล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้แล้ว หากเจ้าได้ตำแหน่งเจียหยวนแล้ว หยวนซื่อไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายในครั้งนี้ เนื่องจากตระกูลเฉิงและตระกูลหมิ่นทั้งสองตระกูลได้คุยเรื่องหมั้นหมายกันแล้ว ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังจะยืนกรานต่อไป โดยไม่สนความเป็นความตายของนางเลยอย่างนั้นหรือ
นางหมุนตัวกลับไป เดิมทีตั้งใจจะพูดประโยคหนึ่งว่า “เรื่องแต่งงานของบุตรชายบุตรสาวนั้น มีบิดามารดาของตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจให้” แต่เมื่อเห็นสายตาระยิบระยับของเขาที่จับจ้องมองตนนั้นแล้ว ก็พลันเปลี่ยนความคิดในทันใด
สีหน้าของเฉิงสวี่ดูมั่นใจมาก ราวกับว่าขอเพียงเขาพูดออกมา ตนก็จะยอมแต่งกับเขาอย่างแน่นอนก็ไม่ปาน
ชาติก่อน เป็นเพราะเขาก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นตอนที่เขากำลังกระทำย่ำยีนางนั้นถึงได้เอาแต่ตะโกนเรียกชื่อนางและบอกว่าจะแต่งงานกับนางไม่หยุด?
ประหนึ่งเปลวไฟปะทะกับสายลม ส่งเสียงดังพรึ่บมอดไหม้อยู่ในใจของนาง
นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เฉิงเจียซ่าน ท่านคิดว่าเพียงแค่สตรีผู้หนึ่งได้ยินว่าท่านอยากจะสู่ขอนาง นางก็จะอยากแต่งกับท่านอย่างยินดีเป็นล้นพ้นแล้วอย่างนั้นหรือ ในเมื่อท่านไม่ต้องการศักดิ์ศรี ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะต้องอับอายเหมือนกัน พวกเราถือเอาโอกาสนี้มาคุยกันให้ชัดเจนไปเลยก็แล้วกัน ข้าไม่ชอบท่าน! และข้าก็ไม่คิดจะแต่งให้ท่านด้วย! ต่อจากนี้ไปรบกวนท่านอย่ามาพูดถ้อยคำเช่นนี้กับข้าอีก ในสายตาของผู้อื่น ถึงแม้ข้าอาจจะไม่ได้มีค่าสูงส่งเท่าพวกพี่สาวเจิง แต่ข้าก็มีบิดามารดาและพี่สาวที่รักข้าเป็นอย่างยิ่ง และข้าก็เป็นดังอัญมณีอันล้ำค่าในอุ้งมือของบิดามารดาและพี่สาวของข้าเช่นกัน บิดามารดาของข้าย่อมคัดเลือกสามีให้ข้าอย่างระมัดระวัง ให้ข้าได้ทำความรู้จักอย่างละเอียดจนแน่ชัดแล้วค่อยแต่งให้คนผู้นั้น ไม่มีทางจับข้าแต่งออกไปอย่างส่งเดชแน่นอน…” กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงความขมขื่นและความยากลำบากทั้งหมดที่ตนเคยได้รับในชาติก่อนขึ้นมา นัยน์ตาแดงก่ำขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อะไร ชาติก่อนตอนที่อยู่ในถ้ำนั้น นางอ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากเขาขนาดนั้นเขายังไม่ปล่อยตนไปเลย ตนยังจำเป็นจะต้องพูดอะไรกับเขาให้มากความอีกหรือ
โจวเสาจิ่นลดเสียงลงกล่าวขึ้นว่า “เฉิงเจียซ่าน ข้าไม่ชอบท่าน แล้วก็ไม่อยากจะเห็นหน้าท่านอีก ต่อไปหากข้าเจอท่านข้าจะหลีกทางให้ หวังว่าเวลาท่านเจอข้าก็จะทำเสมือนว่าไม่รู้จักกันเช่นกัน”
ณ จุดนี้เอาความขุ่นแค้นที่มีทั้งหมดวางลงเสีย
ชาตินี้ ขอใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากชาติที่แล้ว
ให้เขาได้แต่งกับสตรีที่งามพร้อม อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิต
ส่วนนางจะเก็บคนผู้นั้นเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ คอยมองเขาอย่างเชื่อฟังตามครรลองคลองธรรมไปตลอดชีวิต
โจวเสาจิ่นยกชายประโปรงขึ้นพร้อมกับวิ่งไปที่เรือนเจียซู่
ชุนหว่านถึงได้สติคืนกลับมาจากอาการตกตะลึง นางยอบกายทำความเคารพเฉิงสวี่อย่างลวกๆ แล้วรีบวิ่งตามไปอย่างรีบร้อน
เฉิงสวี่ยืนนิ่งเป็นไก่ไม้แกะสลักอยู่ตรงนั้น สีหน้าซีดเผือด ราวกับวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว ปล่อยให้กิ่งไม้ของต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งอยู่บนร่างของตัวเอง
ฮวนสี่และต้าซูต่างหันหน้าหนี ไม่อาจทนมองตรงๆ ได้
***
ชุนหว่านเร่งตามมาทันจับโจวเสาจิ่นเอาไว้ก่อนที่โจวเสาจิ่นจะก้าวเข้าเรือนเจียซู่
นางมองโจวเสาจิ่นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นส่งให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นวิ่งมาตลอดทาง ความขุ่นมัวในใจก็คลายลงเล็กน้อยแล้ว
นางเอ่ยขอบคุณเสียงหนึ่ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดใบหน้า ถามชุนหว่านเสียงอู้อี้ว่า “มองออกหรือไม่ว่าข้าร้องไห้มา”
ชุนหว่านกล่าวเสียงเบาว่า “ดวงตาแดงยิ่งนัก ข้าไปนั่งเป็นเพื่อนท่านตรงหินไท่หูสักครู่หนึ่งแล้วค่อยไปเรือนหานชิวดีหรือไม่เจ้าคะ”
ตรงภูเขาจำลองหินไท่หูทางด้านโน้นมีน้ำของทะเลสาบอยู่ ใช้ล้างหน้าได้
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
ทั้งสองคนนั่งลงบนหินใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ข้างหินไท่หู
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างอับอายว่า “ให้เจ้าเห็นเรื่องตลกแล้ว!”
“มะ…ไม่เลยเจ้าค่ะ” ชุนหว่านหน้าแดง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นกระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “ท่าน…ท่านไม่…ไม่ชอบคุณชายใหญ่จริงๆ หรือเจ้าคะ เขาเป็นหลานที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ของจวนหลัก อีกทั้งยังเป็นซิ่วไฉ…”
ในสายตาของผู้อื่น นางคงเป็นคนไม่รู้จักซาบซึ้งความเมตตาของผู้อื่นกระมัง
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ใจ
ถ้าหากไม่เคยรู้จักท่านน้าฉือมาก่อน ถ้าหากไม่มีเรื่องของชาติที่แล้ว เกรงว่าก็คงยากที่นางจะปฏิเสธเฉิงสวี่ไปอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นเหมือนกัน
นี่อาจจะเป็นโชคชะตา!
ต่อให้เป็นคนมาแล้วสองชาติภพ นางก็ไม่อาจแต่งให้เฉิงสวี่ได้!
โจวเสาจิ่นถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าขอเพียงมีข้าวกินวันละสามมื้อก็พอ ต่อให้เขาดีเพียงไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”
ชุนหว่านยังคงรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่นางก็รู้สึกเช่นกันว่าเฉิงสวี่ไม่ให้เกียรติโจวเสาจิ่นเท่าที่ควร
หากว่าชอบโจวเสาจิ่นจริงๆ เหตุใดถึงไม่ไปกล่าวโน้มน้าวพวกผู้ใหญ่ แอบมาหาคุณหนูรองเช่นนี้ ถ้าหากว่าพูดเรื่องงานแต่งไม่สำเร็จ แต่คุณหนูรองได้ยินคำว่าชอบและเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าจะแต่งให้เขาไปแล้วจะทำอย่างไร
ควรจะทำตามการจัดเตรียมของผู้ใหญ่นั่นแหละดีแล้ว
ชุนหว่านไม่คิดเรื่องนี้อีก ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ลงมาจากหินไท่หูจนเปียกหมาดแล้วประคบดวงตาให้โจวเสาจิ่น
***
เฉิงสวี่ยืนแน่นิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ ได้สติคืนกลับมา
ฮวนสี่และต้าซูต่างก็พากันโล่งอกตามไปด้วย ฮวนสี่ยิ่งแล้วใหญ่ก้าวออกมาพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายใหญ่ พวกเรายังต้องไปหาฮูหยินอีกนะขอรับ!”
ไปหามารดาก็เพื่อจะทำให้โจวเสาจิ่นแต่งให้ตัวเอง!
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่บนถนนกว่าหลายรอบถึงได้หยุดเท้าลง กล่าวกับฮวนสี่และต้าซูอย่างคับข้องใจเล็กน้อยว่า “พวกเจ้าว่า เหตุใดคุณหนูรองถึงไม่ชอบข้า ตอนข้าอยู่ที่บ้านของท่านตา พี่สาวน้องสาวหลายคนที่นั่นตอนเห็นข้าต่างก็เดินหนีอย่างขัดเขินไปด้วยและแอบมองข้าไปด้วย…ตอนไปตระกูลกัวและตระกูลกู้น้องสาวทั้งหลายก็ดีกับข้าเป็นอย่างยิ่ง…หรือเป็นเพราะว่าข้ายังไม่ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนอย่างนั้นหรือ ข้าบอกนางเร็วไปใช่หรือไม่ ควรจะรอให้ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนก่อนแล้วค่อยพูดอย่างนั้นหรือ แต่ข้ากังวลใจเป็นอย่างยิ่งว่านางจะหมั้นหมายอย่างกะทันหัน…ก่อนหน้านี้มีเฉิงอี้ขวางเอาไว้ ตอนนี้เฉิงอี้ใกล้จะแต่งงานแล้ว จวนสี่ก็คงจะเหลือนางคนเดียวแล้ว…”
ฮวนสี่และต้าซูมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
คุณชายใหญ่ที่เฉลียวฉลาดและมีไหวพริบในยามปรกติผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว
คุณหนูรองตระกูลโจวพูดอย่างชัดเจนแล้วว่านางจะไม่แต่งให้คุณชายใหญ่ เหตุใดคุณชายใหญ่ถึงไม่คิดหาคำตอบว่าเหตุใดคุณหนูรองถึงไม่ชอบเขาแต่กลับไปโยงกับเรื่องที่ว่าตัวเองมีหรือไม่มีตำแหน่งเจี้ยหยวนแทนเล่า?
แต่เฉิงสวี่เอ่ยปากถามมาแล้ว อย่างไรพวกเขาสองคนคนใดคนหนึ่งก็ต้องตอบคำถามอยู่ดี!
ต้าซูขยับถอยออกไปหนึ่งก้าว ฮวนสี่ไปยืนอยู่ข้างหน้าอย่างคาดไม่ถึง
ช่างเป็นสุนัขที่กัดคนโดยไม่เห่าผู้หนึ่งจริงๆ!
ฮวนสี่ลอบด่าต้าซูอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับยิ้มแย้มพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างประจบว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ มีผู้ใดบ้างไม่เชื่อฟังบิดามารดา คุณชายใหญ่พูดออกมาอย่างเปิดเผยต่อหน้าพวกข้าเช่นนั้น ก็ไม่แปลกที่คุณหนูรองจะโกรธขอรับ!”
“ไม่ผิดๆ…ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ นางถึงได้ขุ่นเคืองข้า!” ดูเหมือนว่าเฉิงสวี่จะหาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้ว เอ่ยขึ้นอย่างคนที่เห็นทางสว่างในทันทีทันใดว่า “ไป พวกเราไปหาฮูหยินกัน”
ต้าซูถลึงตาจ้องฮวนสี่อย่างดุร้ายครั้งหนึ่ง แล้วรีบตามไป
ฮวนสี่ลูบศีรษะอย่างรู้สึกผิด
เขาก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเท่านั้น ใครจะรู้ว่าคุณชายใหญ่กลับฟังแล้วเก็บไปใส่ใจจริงๆ!
ฮวนสี่จึงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก รีบตามไปอย่างรีบร้อน
***
ณ โถงหลักของเรือนอวิ้นเจิน บ่าวรับใช้ต่างยืนกันอย่างนอบน้อม เงียบเชียบไม่มีเสียงใดๆ แม้สักนิดเดียว
แววตาของเฉิงสวี่ดูสงสัยเล็กน้อย ถามป้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูว่า “ในบ้านมีแขกหรือ”
ป้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูผู้นั้นกล่าวอย่างประจบว่า “คุณชายใหญ่ นายท่านใหญ่ให้คนนำของกลับมามอบให้ฮูหยิน ปรากฏว่าตอนเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นได้พบกับป้ารับใช้ของหมิ่นจ้วงหยวน ที่ก็นำของกลับไปส่งให้ที่บ้านเดิมเช่นกันพอดี จึงร่วมทางกันมาจนถึงเจิ้นเจียง ป้ารับใช้ของหมิ่นจ้วงหยวนมีมารยาทยิ่ง ตามคนของพวกเรามาคารวะและกล่าวทักทายฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นพิเศษด้วยเจ้าค่ะ!”
ตระกูลของพวกเขาและตระกูลหมิ่นมีความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
เฉิงสวี่ย่นคิ้ว
ผ้าม่านประตูถูกเลิกขึ้น แม่นมของหยวนซื่อเดินออกมาพร้อมกับป้ารับใช้สองคน แต่งกายสง่างามและดูฉลาดมีไหวพริบ
แม่นมของหยวนซื่อเห็นเฉิงสวี่แล้วดวงตาเป็นประกาย ร้องเสียงดังขึ้นว่า “คุณชายใหญ่”
น้ำเสียงนั้นแฝงความยินดีเอาไว้เล็กน้อย
ป้ารับใช้สองคนนั้นมองมาอย่างพร้อมเพียงกัน หลังจากประหลาดใจเสร็จแล้วแววตาของแต่ละคนก็เผยความพึงพอใจออกมาให้เห็น
ราวกับเขาเป็นสิ่งของอะไรบางอย่างที่หลังจากพวกนางดูเสร็จแล้วก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากก็ไม่ปาน
เฉิงสวี่คิดอะไรบางอย่างได้ ความโกรธก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ป้ารับใช้ของหมิ่นจ้วงหยวนถือโอกาสแวะระหว่างทางตามมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าตั้งใจมาที่จินหลิงเพื่อดูตัวเขาเป็นพิเศษต่างหาก
เขาทำหน้าถมึงทึง หมุนกายเดินจากไป
ป้ารับใช้ทั้งสองคนนั้นต่างตกตะลึง
แม่นมของหยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มิใช่ว่าผลการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูยังไม่ประกาศออกมาหรือ คุณชายใหญ่ของพวกข้าจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก!”
“จริงด้วยๆ!” ป้ารับใช้สองคนนั้นกล่าวยิ้มๆ “ตระกูลของพวกข้าเองก็เข้าร่วมการสอบขุนนางทุกปี ก่อนการประกาศผลสอบบรรดาคุณชายทั้งหลายล้วนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พวกข้าต่างไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังพูดอะไรมากแม้แต่ประโยคเดียว!”
ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วย
คุณชายใหญ่ของพวกเขาเป็นถึงจ้วงหยวน ก่อนการประกาศผลสอบก็ไม่เห็นเหมือนคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิงที่ทำหน้าราวกับมีใครติดเงินเขาสามร้อยเช่นนั้น
ดูแล้วคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิงผู้นี้ก็มิใช่คนสุขุมรอบคอบอะไร
น่าเห็นใจคุณหนูใหญ่ของพวกนาง งดงามมีพรสวรรค์ถึงเพียงนั้น ทว่ากลับต้องมาแต่งให้กับคุณชายใหญ่เฉิงผู้นี้
หากรู้แต่เนิ่นๆ ฮูหยินใหญ่น่าจะยื้อเวลาออกไปอีกช่วงหนึ่ง รอให้ผลการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูออกก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่เพราะนายท่านใหญ่เชื่อคำพูดของคุณชายใหญ่ พอผ่านพ้นการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูแล้วก็ตอบรับเรื่องงานแต่งของตระกูลเฉิงเลย หากมิใช่เพราะฮูหยินใหญ่ยังคงรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจแล้วล่ะก็ เกรงว่าก็คงจะให้คุณหนูใหญ่แต่งเข้ามาอย่างมึนงงโดยไม่แม้แต่จะสืบเรื่องคนให้แน่ชัดก่อนเป็นแน่
แต่ทางด้านนั้นก็ได้เทียบดวงชะตากันไปแล้ว พวกนางกลับไปพบฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเดิม ยังจะพูดว่างานแต่งงานนี้ไม่ดีได้อยู่หรือ
ป้ารับใช้ทั้งสองเก็บความคิดนี้ไว้ในใจ บอกลาแม่นมของหยวนซื่อ ขึ้นเรือที่ทะเลสาบเหวิ่นฉวน มุ่งหน้าไปทางใต้เพื่อเดินทางกลับฝูเจี้ยน
………………………………………………………………………..
[1] พิธีสวมกวาน จัดขึ้นเมื่อเด็กชายมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ แสดงถึงการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ โดย กวาน ที่สวมครอบบนศีรษะนี้ยังเป็นเครื่องบอกยศและสถานะอีกด้วย