ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 339 ขุดหลุมฝังตนเอง
อู๋เป่าจางกลอกลูกตาไปมา
คิดไม่ถึงว่าเฉิงสวี่ที่ฉลาดหลักแหลมผู้นี้ มาดักเจอโจวเสาจิ่นก็ยังพาบ่าวรับใช้คนสนิทมาด้วย ไม่กลัวเลยว่าคนข้างกายจะแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าหากมีคนเอาไปพูดจนเป็นเรื่องขึ้นมา ก็จะได้มีข้ออ้างว่าพบกันโดยบังเอิญได้เหมือนกัน!
เรื่องนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ!
ที่แท้เฉิงสวี่มีใจให้โจวเสาจิ่นนี่เอง
ไม่รู้ว่าตระกูลโจวจะเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้หรือไม่ สุดท้ายแล้วโจวเสาจิ่นก็เติบโตขึ้นในตระกูลเฉิง อีกทั้งตอนนี้ก็อาศัยอยู่ในเรือนหานปี้ซานอีก หากแต่งงานกับหลานชายคนโตของจวนหลักตระกูลเฉิง เช่นนี้จะว่าไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็จะเป็นเจ้าสาวที่นำมาเลี้ยงเอาไว้ในตระกูลเฉิงตั้งแต่เด็ก หากจะกล่าวอย่างใจร้ายอีกสักหน่อย กระทั่งกล่าวหาว่าโจวเสาจิ่นเจ้ามารยา ยั่วยวนเฉิงสวี่ก็ได้
นึกถึงตรงนี้ อู๋เป่าจางก็อดสบถเสียงเย็นในใจไม่ได้
เฉิงลู่มิใช่ว่าค่อนข้างพึงใจโจวเสาจิ่นหรอกหรือ หากเขารู้ว่าเฉิงสวี่ชื่นชอบโจวเสาจิ่น ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร
ไม่สิ ควรจะพูดว่าถ้าหากเฉิงลู่รู้ว่าความจริงแล้วโจวเสาจิ่นลอบพบปะกับเฉิงสวี่อย่างลับๆ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร
อู๋เป่าจางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างพิศวงน่าติดตามยิ่งนัก
นางอมยิ้มที่มุมปาก เลิกกระโปรงขึ้นพลางย่องออกจากแนวรั้วต้นตงชิงอย่างเบามือเบาเท้า จากนั้นก็หลบไปอยู่ข้างหลังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ขนาดเท่าคนโอบต้นหนึ่ง มองดูโจวเสาจิ่นที่เดินจากไป และเฉิงสวี่ที่กำลังสะบัดกำปั้นกลางอากาศอย่างไม่พอใจ แล้วจึงหมุนกายกลับไปยังศาลาริมน้ำที่จัดแสดงงิ้ว
บนเวทีมีเสียงร้องขับขานดังเจื้อยแจ้ว ส่วนข้างล่างเวทีฮูหยินหยวนนั่งอยู่ตรงกลางอย่างทะนง รายล้อมไปด้วยสตรีในอาภรณ์งดงามสองสามคนกำลังสนทนากับฮูหยินใหญ่อี๋อยู่
เจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือยืนยิ้มๆ อยู่ข้างหลังแม่สามีของตน คอยรินน้ำเติมชาให้เป็นพักๆ บรรยากาศช่างดียิ่ง
ทว่าเจียงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่หลูกลับนั่งชมงิ้วอยู่ข้างหนึ่งเพียงคนเดียว สีหน้าไม่สู้ดีนัก
อู๋เป๋าจางได้ยินมาว่า เฉิงเจียจะแต่งงานกับพ่อค้าวานิชผู้หนึ่ง
ส่วนฮูหยินใหญ่เวิ่นผู้เป็นแม่สามีของนางนั้นกำลังคุยอะไรบางอย่างกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยู่ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนฟังด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ทว่าแม่สามีของนางกลับพูดด้วยใบหน้าอมทุกข์
แม่สามีของนางคงจะกำลังพูดว่าสามีของนางไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และอนุที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นหว่านเสน่ห์ล่อลวงเขาอย่างนั้นอย่างนี้อยู่กระมัง
อู๋เป่าจางบุ้ยปากในใจอย่างไม่เห็นด้วย
ตนเองควบคุมสามีไม่อยู่ ยังจะไปโทษหญิงอื่นอีก สตรีที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องหอประเภทนี้นางเห็นมาแล้วนับไม่ถ้วน และรู้สึกดูถูกดูแคลนเป็นที่สุด!
แต่นางยังคงเก็บสีหน้าอารมณ์ของตนเอาไว้ แล้วยิ้มพลางก้าวเข้าไปทำความเคารพฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับฮูหยินใหญ่เวิ่น
ฮูหยินใหญ่เวิ่นย่นหัวคิ้ว เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าวิ่งไปที่ใดมาอีกแล้ว ซอยจิ่วหรูมิใช่หลังบ้านศาลาว่าการเมืองจินหลิง และมิใช่ตระกูลอู๋ของเจ้าด้วย เจ้าอยากไปที่ใดต้องให้บ่าวหญิงที่รู้ทางพาเจ้าไป ข้างกายไม่มีบ่าวรับใช้แม้แต่ผู้เดียว ทั้งยังสวมเสื้อผ้าเรียบๆ อีก คนอื่นเห็นแล้วจะคิดว่าเจ้าเป็นภรรยาของพ่อบ้านจวนใดจวนหนึ่งเอาได้ ทำให้ผู้อื่นดูถูกเสียเปล่าๆ”
ต่อให้ตอนที่แต่งเข้ามาอู๋เป่าจางได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ความอับอายที่ได้รับจากฮูหยินใหญ่เวิ่นนี้ก็ยังทำให้นางโกรธขึ้งจนตัวสั่น ผ่านไปนานพักหนึ่งก็มิได้เอ่ยคำใดออกมาแม้ประโยคเดียว
ยังเป็นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่เห็นแล้วส่ายศีรษะ คิดว่าไม่ว่าแต่ก่อนอู๋เป่าจางจะเป็นเช่นไร ตอนนี้นางก็เป็นสะใภ้ของซอยจิ่วหรูแล้ว เมื่ออยู่ในอาณาบริเวณของจวนสี่ ก็มิอาจปล่อยให้อู๋เป่าจางรู้สึกเสียหน้าจนเกินไปได้ จึงยิ้มพลางกล่าวแก้สถานการณ์ให้นางกับฮูหยินใหญ่เวิ่นว่า “เดี๋ยวนี้หนุ่มสาวล้วนไม่ชอบให้ข้างกายมีคนติดตามเป็นกลุ่มใหญ่กันแล้ว เจ้าอย่าใช้กฎเกณฑ์คร่ำครึไปบังคับนางเลย และต้องเปิดใจให้กว้างขึ้นสักหน่อยถึงจะถูก”
ต่อหน้าธารกำนัล ใจจริงฮูหยินใหญ่เวิ่นก็มิใช่จะปรารถนาให้บุตรสะใภ้ของตนต้องมาเสียหน้าแต่อย่างใด เพียงแต่อุปนิสัยทุนเดิมของนางนั้นชื่นชอบการตำหนิผู้อื่น พอเห็นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนออกหน้าพูดให้อู๋เป่าจาง นางจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก พยักหน้าเบาๆ เป็นการจบเรื่องนี้ลงเสีย
อู๋เป่าจางมองฮูหยินใหญ่เหมี่ยนด้วยความซาบซึ้งใจ นึกถึงโจวเสาจิ่นที่เติบโตมาในจวนสี่ตั้งแต่เล็ก คนที่อ่อนแอและไร้ความสามารถเช่นนั้นกลับได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ ในใจจึงรู้สึกหลากหลาย รู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก กัดฟันกรอดอย่างอดไม่ได้ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ไรมาน้องสาวรองตระกูลโจวเป็นผู้ที่รักความสงบ แต่ไฉนถึงไม่เห็นน้องสาวเจียด้วยอีกคนหรือเจ้าคะ มิใช่ว่านางชื่นชอบการชมงิ้วเป็นที่สุดหรอกหรือ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มน้อยๆ พลางตอบว่า “ทางด้านนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเราจัดเตรียมงานเลี้ยงรับรองนายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลาย หลานรองกับหลานเจียต่างปรนนิบัติอยู่ที่นั่น!”
เนื่องจากเป็นงานมงคล ทว่าบรรดานายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายเหตุเพราะเป็นหม้ายจึงมิได้มาร่วมอยู่ในงานเลี้ยงฉลองด้วย
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิน่าเมื่อครู่ข้าถึงได้เห็นเงาคนผู้หนึ่งแวบๆ จากบริเวณแนวรั้วต้นตงชิงทางด้านนั้น เงาร่างนั้นคล้ายกับคุณหนูรองตระกูลโจวยิ่งนัก ข้ายังคิดว่าตาข้าพร่ามัวเสียอีก ที่แท้ก็เป็นนางจริงๆ ด้วย!”
แขกสตรีที่มาในวันนี้อยู่ที่ศาลาริมน้ำในลานชั้นใน ส่วนแขกบุรุษอยู่ที่โถงรับรองในลานชั้นนอก แนวรั้วต้นตงชิงนั้นความจริงแล้วเป็นแนวกั้นแนวหนึ่ง เพื่อแบ่งแยกลานชั้นในกับลานชั้นนอกออกจากกัน
โจวเสาจิ่นปรนนิบัติบรรดานายหญิงผู้เฒ่าอยู่ในห้องรับรองแขกของเรือนเจียซู่ เมื่อมีเรื่องอะไรจะส่งคนผ่านมาทางเส้นทางนั้นซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปรกติมาก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปที่นั่นทำไมหรือ ตรงนั้นอยู่ใกล้โถงรับรองยิ่ง หากว่าเจ้ามีเรื่องอะไร ทางที่ดีก็ควรจะเรียกบ่าวหญิงคนหนึ่งให้ไปด้วย”
อู๋เป่าจางตะลึงงัน จากนั้นก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนผู้นี้มิได้ถามว่าโจวเสาจิ่นไปที่นั่นทำไม แต่มาซักถามนางแทนอย่างนั้นหรือ
นี่ช่างเป็นการยกหินมาทับเท้าตัวเองเสียจริงๆ!
ทว่านางไม่อาจไม่ตอบกลับไปได้
ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะคิดว่านางมีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังกับบุรุษที่ลานชั้นนอกเอาได้!
เพียงแต่แม่สามีของนางผู้นั้นยังไม่หายข้องใจ เอ่ยถามนางด้วยท่าทางทึ่มทื่อว่า “จริงด้วย เจ้าไปที่นั่นทำไม”
เนื่องจากบนเวทีกำลังแสดงงิ้วอยู่ เสียงของฮูหยินใหญ่เวิ่นจึงค่อนข้างดัง หยวนซื่อและคนอื่นๆ ต่างหันมามองกันทุกคน
ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมชั้นดีถูกอู๋เป่าจางขยำจนเป็นก้อนกลมอยู่ในมือ
นางอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก ถึงได้คลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเดินไปที่นั่นโดยไม่ตั้งใจ…”
เพียงแต่นางยังไม่ทันพูดจนจบ ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ยามที่ออกไปข้างนอกให้เจ้าพาบ่าวหญิงที่คุ้นทางไปด้วยคนหนึ่ง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง! ตอนนี้ยังดี แต่ถ้าเกิดหลงทางขึ้นมา…ไม่รู้จะว่ากล่าวเจ้าว่าอะไรดีแล้วจริงๆ!”
ไม่มีผู้ใดสนใจตำแหน่งที่อยู่ของโจวเสาจิ่นเลยแม้แต่น้อย
มือของอู๋เป่าจางกำเป็นหมัดไว้แน่น ในหัวสมองมีเสียงดังหึ่งๆ ไม่หยุด
***
โจวเสาจิ่นเองก็โมโหมากเช่นกัน
เฉิงสวี่ผู้นี้ ไฉนถึงได้คุยไม่รู้เรื่องเล่า
เขามีอารมณ์มาทำตัวบ้าคลั่ง แต่นางไม่มีอารมณ์มาอยู่เป็นเพื่อนเขานี่นา!
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มพลางเดินเข้าห้องรับรองแยกไปปรนนิบัติบรรดานายหญิงผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกวักมือเรียกนาง กล่าวขึ้นว่า “พู่ของพัดเล่มนั้นซ่อมเสร็จแล้วหรือ” จากนั้นก็ย่นหัวคิ้ว แล้วกล่าวอีกว่า “เจ้าสี่ก็มิใช่คนใจร้ายใจดำประเภทนั้น พู่ของพัดเสีย ก็เปลี่ยนพัดเล่มใหม่ก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หนานผิงรีบซ่อมแซมเลย ยังมายืมเข็มถักกับเจ้าถึงที่นี่ ให้เจ้าช่วยไปดูให้นางอีก! เจ้าเองก็เหมือนกัน นางบอกให้เจ้าไปหา เจ้าก็ไปหา…ต่อไปไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว นั่นเป็นเรื่องของนาง มิใช่เรื่องของเจ้า”
ฟังจากน้ำเสียงนั้นแล้ว ถึงกับไม่พอใจหนานผิงเล็กน้อยด้วย
โจวเสาจิ่นจึงรีบอธิบายขึ้นว่า “เรื่องนี้ท่านต้องโทษท่านน้าฉือแล้วเจ้าค่ะ แม่นางหนานผิงเห็นว่าหายากที่จะมีสิ่งของที่ท่านน้าฉือชื่นชอบ เมื่อได้ยินว่าให้นางซ่อมแซมให้ดี จึงเค้นสมองขบคิดหาทางทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ นางเองก็เป็นบ่าวผู้สัตย์ซื่อคนหนึ่ง ท่านน้าฉือเห็นว่าพู่ของพัดเล่มนั้นสวยงามดี แต่ไม่รู้ว่าพู่นั้นถักขึ้นมาอย่างซับซ้อนยิ่ง คนทั่วไปเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใด แม่นางหนานผิงกลัวจะซ่อมได้ไม่ดี ดังนั้นจึงมาหาข้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้กล่าวอะไรอีก
โจวเสาจิ่นคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงเช่นนี้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอกลับถึงเรือนหานปี้ซานฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเรียกนางไปที่ห้องชั้นใน ลังเลอยู่นานครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “เสาจิ่น หนานผิงครองตัวเป็นโสดนับตั้งแต่คู่หมั้นเสียชีวิต และเพื่อเจ้าสี่ฉินจื่อหนิงถึงได้เสียชีวิต เดิมทีข้าคิดว่า นางอายุยังน้อย มาสูญเสียคู่หมั้นกะทันหัน ระหว่างที่กำลังโศกเศร้าเสียใจจะตัดสินใจครองตัวเป็นโสดก็เป็นเรื่องปรกติ แต่ตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว นางก็ยังสวมเสื้อผ้าสีดำเรียบๆ อยู่ ข้าคิดแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก ในเมื่อเจ้าพูดคุยกับนางได้ ก็ช่วยหยั่งดูท่าทีของนางให้ข้าสักหน่อย ดูว่าท่าทีของนางในตอนนี้โอนอ่อนลงบ้างหรือไม่ ข้าเองก็จะได้วางแผนให้ได้”
คิดไม่ถึงว่าที่ฉินจื่อหนิงคู่หมั้นของหนานผิงเสียชีวิตนั้นจะเป็นเพราะท่านน้าฉือ!
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า แล้วกระซิบกล่าวว่า “ตอนที่น้าฉือของเจ้าทำมาค้าขายอยู่ข้างนอกได้ปะทะกับกองโจรกองหนึ่ง เพื่อปกป้องน้าฉือของเจ้าเขาจึงถูกสังหาร”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเศร้าใจเหลือคณนา
ชาติที่แล้ว นางสิ้นหวังประหนึ่งขี้เถ้าที่มอดสนิท ก็เคยเก็บเนื้อเก็บตัวมาก่อนเหมือนกัน ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกว่าวันเวลาช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกิน
คนที่เก็บเนื้อเก็บตัวด้วยใจที่ยังมีแต่คนผู้หนึ่งอยู่เช่นหนานผิงนี้ เกรงว่าวันเวลาที่ผ่านไปคงจะยากลำบากกว่ามากมายนัก
นางนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว คล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ แล้วซบศีรษะลงบนไหล่ของนาง พึมพำขึ้นว่า “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยหยั่งเชิงดูท่าทีของนางให้ท่านอย่างแน่นอน หากว่านางไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ท่านก็ให้นางอยู่ข้างกายท่านน้าฉือต่อไปก็แล้วกัน อย่างน้อยนางก็ยังมีบ้านอยู่สักหลังหนึ่ง!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทอดถอนใจ ตบที่มือของนางเบาๆ
โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ความจริงแล้วข้าไม่ได้ไปพบหนานผิงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน
โจวเสาจิ่นนั่งตัวตรง ก้มศีรษะลงพลางกล่าวว่า “สาวใช้เด็กคนนั้นเป็นสาวใช้ข้างกายของแม่นางหนานผิงนั้นไม่ผิด เพียงแต่ระหว่างทางกลับได้พบกับพี่ชายสวี่…เขา…เขาขวางทางข้าไว้เพื่อจะพูดคุย…ข้ากลัวยิ่งนัก จึงวิ่งกลับมา…ก็เลยไม่ได้ซ่อมพู่ของพัดให้ท่านน้าฉือ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธจนเลือดขึ้นหน้า มือไม้สั่นไปหมด
โจวเสาจิ่นกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะบันดาลโทสะจนเป็นอะไรขึ้นมา ตกใจจนน้ำเสียงเปลี่ยนไปหมด “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะๆ…”
“ไม่เป็นไร! ข้าไม่เป็นไร!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสูดลมเย็นเข้าไปลมหายใจหนึ่ง แล้วอดมองสำรวจโจวเสาจิ่นอย่างละเอียดไม่ได้
เด็กน้อยหวาดกลัวเสียแล้ว มองนางประหนึ่งดอกหลีต้องสายฝนอย่างไรอย่างนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะหึออกมาครั้งหนึ่ง
นี่ตนกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
ผู้อื่นเห็นเฉิงสวี่แล้วจะคิดถึงเรื่องที่เขาเป็นหลานชายสายตรงคนโต เป็นเจี้ยหยวนคนใหม่ โดยส่วนใหญ่คงจะรู้สึกว่าเขาเป็นบุตรเขยที่เพียบพร้อมผู้หนึ่ง ทว่าเสาจิ่นเด็กคนนี้ช่างใสซื่อ กลับมิได้ปรารถนาสิ่งเหล่านี้เลย!
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้โจวเสาจิ่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว! ข้ารู้แล้ว! ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว!”
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจยาวเหยียด
คำนวนวันเวลาดูแล้ว แม้แต่ในชาติก่อน ตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นสองตระกูลก็น่าจะเริ่มคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว
ในชีวิตนี้มีท่านน้าฉืออยู่ด้วย วันที่ทั้งสองตระกูลพูดคุยเรื่องแต่งงานจะต้องเร็วกว่าในชาติที่แล้วเป็นแน่ หาไม่แล้วตระกูลหมิ่นก็คงไม่ส่งบ่าวหญิงมาดูตัวหรอก
หากนางเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะต้องห้ามปรามเขาไว้เป็นแน่
มีฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกหน้าให้ ต่อให้เฉิงสวี่มีแผนการแยบยลเพียงใดนางเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มีวิธีหยุดยั้งเขาไว้ได้เหมือนกัน
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง นางให้สาวใช้ไปสอบถามหนานผิงว่า มีพัดของเฉิงฉือที่พู่ชำรุดเสียหายจริงหรือไม่
สาวใช้กลับมารายงานว่า “มีพัดที่พู่ชำรุดเสียหายจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ไม่นานพี่สาวหนานผิงก็ทำพัดเล่มใหม่เปลี่ยนให้เรียบร้อยแล้ว” และยังให้สาวใช้ถามโจวเสาจิ่นอีกว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นถึงได้วางใจลงได้อย่างสนิท
วันรุ่งขึ้นตอนที่ไปร่วมงานแต่งงานของเฉิงเก้า จึงติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกพอใจในตัวโจวเสาจิ่นมากขึ้น ไม่ว่าไปที่ใดก็พานางไปด้วยทุกที่
เมื่อภาพฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของผู้ที่มีเจตนาร้าย ต่างกัดฟันกรอดจนฟันแทบหักเลยทีเดียว
………………………………………………………………….