ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 343 ทุบตีคน
จี๋อิ๋งโกรธจนหน้าแดงก่ำไปหมด ชี้ไปที่เฉิงสวี่พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ชุนหว่านไปบอกข้า ข้ายังไม่เชื่อ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นไอ้สารเลวผู้หนึ่งจริงๆ! เสียดายที่เจ้าเป็นถึงเจี้ยหยวน หากมิใช่เป็นเพราะข้าเชื่อว่าเสาจิ่นไม่มีทางพูดจาพล่อยๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าเสาจิ่นคงถูกเจ้ารังแกไปแล้ว!” ขณะที่กล่าว ก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไปด้วย หากมิใช่เพราะตนพอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง เด็กสาวที่อ่อนแอสองสามคนนี้ไหนเลยจะมีแรงขัดขวางเฉิงสวี่ได้ เช่นนั้นเสาจิ่นจะไม่ถูกเขาหลู่เกียรติไปแล้วหรอกหรือ
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนอ่อนแอเปราะบางอย่างเสาจิ่นนอกจากความตายแล้วไหนเลยจะมีทางที่สองให้นางเดินได้?
ในหัวของจี๋อิ๋งมีเสียงดังอื้ออึงไม่หยุด รู้สึกว่าหมัดและเท้าของตัวเองเตะกับต่อยได้เบาเกินไป อดไม่ได้ยัดร่างโจวเสาจิ่นเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชุนหว่าน ก้าวออกไปดึงตัวเฉิงสวี่ขึ้นมาแล้วต่อยตรงไปหน้าที่ใบหน้า
เฉิงสวี่สับสนมึนงง กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติ กระทั่งได้สติคืนกลับมาแล้ว ก็ต่อต้านขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ แต่สีหน้ายังคงดูเลื่อนลอยอยู่เล็กน้อย ไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของจี๋อิ๋งได้เลยสักนิด ไม่นาน ใบหน้าของเขาก็มีรอยฟกช้ำดำเขียวเป็นหย่อมๆ จมูกมีเลือดไหลออกมา และมุมปากแตก
ชุ่ยหวนเห็นแล้วก็แน่นิ่งเป็นไก่ไม้ กว่าครู่ใหญ่ถึงได้รู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นางอยากจะไปดึงตัวจี๋อิ๋ง แต่สีหน้าของจี๋อิ๋งดูอำมหิตน่ากลัวยิ่งนัก นางทั้งเข้าใกล้ตัวนางไม่ได้ แล้วก็รู้สึกหวาดกลัวด้วย ได้แต่หันหน้าไปขอร้องโจวเสาจิ่น “คุณหนูรอง ท่านรีบให้แม่นางจี๋อิ๋งหยุดตีเถิดเจ้าค่ะ! นั่นเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตกับภรรยาเอกของจวนหลักนะเจ้าคะ ถ้าหากโชคร้ายเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา เกรงว่าแม่นางจี๋อิ๋งจะถูกขายออกไปได้…” พูดถ้อยคำนี้ออกไปแล้ว แต่แม้แต่ชุ่ยหวนเองก็ไม่เชื่อ เพราะเพียงแค่จี๋อิ๋งลงมือ ตระกูลเฉิงก็ไม่มีที่ให้นางยืนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตีเฉิงสวี่จนบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นยังบาดเจ็บจนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก…เมื่อนึกถึงว่าจี๋อิ๋งกับนางนั้นไม่ต่างกัน ที่ต่างก็เป็นบ่าวเหมือนกันแล้ว นางพลันเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูรอง อาศัยจังหวะที่ทุกคนยังไม่เห็นนี้ ท่านรีบให้จี๋อิ๋งหนีไปเถิดเจ้าค่ะ! นางเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายนายท่านสี่ รอให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้วค่อยไปขอร้องนายท่านสี่ นายท่านสี่มีความอดทนอดกลั้น อีกทั้งยังดีกับคนข้างกายยิ่งนัก หวังเพียงว่านายท่านสี่จะมีเมตตา ให้จี๋อิ๋งได้รอดพ้นจากความตายกลับมา…”
โจวเสาจิ่นจับแขนของชุนหว่านเอาไว้แน่น ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ชุ่ยหวนพูดออกมา
ชุ่ยหวนใจเต้นตึกตัก
คุณหนูรองคงมิใช่ว่าตกใจจนสติหลุดไปแล้วกระมัง!
นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่โจวเสาจิ่น
นัยน์ตาที่เคยกระจ่างใสดุจน้ำของโจวเสาจิ่นเวลานี้กลับดำทะมึน แผ่แสงระยิบจางๆ ดูลึกลับประหนึ่งบ่อน้ำลึก
ชุ่ยหวนตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยคำพูดที่ค้างอยู่ตรงริมฝีปากออกมาไม่ได้
คนทั้งสามที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ต่างเงียบเชียบอย่างผิดปรกติ
ภายในโพรงหินมีแต่เสียงต่อยตีเฉิงสวี่ของจี๋อิ๋ง
“ช่างเป็นไอ้สารเลวผู้หนึ่งจริงๆ! แม้แต่ญาติเจ้าก็ยังคิดจะฉวยโอกาสหาประโยชน์! นี่เจ้าต้องการบีบบังคับให้เสาจิ่นตายหรืออย่างไร”
“เจ้ามันคนอันธพาล!” เฉิงสวี่กล่าวเสียงต่ำ พยามยามสวนหมัดอย่างสะเปะสะปะ
จี๋อิ๋งหลบหมัดของเฉิงสวี่ได้อย่างสบายๆ ปล่อยหมัดใส่เฉิงสวี่หนึ่งครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นค้นพบว่าแท้จริงแล้วเสียงกำปั้นที่ตกกระทบลงบนร่างของคนนั้นดังปั้บ
เสียงนี้ช่างไพเราะน่าฟังยิ่งนัก!
นางควรจะต่อยเฉิงสวี่สักหมัดตั้งนานแล้ว
ในที่สุดตอนนี้ความปรารถนาของนางก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว!
จี๋อิ๋งช่วยแก้แค้นให้นางแล้ว!
ในใจของนางประหนึ่งมีเรือลำหนึ่งโลดแล่นขึ้นมา
กระทั่งรู้สึกภูมิใจ เบิกบาน ราวกับได้เกิดใหม่!
นี่ถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงที่นางได้กลับมามีชีวิตใหม่!
ขอบตาของโจวเสาจิ่นค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมา
ทว่าสีหน้าของชุนหว่านกลับค่อยๆ ชีดเผือดลง
คุณหนูรองอ้างว่าให้นางไปหยิบเสื้อแขนกุดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน แต่ความจริงแล้วให้นางนำความไปแจ้งจี๋อิ๋ง บอกว่าคุณชายใหญ่สวี่ดักรอคุณหนูรองอยู่ข้างหน้า คุณหนูรองกลัวว่าตัวเองจะสลัดคุณชายใหญ่สวี่ออกไปไม่ได้ เป็นเหตุให้เกิดเรื่องขึ้นทำให้ผู้ใหญ่ต้องถูกผู้อื่นเอาไปพูดให้อับอาย จึงขอให้จี๋อิ๋งแอบตามอยู่ด้านหลังนางเงียบๆ คุ้มกันนางไปจนถึงเรือนซิ่งหลิว…นางยังคิดว่าคุณชายใหญ่สวี่ก็เพียงจะกล่าวถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมบางอย่างเท่านั้น ยังไม่เห็นด้วยเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกให้คนที่เรือนหลีอินรู้ให้ต้องขายหน้า แต่นางคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า ครั้งนี้คุณชายใหญ่สวี่กลับได้คืบจะเอาศอก ถึงกับทำตัวรุ่มร่ามกับคุณหนูรองขึ้นมาเช่นนี้
ถ้าตอนนั้นสีหน้าของคุณหนูรองไม่ได้เคร่งเครียดขนาดนั้น ถ้าหากนางเคารพคุณหนูรองน้อยกว่านี้ ไม่เชื่อฟังสิ่งที่คุณหนูรองพูดอย่างจริงใจ ตอนที่จี๋อิ๋งคิดว่าคุณหนูรองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นั้นนางก็คงจะไม่คะยั้นคะยอจี๋อิ๋งอย่างสุดความสามารถ…จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างนั้น ชุนหว่านไม่กล้าคิดต่อไปจริงๆ!
แต่การทุบตีคุณชายใหญ่สวี่จนอยู่ในสภาพเช่นนี้…สิ่งที่ชุ่ยหวนกังวลก็มิใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล
นางโอบไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างห้ามไม่อยู่
ชุนหว่านถึงได้ค้นพบอย่างตกใจว่าโจวเสาจิ่นกำลังตัวสั่นอยู่
“คุณหนูรอง!” นางรีบกล่าว “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะๆ! ท่านไม่ต้องกลัว! เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้ากับชุ่ยหวนล้วนทราบเรื่อง อย่างมากพวกเราก็กลับไปที่เป่าติ้ง พาจี๋อิ๋งกลับไปด้วย นายท่านกับคุณหนูใหญ่จะต้องช่วยเป็นผู้ตัดสินใจให้ท่านได้เจ้าค่ะ!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางพลันตระหนักได้ว่า ตอนนี้พวกนางอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรู บ่าวรับใช้ข้างกายล้วนเป็นคนของซอยจิ่วหรู พวกนางคิดจะกลับเมืองเป่าติ้ง ก็ต้องเดินออกไปให้ได้ก่อนถึงจะถูก!
โดยไม่คิด ชุนหว่านปล่อยโจวเสาจิ่นแล้วหันไปคุกเข่าให้ชุ่ยหวน “พี่สาวคนดี ขอร้องท่านช่วยชีวิตข้ากับคุณหนูรองของพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
ชุ่ยหวนตกใจสะดุ้งตัวโหยง รู้ว่าที่ชุนหว่านขอร้องนางในเวลานี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัวด้วย แต่นางกับชุนหว่านนั้นเงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็เจอ ยามปรกติก็เรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาว จะให้หันหลังให้อย่างกะทันหันในเวลานี้ คนที่ไม่เคยประสบเรื่องอะไรมาก่อนอย่างชุ่ยหวนย่อมทำไม่ได้
นางหน้าแดงก่ำ ไปดึงชุนหว่านด้วยสีหน้ายุ่งยาก “เจ้าอย่าทำเช่นนี้ๆ….” ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยรับปากออกมาสักประโยค
ชุนหว่านกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
คนหากไม่บ่มเพาะนิสัยให้มีศีลธรรมจรรยา ย่อมต้องถูกฟ้าดินลงโทษ
นางไม่ได้ตั้งใจทำให้ชุ่ยหวนลำบาก รีบกล่าวขึ้นว่า “พี่สาวคนดี เรื่องนี้เกรงว่าคงไม่อาจจัดการอย่างเหมาะสมได้แล้ว ข้าเพียงขอร้องให้พี่สาวใช้โอกาสตอนที่ทุกคนยังไม่เห็นนี้ เร่งนำความไปแจ้งหม่าฟู่ซานพ่อบ้านของพวกข้าสักครั้ง ถ้าพวกนายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายถามขึ้นมา ข้าจะบอกว่าพี่สาวร้อนใจต้องไปหยิบกระดาษเฉิงซินครึ่งเตานั้นให้คุณชายใหญ่เจิ้ง พอชี้ทางให้เสร็จแล้วก็เร่งไปที่เรือนชั้นนอก…น้ำใจอันใหญ่หลวงของพี่สาว ไม่เพียงข้าที่จะจดจำเอาไว้ คุณหนูรองและคุณหนูใหญ่ของพวกข้าล้วนจะจดจำเอาไว้เช่นกัน แม้แต่นายท่านกับฮูหยินของพวกข้าก็จะตอบแทนพี่สาวด้วยเช่นกัน!” กล่าวจบ ก็โขกศีรษะดังกึกๆๆ ให้ชุ่ยหวน
ชุ่ยหวนใจสั่นสะท้าน ชั่วพริบตาสายตาที่มองชุนหว่านก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีก
ช่วงเวลาอันสั้นขนาดนี้ แต่สามารถกล่าวถ้อยคำที่เป็นทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งออกมา คิดแผนที่รอบคอบเช่นนี้ออกมาได้ ชุนหว่านสาวใช้ข้างกายของคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย
ตราบใดที่เป็นคนไม่ธรรมดา ก็ย่อมไม่มีวันเสื่อมถอยลงได้
นอกจากนี้นายท่านโจวยังปฏิบัติกับบุตรสาวทั้งสองคนอย่างทะนุถนอมที่หากเก็บเอาไว้ในปากก็กลัวละลาย ประคองเอาไว้ในอุ้งมือก็กลัวร่วงหล่น หากนางช่วยเหลือพวกนางในครั้งนี้ ก็จะเหมือนกับที่ชุนหว่านกล่าวมา นายท่านโจวย่อมไม่อยุติธรรมกับนาง ไม่ว่าอย่างไรก็จะคุ้มครองชีวิตของนางอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ด้วยเหตุนี้นางเองก็จะได้แสดงน้ำใจแห่งมิตรภาพระหว่างพี่สาวน้องสาวได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าคุณหนูเจียถามขึ้นมา นางเองก็จะได้ตอบได้อย่างฉะฉานมั่นใจ คุณหนูเจียจะได้ไม่รู้สึกว่านางเป็นคนที่ไม่มีกระดูกสันหลังผู้หนึ่ง
ชุ่ยหวนตัดสินใจได้ในทันทีทันใด
นางกล่าว “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไปแจ้งข่าวหม่าฟู่ซานเดี๋ยวนี้ เจ้านายถูกหลู่เกียรติบ่าวย่อมต้องตาย ข้าเองก็รับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูเจีย ข้อนี้ข้าย่อมเข้าใจดี”
หัวใจที่แขวนอยู่ของชุนหว่านได้วางลง
นางดึงปิ่นปักผมลายเมฆมงคลสีฟ้าที่โจวเสาจิ่นมอบให้นางเมื่อหลายวันก่อนออกมายื่นส่งให้ชุ่ยหวน “พี่สาว นี่มอบให้ท่านเอาไว้ใช้ติดสินบนคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู”
“ไม่ต้อง!” ครั้นชุ่ยหวนตัดสินใจแล้ว ก็เป็นคนที่ใช้การได้มากผู้หนึ่งเช่นกัน นางกล่าวขึ้นว่า “เจ้ากับข้าเป็นพี่สาวน้องสาวกัน หากคิดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรมากแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ชุนหว่านพยักหน้า
ชุ่ยหวนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งควัน
ชุนหว่านมองเบื้องหลังของนางที่ออกไปไกลแล้ว ก็ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง หมุนกายกลับไปหมายจะไปปลอบโยนโจวเสาจิ่นต่อ
แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับน้ำตาไหลพรากขณะจ้องมองนาง
นางร้อนใจ รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“เปล่าๆ” โจวเสาจิ่นกอดชุนหว่านเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างเสียใจว่า “ข้าขอโทษเจ้า!”
ชุนหว่านแสนดีขนาดนี้ แต่ชาติก่อนตนกลับทิ้งนางไว้ที่ซอยจิ่วหรู
ติดตามเจ้านายที่มีความผิด อีกทั้งยังถูกทิ้งเอาไว้อย่างใจดำ จะไปมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร
ชุนหว่านเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นขอโทษนางด้วยเรื่องเมื่อครู่นี้ นางเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “แม้แต่ชุ่ยหวนยังรู้ว่าหากเจ้านายถูกหลู่เกียรติบ่าวย่อมต้องตาย ข้าติดตามคุณหนูรองมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่รู้เจ้าค่ะ!”
จริงด้วย!
ชุนหว่านล้วนดีเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ตัวเองไม่เคยค้นพบมันเท่านั้น
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ กล่าวเสียงนุ่มว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คนของตระกูลเฉิงไม่อาจทำอะไรพวกเราได้ ยังมีท่านน้าฉืออีก! อย่างไรก็ตาม นำความไปแจ้งหม่าฟู่ซานเอาไว้ก็ดีเหมือนกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราคงไม่อาจอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปได้อีกแล้ว จะได้ไปฉลองปีใหม่ที่เป่าติ้งพอดี”
จะได้ไม่ต้องทนมองท่านน้าฉือแต่งภรรยาคลอดบุตรด้วย
นายท่านสี่มิใช่คนของตระกูลเฉิงหรืออย่างไร
ชุนหว่านวิพากษ์อยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นมีสีหน้าเชื่อมั่นเฉิงฉืออย่างหมดใจ อีกทั้งชุ่ยหวนก็นำความไปแจ้งหม่าฟู่ซานแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยคำพูดน่าหดหู่เหล่านั้นออกมา
ทางด้านโน้นพอจี๋อิ๋งเห็นเฉิงสวี่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม่มีแรงสวนหมัดกลับมาแล้ว ความกรุ่นโกรธในใจถึงได้เบาบางลงเล็กน้อย เตะเฉิงสวี่อีกสองครั้ง ถึงได้วางมือแล้วถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ามีแผนอะไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นกำลังจะกล่าว ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากตรงปากโพรงหิน
คนในโพรงหินหันไปมองด้านนอก เห็นใบหน้าตกใจเป็นล้นพ้นของอู๋เป่าจางใบหน้านั้นเข้าพอดี
นางคงมาดูเรื่องงามหน้าของตนกระมัง
ตอนนี้ไม่ได้เห็นเรื่องงามหน้า ทว่าได้เห็นพฤติกรรมอันน่าอับอายของเฉิงสวี่แทน ยังกรีดร้องดึงความสนใจให้ผู้อื่นมาร่วมด้วยอีก ด้วยนิสัยของหยวนซื่อแล้ว เกรงว่าคงไม่ปล่อยนางเอาไว้กระมัง
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด
ชาติก่อนปล่อยให้อู๋เป่าจางหนีไปแล้ว ทว่าชาตินี้นางกลับลงมาลุยโคลนตมนี้ด้วยตัวเอง จะโทษผู้ใดได้
จี๋อิ๋งขมวดคิ้ว
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปก่อนเถิด! ประเดี๋ยวก็น่าจะมีคนมาแล้ว” ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจจะรออยู่ตรงระหว่างทางอยู่แล้วก็เป็นได้ รอเพียงเสียงกรีดร้องนี้ของอู๋เป่าจางเท่านั้น “ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเอง!”
คนพวกนั้นกล้าเล่นงานนางเช่นนี้ มิใช่เพราะมองว่านางอ่อนแอกลั่นแกล้งได้หรอกหรือ
เช่นนั้นนางก็จะเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาก็แล้วกัน
อย่างไรเสียนางก็อยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
และนางก็ไม่อยากจะอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปแล้วเช่นกัน
ขณะที่จี๋อิ๋งกำลังจะลูบศีรษะกล่าวว่าตนไม่กลัวอยู่นั้น ก็มีหินก้อนเล็กกระเด็นมากระทบที่ต้นคอของนาง นางหมุนกายกลับไปด้วยอารมณ์ประหนึ่งเป็นปีศาจร้าย ก็เห็นใบหน้าที่ไม่แก่ชราลงเลยนับพันปีใบหน้านั้นของไหวซาน
นายท่านสี่อยู่แถวนี้!
นางพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วนางเพียงหยุดเฉิงสวี่เอาไว้ก็ได้แล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางของเฉิงสวี่แล้ว นางก็ควบคุมตัวเองไม่ได้…ไม่รู้ว่านายท่านสี่จะตำหนิตนหรือไม่ เนื่องจากเฉิงสวี่เป็นหลานชายของเขา…อย่างไรก็ตาม ต่อให้นายท่านสี่ตำหนิตน ตนก็อ้างได้ว่า ในเมื่อไหวซานเห็นแล้วยังไม่ว่าอะไร แล้วเขาจะเอาอะไรมาตำหนิที่ตนตีเฉิงสวี่อย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่งเล่า!
จี๋อิ๋งเปลี่ยนเป็นมีความมั่นใจขึ้นมา
ไหวซานจึงหันไปส่งสัญญาณมือให้นางครั้งหนึ่ง
จี๋อิ๋งพลันโมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไรขึ้นมา
………………………………………………………………….