ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 345 เกิดใหม่อีกครั้ง
จี๋อิ๋งยื่นมือไปคว้ามือของหยวนซื่อเอาไว้ กล่าวเสียงกังวานใสว่า “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านเป็นผู้อาวุโส ลงไม้ลงมือเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง”
“เจ้านับว่าเป็นตัวอะไร” หยวนซื่อถูกสาวใช้ผู้หนึ่งขัดขวางเอาไว้ นอกจากนี้สาวใช้ผู้นี้ยังเป็นสาวใช้ใหญ่ของน้องชายคนเล็กของสามีตัวเอง นางพลันเดือดดาลขึ้นจากความอับอาย ตะคอกเสียงดังว่า “เจ้าเองก็กล้ามายุ่มย่ามเรื่องของข้าด้วยแล้วหรือ! ตระกูลเฉิงไร้กฎระเบียบเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ขณะที่กล่าว ก็สอดส่ายสายตามองหาเฉิงฉือไปด้วย
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เดือดดาลอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นจี๋อิ๋งคิ้วที่ขมวดมุ่นนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา
นางไม่รอให้หยวนซื่ออ้าปาก ก็กล่าวเสียงเคร่งออกมาก่อนว่า “หยวนซื่อ ตอนนี้มิใช่เวลามาสืบสวนเรื่องพวกนี้ รีบไปเชิญท่านหมอมาช่วยดูอาการให้เจียซ่าน ถึงแม้จะพูดว่ามิใช่วันที่อากาศหนาวเย็นจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ปล่อยให้เจียซ่านนอนอยู่บนกระดานหินเช่นนี้ หากต้องลมหนาวจนล้มป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หยวนซื่อพลันลนลานขึ้นมาในทันที รีบสั่งบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “ไป รีบไปเชิญท่านหมอมา!” แล้วคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้งพร้อมกับกึ่งอุ้มเฉิงสวี่ขึ้นมา กล่าวเสียงร้อนรนว่า “เจียซ่านๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
แววตาของเฉิงสวี่เลื่อนลอย ราวกับมองเห็นเหตุการณ์โดยรอบทั้งหมดได้ไม่ชัดเจนนัก เมื่อถูกหยวนซื่อเรียกอย่างร้อนรนไปสองสามครั้ง ก็พึมพำกล่าวเสียงเบาออกมาสองสามประโยค
หยวนซื่อได้ยินไม่ชัด กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เจ้าพูดว่าอะไร ผู้ใดเป็นคนตีเจ้า เจ้ารีบบอกแม่มา แม่จะช่วยแก้แค้นให้เจ้าเอง!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วจึงเดินเข้ามาด้วยความขุ่นเคืองใจ
เฉิงสวี่ตะโกนเสียงดังคำหนึ่งว่า “เสาจิ่น” จากนั้นก็กล่าวงึมงำอะไรอีกก็ไม่อาจรู้ได้
คนในโพรงหินต่างหันไปมองที่โจวเสาจิ่นอย่างพร้อมเพรียงกัน
หยวนซื่ออยากจะหาของอะไรมาอุดปากเฉิงสวี่เอาไว้ยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่จำแนกองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าไม่ออกของเฉิงสวี่แล้ว นางก็รู้สึกร้าวรานใจขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นช่างเป็นตัวปัญหาจริงๆ หากมิใช่เพราะนาง บุตรชายจะมีเรื่องขัดแย้งระหองระแหงกับนางจนกลายมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
เฉิงสือกลับมองไปที่เฉิงเจิ้ง
เฉิงเจิ้งประหนึ่งไม่ได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเฉิงสือ มองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ
เฉิงสือแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
ผู้ที่ให้คนนำข่าวคราวมาเปิดเผยให้เขาในตอนแรกคือเฉิงเจิ้ง คนที่ช่วยเรียกให้โจวเสาจิ่นมาถึงที่นี่ก็เป็นเฉิงเจิ้ง ทว่าเรื่องราวในตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ เฉิงเจิ้งกลัวว่าเรื่องนี้จะแปดเปื้อนไปถึงตัวเขา จึงสลัดมือออกปัดความรับผิดชอบเสีย
ช่างเป็นคนต่ำช้าผู้หนึ่งเสียจริงๆ!
ไม่แปลกที่ท่านปู่ทวดจะย้ำเตือนเขามาโดยตลอดว่าคนจวนสามนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายเชื่อถือไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่านั่นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน ท่านปู่ทวดทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จนเกินไป แต่ดูจากตอนนี้แล้ว กลับเป็นตัวเขาที่รู้จักคนได้ไม่ถ่องแท้ ถูกเฉิงเจิ้งเล่นงานเข้าให้แล้ว
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้เขาวางมือยอมแพ้ในเวลานี้ แต่เกรงว่าจวนหลักคงไม่ยอมปล่อยไปเป็นแน่
เฉิงเจิ้งผู้โง่เขลาคนนี้จะรู้หรือไม่ว่าโอกาสเช่นนี้หาได้ยากเย็นเพียงใด!
หากจัดการเฉิงสวี่ได้ ต่อไปต่อให้เขากลายเป็นผู้นำตระกูลแล้ว เขาก็ไม่อาจเอาชนะใจฝูงชนได้ แล้วก็ไม่อาจกุมอำนาจทุกอย่างของตระกูลเอาไว้ในมือเหมือนอย่างที่ผู้นำตระกูลเฉิงหลายรุ่นก่อนหน้านี้ทำได้ ถึงเวลานั้นผู้นำตระกูลของตระกูลเฉิงผู้นี้ก็จะเป็นได้เพียงแต่ผู้นำในนามเท่านั้น ต่อให้จวนหลักจะมีจิ้นซื่อเพิ่มมาอีกกี่คน ก็ไม่อาจกดทับจวนรองจนมิดทุกด้านอีกต่อไปแล้ว
สำหรับจวนรองของพวกเขาแล้ว นี่เป็นแผนการที่ยิ่งใหญ่และสำคัญต่อคนรุ่นหลังของพวกเขานัก!
มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ลูกหลานรุ่นหลังจากนี้ของจวนรองถึงจะมีวันได้ชูคอขึ้นมาได้!
ดวงใจของเขากระตุกวูบ มองไปที่บิดาครั้งหนึ่ง
เฉิงอี๋พยักหน้าน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น
ส่วนโจวเสาจิ่นที่อยู่ภายใต้ความสนใจของสายตาที่มากมายนั้นเริ่มแรกห่อไหล่เล็กน้อย แต่ไม่นานนางก็ยืนยืดตัวขึ้นตรง ประหนึ่งต้นสนที่หันหน้าปะทะลมอยู่ข้างหน้าผา สีหน้าค่อยๆ สงบลงมา
เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
เฉิงลู่จับจ้องด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์
โจวเสาจิ่นกลายเป็นคนที่กล้าหาญขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
นางเอาความเชื่อมั่นมาจากที่ใด
สายตาของเฉิงลู่ไปหยุดอยู่บนร่างของเฉิงฉือ นัยน์ตามีเมฆดำทะมึนสายหนึ่งวาบผ่าน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินไปยังเบื้องหน้าของเฉิงสวี่ราวกับไม่เห็นความผิดปรกติของทุกคน ย่อตัวลงจับมือของเฉิงสวี่เอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่จิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ลงมือทุบตีเจียซ่านจนเป็นเช่นนี้ แม้แต่สติสัมปชัญญะก็เลอะเลือนไปหมด…” ขณะที่นางกล่าว ก็เงยหน้าขึ้นมาถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นพลันหน้าแดงขึ้นมา อ้าปากพะงาบอย่างไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่ชายสวี่ของเจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่วางใจให้เขากลับไปอยู่ที่เรือนตัวจย้า ช่วงที่ผ่านมาป้าสะใภ้ใหญ่จิงของเจ้าไม่อยู่บ้าน เรื่องภายในเรือนของข้าล้วนเป็นเจ้าที่ช่วยจัดการให้ จึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยมากไปกว่าเจ้าแล้ว อีกครู่หนึ่งกว่าท่านหมอจะมาถึง พวกเราไม่อาจปล่อยให้พี่ชายสวี่ของเจ้านอนอยู่ตรงนี้เช่นนี้ได้ เจ้ารีบกลับไปที่เรือนหานปี้ซาน เอาฉากกั้นออกมาทำความสะอาดและจัดวางให้เรียบร้อย ให้พี่ชายสวี่ของเจ้าพักรักษาตัวที่เรือนของข้า!”
ช่างสมกับเป็นคนให้กำเนิดนายท่านสี่ผู้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ผู้นั้นออกมาจริงๆ!
จี๋อิ๋งเกือบจะเปล่งเสียงโห่ร้องแซ่ซ้องฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปแล้ว
คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถเปลี่ยนเรื่องที่เฉิงสวี่มักมากให้กลายเป็นความห่วงใยที่มีต่อโจวเสาจิ่นแทนได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ถามว่า เสาจิ่น เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ นั้น คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงของเรื่องราวได้ยินแล้วจะต้องเข้าใจว่าเฉิงสวี่เป็นวีรบุรุษมาช่วยหญิงงามเอาไว้เป็นแน่…ไม่แปลกที่คนที่บ้านของพวกนางต่างเอาชนะนายท่านสี่ไม่ได้ เพราะความจริงแล้วนายท่านสี่ได้เรียนรู้มาจากในบ้านนี่เอง!
นางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างชื่นชม คิดว่าตนควรจะไปรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไปเรียนรู้วิธีรับมือนายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักหน่อยดีหรือไม่…
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป
ไม่ว่าจะเป็นนางที่ทุบตีเฉิงสวี่ก็ดี หรือฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการลงโทษนางก็ดี แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องระหว่างพวกนาง นางไม่อยากให้จวนรองกับจวนสามที่มีวัตถุประสงค์แอบแฝงได้เห็นเรื่องครึกครื้น และยิ่งไม่อยากให้อู๋เป่าจางและเฉิงลู่ได้เห็นเรื่องครึกครื้น
นางขานรับอย่างเชื่อฟัง จับชุนหว่านเอาไว้หมุนกายหมายจะเดินจากไป
แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลับมีเสียงตะโกนของเฉิงอี๋ดังมาจากด้านหลังว่า “หลานสาวตระกูลโจว รบกวนหยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่งก่อน!”
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างช่วยไม่ได้ ครุ่นคิดว่าจะเดินจากไปเช่นนี้เลยดีหรือไม่ อย่างไรเสียที่นี่ก็มีท่านน้าฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นหลักอยู่ มีเรื่องอะไรก็ไม่ถึงคราวของนางต้องออกหน้าอยู่แล้ว…แต่ใครจะรู้ว่าพอฝีเท้าของนางหยุดลงเล็กน้อยนั้น เฉิงอี๋ก็คาดเดาความคิดของนางได้
เฉิงอี๋เดินออกมาอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงดังว่า “หลานสาวตระกูลโจว เจียซ่านเป็นเจี้ยหยวนคนแรกของตระกูลพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบเก้าปีเท่านั้น มีอนาคตที่ประเมินค่ามิได้ เรือนชั้นในที่อยู่ลึกของจวนหลังนี้ อย่างอื่นไม่กล้าเอ่ยถึง แต่พวกอันธพาลไม่มีทางเข้ามาได้เป็นแน่ ถึงแม้เจียซ่านจะเป็นบัณฑิตเรียนหนังสือ แต่ก็เคยเชิญอาจารย์มาสอนวิชาหมัดมวยป้องกันตัวที่บ้านมาก่อน จะถูกทุบตีจนไม่มีแรงจะต้านทานเลยได้อย่างไร ภายในโพรงหินนี้ก็มีพวกเจ้าเพียงสามคนเท่านั้น อย่างไรก็คงต้องรบกวนให้หลานสาวช่วยบอกข้าว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คงไม่อาจปล่อยให้เจียซ่านถูกคนทุบตีไปเปล่าๆ เช่นนี้ และก็ไม่อาจอยุติธรรมต่อหลานสาวด้วย”
คำพูดของเขากล่าวได้อย่างมีความยุติธรรม ทว่ากลับเป็นดั่งหมอนที่ซ่อนเข็มเอาไว้ หากโจวเสาจิ่นพูดความจริงออกไป คาดว่าชื่อเสียงที่ว่าเป็นผู้ไร้คุณธรรมไม่เอาไหนคงได้เป็นเสมือนเงาติดตัวเฉิงฉือไปตลอดชีวิตเป็นแน่ แต่ถ้านางช่วยปิดบังให้เฉิงสวี่ เฉิงอี๋ก็จะโจมตีนางได้ โดยบอกว่านางมานัดพบกับใครสักคนที่นี่แล้วถูกเฉิงสวี่มาพบเห็นเข้า เป็นเหตุให้เฉิงสวี่ได้พบกับหายนะโดยไม่คาดคิด!
ความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ แม้แต่เฉิงเวิ่นที่ได้ยินแล้วยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร นับประสาอะไรกับเฉิงฉือ
เขาหรี่ตาลง เดินออกมาอย่างช้าๆ กล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพี่ชายอี๋รับประกันว่าคนนอกเข้ามาไม่ได้ ข้าเห็นว่ามีเรื่องอะไรก็รอให้เจียซ่านฟื้นแล้วค่อยพูดกันจะดีกว่ากระมัง เสียงดังอึงคะนึงเช่นนี้ อย่างไรก็ถามหาเหตุผลออกมาไม่ได้อยู่ดี” จากนั้นกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ากลับเรือนหานปี้ซานไปก่อนก็แล้วกัน!”
ไม่ง่ายเลยกว่าโจวเสาจิ่นจะสะกดกลั้นความยินดีในใจเอาไว้ได้ ดึงตัวชุนหว่านพร้อมกับหันไปส่งสายตาให้จี๋อิ๋งครั้งหนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก
แน่นอนว่าเฉิงอี๋ไม่ยินยอม
เขาตะโกนเรียกเสียงดังว่า “หลานสาวตระกูลโจว”
หยวนซื่อโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
นี่น้องสี่หมายความว่าอย่างไร
เหตุใดถึงเป็นคนปล่อยตัวโจวเสาจิ่นไป
หากเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเจียซ่านขึ้นมาจะทำอย่างไร
นางได้ยินแล้วก็หมายจะลุกยืนขึ้นมา
เพียงแต่นางเพิ่งจะขยับร่าง ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวดึงตัวเอาไว้
นางหันศีรษะกลับมาอย่างไม่เข้าใจ เห็นสายตาดุดันที่พยายามระงับความโกรธเอาไว้ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
“สมองของเจ้าถูกสุนัขกัดกินไปหมดแล้วหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระซิบกล่าวเสียงเบา “ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสาจิ่นไม่สืบสาวหาความก็ถือว่าใจดีมากแล้ว เจ้ายังอยากจะให้เป็นอย่างไรอีก เจียซ่านยังเสียหน้าไม่พออีกหรือ”
หยวนซื่อกระซิบกล่าวแก้ต่างอย่างดื้อดึงว่า “เจียซ่านของพวกเราเป็นคนที่ใกล้จะหมั้นหมายแล้ว จะคบหากับโจวเสาจิ่นได้อย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเป็นโจวเสาจิ่น…”
ภายใต้แววตาเฉียบคมของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางก้มหน้าลง น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบจะไม่ได้ยิน
โจวเสาจิ่นแสร้งไม่ได้ยินคำพูดของเฉิงอี๋ประหนึ่งคนหูหนวก
นางไม่เพียงไม่หยุดฝีเท้าลง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มความเร็วมากขึ้นเดินออกจากโพรงหินไป
ภายนอกโพรงหินนั้นมีพระอาทิตย์แรงกล้าของฤดูใบไม้ร่วง บนพื้นเต็มไปด้วยใบแปะก๊วยสีเหลืองอร่าม ทำให้อากาศที่หนาวเย็นดูความอบอุ่นมากขึ้นหนึ่งส่วน
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ครั้งหนึ่ง
เดินออกมาจากโพรงหินอันมืดสลัวและชื้นแฉะโพรงนั้นมาอย่างปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย สัมผัสได้ถึงแสงแดดที่ทะลุผ่านกิ่งไม้ลงมาบนร่างของนางจนทิ้งเงาเป็นดวงๆ เอาไว้ นางรู้สึกราวกับตัวเองได้เกิดใหม่อีกครั้งก็ไม่ปาน
เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่ในวันนั้นแล้ว วันนี้ทำให้นางสัมผัสถึงการเกิดใหม่อีกครั้งได้ชัดเจนกว่าเสียอีก
นางยิ้มขณะที่คล้องแขนของชุนหว่านเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปจัดเตรียมฉากกั้นห้องให้พี่ชายสวี่กัน!”
รอยยิ้มที่แย้มออกมาจากใจของโจวเสาจิ่น ดูงดงามสุกใสยิ่งกว่าแสงแดดของพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงเสียอีก
ชุนหว่านมองอย่างตกตะลึงจิตใจเลื่อนลอย
จี๋อิ๋งกลับตะเบ็งเสียงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ายังจะไปจัดเตรียมห้องให้เขาอีก เจ้าช่วยมีจุดยืนสักหน่อยได้หรือไม่!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ดวงตาและคิ้วโก่งโค้งดูประหนึ่งพระจันทร์เสี้ยว ดูสงบและสง่างาม “จุดที่ต้องให้อภัยก็ควรให้อภัย ข้าได้แก้แค้นไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปคิดบัญชีเรื่องอื่นแล้ว” กล่าวจบ นางหันไปขยิบตาให้จี๋อิ๋งอย่างทะเล้น “ข้าไม่ได้จะไปจัดเตรียมห้องให้เขาสักหน่อย ข้าไปจัดเตรียมฉากกั้นห้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าต่างหาก!”
จี๋อิ๋งหัวเราะฮ่าเสียงดังลั่น กล่าวขึ้นอย่างมีความสุขว่า “ได้! พวกเราไปจัดเตรียมฉากกั้นห้องให้ไอ้คนสารเลวผู้นั้นกัน!”
ดึงตัวโจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปยังเรือนหานปี้ซาน
เช่นนี้จะดีหรือ
ชุนหว่านเดินตามหลังคนทั้งสองไปด้วยดวงใจที่หนักอึ้ง
รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายท่านสี่ฉือกลับมาถึงเรือนหานปี้ซานแล้ว ยังจะมีผลไม้ดีๆ ให้พวกนางได้กินอีกหรือ
เหตุใดพ่อบ้านหม่าถึงยังไม่มาสักที!
นางเดินอย่างรีรออยู่ด้านหลังสุด กว่าครู่ใหญ่โจวเสาจิ่นถึงได้สังเกตเห็นว่าชุนหว่านไม่ได้ตามมาด้วย นางหันไปตะโกนเรียกชุนหว่านยิ้มๆ ว่า “เร็วเข้า!”
ชุนหว่านร้อง “อ้อ” คำหนึ่ง แล้วถึงได้เร่งฝีเท้าตามไป
แต่เฉิงอี๋ที่อยู่ในโพรงหินกลับโกรธจนหน้าเผือดสี
เขากล่าวกับเฉิงฉือว่า “น้องชายฉือ ข้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อพวกเจ้า! เจียซ่านเป็นหลานชายคนโตของจวนหลักของพวกเจ้า! เจ้าจะปล่อยให้เขานอนอยู่บนพื้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้หรือ นี่หากว่าพี่ชายจิงมาเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดใจเพียงใด!”
เฉิงอี๋หันไปมองหยวนซื่อ
หยวนซื่อกัดริมฝีปาก สีหน้าดูไม่สงบเล็กน้อย
เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ใบหน้าดูสงบนิ่งไม่เปลี่ยน
นัยน์ตาของเฉิงฉือมีลำแสงจางๆ สายหนึ่ง แล้วก็จางหายไปในชั่วพริบตา
เขาไม่ตอบคำของเฉิงอี๋ สายตากลับมองกวาดไปที่เฉิงหลูและคนอื่นๆ ทีละคนๆ กล่าวเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”
มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย เฉิงเก้าและคนรุ่นเด็กคนอื่นๆ ต่างก้มศีรษะลง
เฉิงสือกลับใช้หางตาชำเลืองมองไปที่เฉิงเจิ้งครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงเจิ้งก้มหน้าจนตาชิดจมูก จมูกชิดหน้าอก ไม่รู้ว่าระมัดระวังตัวมากเพียงใด
เขาแสยะยิ้มที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงหลูกล่าวขึ้นว่า “เจ้าให้หลานสาวตระกูลโจวเดินจากไปเช่นนี้ ไม่ค่อยถูกต้องอยู่บ้างจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม หลานสาวตระกูลโจวเป็นสตรีบอบบางอ่อนแอผู้หนึ่ง อีกทั้งอุปนิสัยก็ดีงาม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเป็นนางที่ลงไม้ลงมือได้ รอให้เจียซ่านฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยสอบถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้!”
เขาพูดอย่างจริงใจยิ่งนัก
…………………………………………………………..