ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 371 ถึงเมืองหลวง
วันต่อมา เฉิงฉือมาเยี่ยมเยียนกล่าวทักทายหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากส่งเฉิงฉือออกไปแล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้องว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบนายท่านสี่เฉิงที่นี่ เขาเองก็จะไปจิงเฉิงเช่นกัน พวกเราได้ร่วมทางไปด้วยกันพอดี เขาเดินทางไปมาระหว่างจิงเฉิงกับจินหลิงอยู่บ่อยๆ ระหว่างทางมีคนคอยช่วยดูแลสักคนหนึ่ง”
ความทรงจำที่โจวชูจิ่นมีต่อท่านน้าฉือผู้นี้มีเพียงเล็กน้อยอย่างผิวเผินเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกว่ามีก็ได้ไม่มีก็ได้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับลอบยินดีอยู่ในใจ ตกกลางคืนให้ซางมามาไปสืบเรื่องของเซียวเจิ้นไห่ “เขาไม่ต่อต้านท่านน้าฉือจริงๆ แล้วใช่หรือไม่”
เรื่องเมื่อวานนั้นซางมามาเองก็อยู่ด้วย นางคิดว่าในเมื่อนายท่านสี่พูดแล้วว่าเมื่อมีเวลาว่างจะเล่าเรื่องพรรคเจ็ดดาราให้คุณหนูรองฟัง เช่นนั้นบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังคุณหนูรองแล้ว
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลเซียวยอมจำนนทั้งตระกูลแล้ว มีเพียงเขาที่พาผู้อาวุโสของตระกูลเซียวสองสามท่านหนีออกมา นิสัยของนายท่านสี่นั้นคนในยุทธภพต่างทราบกันดี หากเจ้ามีจิตใจแน่วแน่ไม่รวนเร ร่วมทางไปด้วยกันจนถึงที่สุด ตายไปแล้วนายท่านสี่จะสร้างหลุมฝังศพให้เขาด้วยตัวเอง แต่หากเจ้าหักหลังกลางคันหรือระหว่างทางลอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างลับๆ เช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไรแล้ว”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไรนั้นคืออะไรหรือ”
แน่นอนว่าซางมามาย่อมไม่บอกความจริงกับนาง
หากบอกความจริงไป เกรงว่าเด็กสาวที่เติบโตอยู่ในห้องหอมาตลอดอย่างนางนับจากนี้ไปเมื่อเจอนายท่านสี่คงจะหวาดกลัวจนเอาแต่หลบเลี่ยงเป็นแน่
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงต้องลงโทษอย่างหนักสักครั้งหนึ่ง อย่างการเชือดไก่ให้ลิงดูประเภทนั้นเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เป็นสัญญาณบอกว่าเข้าใจแล้ว
ซางมามาจึงกล่าวต่อยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นเซียวเจิ้นไห่จึงไม่น่าจะเล่นแง่อะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ ต้องรู้ว่า คนในยุทธภพนั้นให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีเป็นที่สุด หากไร้ซึ่งศักดิ์ศรีแล้ว จะยังอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร”
นอกจากนี้ยังมีตระกูลเซียวทั้งตระกูลเป็นตัวประกันให้เขาอยู่ เขาจึงไม่กล้าหักหลังนายท่านสี่
โจวเสาจิ่นยังคงเป็นกังวลใจอยู่เล็กน้อย กล่าวอย่างลังเลว่า “ต่อไปคงไม่มีผู้ใดมาสร้างความลำบากให้ท่านน้าฉือแล้วกระมัง”
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เตรียมตัววางมือเอาไว้นานแล้ว ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ก็คงจะไม่ทยอยปล่อยตัวคนรับใช้ข้างกายออกไปเช่นนั้น ท่านยังจำหมิงเฮ่อได้หรือไม่ ฝีมือของนางก็ดีมาก เติบโตอยู่ที่ตระกูลฉินมาตั้งแต่เล็ก วิชาหมัดมวยที่นางเรียนก็เป็นวิชาลับเฉพาะของตระกูลฉิน ถูกนายท่านสี่จับให้แต่งงานกับนายท่านเจ็ดเสิ่นนานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้างกายนายท่านสี่จะไม่มีคนได้อย่างไร นายท่านสี่จัดการเก็บกวาดเหล่าตระกูลจอมยุทธ์ของทางเหนือก็เริ่มจากตระกูลสองตระกูลนี้ ที่ผ่านมาพวกเราเคลื่อนไหวอยู่ทางใต้เท่านั้น” ขณะที่นางกล่าว ดวงตาฉายแววฉงนสนเท่ห์ออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านสี่ถึงเปลี่ยนใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะไปตั้งรกรากอยู่ที่ใด”
โจวเสาจิ่นห่อไหล่อย่างห้ามไม่อยู่
หากมิใช่เพราะนางไปบอกว่าตระกูลเฉิงจะถูกลงโทษทั้งตระกูล เกรงว่าท่านน้าฉือก็คงจะเหมือนกับชาติก่อน ได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไปตั้งนานแล้ว ทว่าตอนนี้เพราะคำพูดเพียงหนึ่งประโยคของนางกลับต้องมาข้องเกี่ยวกับคนดุร้ายอำมหิตอย่างเซียวเจิ้นไห่เช่นนี้…นางทั้งตระหนกตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ตระหนกตกใจที่เพราะคำพูดหนึ่งประโยคของนางเป็นเหตุให้เฉิงฉือเปลี่ยนการตัดสินใจและเสียสละตัวเองอย่างใหญ่หลวงขนาดนี้ และที่ดีใจคือเฉิงฉือเชื่อมั่นในตัวนางมากถึงเพียงนี้
นางไม่ถามเรื่องของเฉิงฉืออีก พูดคุยเจื้อยแจ้วกับพี่สาวและหยอกล้อเล่นกับโจวโย่วจิ่นไปตลอดทาง รู้สึกว่าไม่นานก็มาถึงจิงเฉิงแล้วอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากบ้านของตระกูลเลี่ยวและบ้านของตระกูลเฉิงล้วนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง พวกเขาจึงเข้าเมืองทางประตูตะวันตก
มีพ่อบ้านเข้าเมืองมาแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เลี่ยวเส้าถังรอพวกนางอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากประตูตะวันตก
เห็นเฉิงฉือมาพร้อมกับพวกนาง เขารีบก้าวออกไปคำนับ เปล่งเสียงเรียกคำหนึ่งว่า “ท่านน้า”
เฉิงฉือทำเพียงพยักหน้าให้เลี่ยวเส้าถัง เอ่ยขึ้นว่า “บ้านของข้าอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ไม่ไกลจากบ้านของพวกเจ้านัก หากเจ้ามีเรื่องลำบากอะไรก็มาหาข้าได้!”
เลี่ยวเส้าถังขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
เฉิงฉือจึงแยกย้ายกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ตรงหน้าประตูตะวันตก ล่วงหน้าเข้าเมืองไปก่อน
โจวเสาจิ่นอยู่บนรถม้ามองเฉิงฉือจากไปอย่างเงียบๆ จากนั้นถึงได้กวาดสายตามองไปที่ประตูเมืองหินอ่อนแกะสลักเป็นระลอกคลื่นบานนั้น
นางมาถึงจิงเฉิงแล้วจริงๆ!
มาถึงจิงเฉิงเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่มาเกือบจะสิบปีนั้นแล้ว!
นางอยากไปดูวัดโจคัง ไปดูแถวต้าซิง ไปดูบ้านที่นางเช่าอยู่ในปีนั้น…
โจวเสาจิ่นปล่อยผ้าม่านลง ขอบตารื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
ชาติก่อน ชีวิตนางขมขื่นถึงเพียงนั้น แต่ชาตินี้นางได้พบท่านน้าฉือแล้วกลับหอมหวานยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นไม่สนใจคำทัดทานของเลี่ยวเส้าถัง ไปนั่งเบียดอยู่ในรถม้าคันเดียวกับหลี่ซื่อและโจวโย่วจิ่น ปล่อยให้พี่สาวกับพี่เขยได้พูดคุยส่วนตัวกันอย่างสะดวกขึ้นสักหน่อย
บ้านที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวซื้อให้เลี่ยวเส้าถังกับโจวชูจิ่นตั้งอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่ เป็นเรือนประสานสองวง มีสิบกว่าห้อง เหมาะกับให้โจวชูจิ่นสองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้มีหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นมาอยู่ด้วยจึงดูคับแคบไปเล็กน้อย โชคดีที่เจ้านายจริงๆ มีเพียงห้าถึงหกคนเท่านั้น พวกบ่าวไพร่ก็เบียดเสียดกันสักหน่อย บ้านหลังเล็กก็เลยดูคึกคักขึ้นมาไม่น้อย
หลี่ซื่อกับโจวโย่วจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก
ส่วนโจวเสาจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนด้านหลัง
คนที่พาพวกนางไปที่ห้องพักเป็นสตรีแต่งงานแล้วจากจิงเฉิง รูปร่างสูงปานกลาง ผิวขาวอ้วนท้วน แต่งกายเรียบร้อย ตระกูลของสามีแซ่หยาง หยางเสียวจิ่วผู้เป็นบุตรชายเป็นบ่าวชายของเลี่ยวเส้าถัง หยางซานหลางผู้เป็นสามีเป็นคนขับรถม้าให้เลี่ยวเส้าถัง ส่วนนางรับผิดชอบดูแลเรือนชั้นใน เป็นคนวิ่งทำธุระต่างๆ ให้คนภายในบ้าน
นางพูดสำเนียงจิงเฉิง เจอหน้ากันเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อก็พรั่งพรูเล่าเรื่องของตัวเองออกมาจนหมดประหนึ่งเทเมล็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองเพิ่งมาถึง หากมีอะไรที่ไม่ทราบก็สอบถามข้าได้ทุกอย่าง ข้าเติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เล็กเจ้าค่ะ” ต้อนรับผู้คนด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ ไม่กล่าวอะไรเพิ่ม หันไปมองห้องพักของตัวเอง
พื้นกระเบื้องหิน จุดท่อทำความร้อนใต้ดินเอาไว้ ด้วยกลัวว่านางจะไม่คุ้นชิน จึงวางเตียงนอนขนาดเล็กเอาไว้บริเวณตรงข้ามกับตั่งอิฐขนาดใหญ่ข้างหน้าต่างด้วย ทั้งประณีตและงดงามยิ่ง
พี่เขยยังคงไม่ต่างจากชาติก่อน ทั้งละเอียดและรอบคอบ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนคิดพิจารณาได้อย่างรอบด้าน
นางให้ฝานหลิวซื่อตกเงินรางวัลให้หยางมามา ปล่อยให้ชุนหว่านจัดเก็บห้อง ส่วนตัวเองเอนกายนอนพักอยู่บนตั่งครู่หนึ่ง
ผู้ใดจะรู้ว่าขณะที่นางกำลังสะลึมสะลือจะหลับมิหลับแหล่อยู่นั้น โจวชูจิ่นกลับแบกท้องโย้เดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปประคองพี่สาวให้นั่งลงบนตั่งอิฐ เอ่ยขึ้นอย่างตำหนิว่า “ท่านพี่มีเรื่องอะไรเพียงตะโกนเรียกให้ข้าไปหาก็ได้แล้ว เหตุใดต้องเดินมาเองด้วยเจ้าคะ”
สีหน้าของโจวชูจิ่นดูเคร่งเครียดเล็กน้อย โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตึก ไม่เพียงแค่นั้น โจวชูจิ่นยังไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไปด้วย เอ่ยกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้านั่งลงเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า!”
หรือว่าเรื่องที่จุดพักม้าจะถูกเปิดเผยออกไปแล้ว?
โจวเสาจิ่นนั่งลงเคียงข้างพี่สาวอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
โจวชูจิ่นกระซิบกล่าวกับนางว่า “เมื่อครู่พี่เขยของเจ้าบอกข้าว่า เนื่องด้วยความประพฤติที่มิชอบของเฉิงลู่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาจึงถอนยศซิ่วไฉของเขาคืน ใช้งานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพื่อติดสินบนน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาแล้วเขานำทรัพย์สินของครอบครัวออกไปขายจนหมด ตอนนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนสักที่ก็ยังไม่มี เอามารดาของตัวเองไปทิ้งไว้ที่อารามชี ส่วนตัวเองหนีหายสาบสูญไปแล้ว ตระกูลเฉิงคงจะถอดถอนชื่อเขาออกจากตระกูล…”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก จนยากที่จะปกปิดความตกตะลึงเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ เฉิงลู่…เอามารดาไปทิ้งไว้ที่อารามชีส่วนตัวเองหนีไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเขากตัญญูต่อมารดาของเขาเป็นอย่างยิ่งหรอกหรือ ไหนจะเรื่องติดสินบนน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษานั่นอีก มันเรื่องอะไรกันแน่ ในเมื่อติดสินบนแล้ว จะถูกถอนยศถอนตำแหน่งอีกได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าเบาเสียงลงหน่อยเถิด!” โจวชูจิ่นรีบหันไปมองรอบๆ อย่างร้อนรน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแล้ว ถึงได้กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เห็นว่าเป็นเพราะเฉิงลู่รู้ว่ามีคนต้องการริบตำแหน่งซิ่วไฉของเขา จึงให้ต่งซื่อแกล้งป่วย เพื่อขอลากลับจินหลิงกับสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ หลังจากไกล่เกลี่ยกันหลายรอบแต่ก็ไม่สำเร็จแล้ว เขาจึงคิดจะใช้วิธีที่เด็ดขาดกว่านั้น คิดหาวิธีติดสินบนน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษา หมายจะติดสินบนเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผ่านน้องชายของภรรยา ผู้ใดจะรู้ว่าน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นจะเป็นคนละโมบโลภมากผู้หนึ่ง เขาจำต้องนำทรัพย์สมบัติของตระกูลไปขายครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งขายสมบัติของตระกูลจนไม่เหลือ ไม่อาจนำเงินออกมาได้อีกแล้ว น้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นถึงได้พอใจ รับปากว่าจะช่วยเหลือเขา แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเขายังคงถูกริบยศตำแหน่งไปอยู่ดี…
…เฉิงลู่ไม่ยอม ไปหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาเพื่อคิดบัญชี แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นได้ฟังก็เดือดดาลเป็นอย่างมาก บอกว่าตัวเองไม่มีน้องชายฝั่งภรรยา บอกว่าต่อให้เฉิงลู่คิดจะทำลายชื่อเสียงของเขาก็ให้หาข้ออ้างที่น่าเชื่อถือกว่านี้ จากนั้นไล่เขาออกไป ระบุเหตุผลในการริบยศตำแหน่งของเฉิงลู่เพิ่มเติมเข้าไปว่าเพราะเฉิงลู่ประพฤติตนมิชอบ รายงานขึ้นไปที่กรมพิธีการ ทำให้เฉิงลู่ไม่ถูกแต่งตั้งอีกต่อไป…
…เวลานั้นเขาสับสนมึนงงไปหมด เดินออกมาจากที่ทำการอย่างโซซัดโซเซ เมื่อไปสืบดู ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นไม่มีน้องชายฝั่งภรรยาจริงๆ…
…เฉิงลู่ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะสืบเรื่องราวจนกระจ่างแจ้ง มีน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาที่ไหนกัน เขาถูกผู้อื่นหลอกเสียแล้ว!…
…หลังจากตระกูลเฉิงทราบเรื่องแล้ว ก็อยากจะถอดถอนชื่อของเขาออกจากตระกูล…
…พอเขาได้ยินก็หนีไปในคืนนั้นเลย…
…ต่งซื่อผู้นั้นตามหาตัวเขาหลายวันก็หาไม่เจอ ทว่ากลับมีคนมายึดบ้านแทน…
…ที่แท้เฉิงลู่นำบ้านไปจำนองกับผู้อื่นโดยไม่บอกต่งซื่อ ก่อนหน้านี้ผู้อื่นเห็นแก่ซอยจิ่วหรูจึงไม่กล้าไปบีบบังคับยึดมา ตอนนี้ซอยจิ่วหรูกำลังจะถอดถอนชื่อของเฉิงลู่ออกไปแล้ว คนพวกนั้นจึงไม่ต้องระมัดระวังอะไรอีก…
…แน่นอนว่าต่งซื่อนั้น มีแต่ท่านยายต้องนำเงินออกมาช่วยไถ่ถอนบ้านกลับมาให้นางเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำอะไรได้…
…ต่งซื่อร้องห่มร้องไห้ต่อว่าฟ้าดินไปคำรบหนึ่ง อยากให้ท่านยายรับนางเอาไว้…
…ท่านยายผลักนางไปให้จวนห้า…
…ท่านป้าใหญ่เวิ่นนั้น นับตั้งแต่ที่ต่งซื่อนำทรัพย์สินมาฝากไว้ในนามของจวนสี่ นางก็จดจำเอาไว้ในใจมาโดยตลอด เมื่อมีโอกาสแล้วไม่เหยียบต่งซื่อซ้ำอีกสักสองสามที ในใจของนางจะมีความสุขได้อย่างไร…
…ท่านป้าใหญ่เวิ่นไม่เพียงไม่รับนางเอาไว้ ในทางตรงกันข้ามกลับพาต่งซื่อไปส่งที่อารามชี…
…ต้องรู้ว่า อารามชีก็มิใช่จะรับคนเอาไว้โดยไม่ต้องทำอะไร…
…ตอนนี้ต่งซื่อต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างทุกวัน จากนั้นก็ช่วยกันกวาดอารามชี ปลูกผักและรดน้ำต้นไม้พร้อมกับคนอื่นๆ นางนั้นคุ้นชินกับการเป็นนายหญิงของบ้าน มือเท้าไหนเลยจะว่องไวเท่าคนที่ทำงานพวกนี้จนชินแล้วเหล่านั้นได้ ทุกๆ วันล้วนรอให้ผู้อื่นกินข้าวเที่ยงจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้ไปกินข้าวบ้าง อีกทั้งอารามชียังมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่รับประทานอาหารหลังช่วงบ่าย นางจึงมักจะหิวจนต้องตื่นมาดื่มน้ำเปล่ากลางดึกอยู่บ่อยๆ ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ต่งซื่อผู้นั้นก็ผอมจนไม่เหลือรูปร่างแล้ว…ตอนนี้ผู้คนในเมืองจินหลิงต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความอกตัญญูของเฉิงลู่!”
“คนชั่วย่อมได้รับผลของคนชั่วแล้วจริงๆ!” โจวเสาจิ่นพนมมือทั้งสองข้างขึ้น กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “นี่ก็เป็นผลกรรมของเฉิงลู่!”
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วลังเลไปครู่หนึ่ง กดเสียงลงต่ำเอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าว่า นี่จะเป็นฝีมือของท่านน้าฉือหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตกตะลึงงัน
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างตริตรองว่า “เจ้าลองตรองดู เฉิงลู่ก็มิใช่คนประมาทเลินเล่อขนาดนั้น ว่ากันว่าก่อนที่เขาจะติดสินบนน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษายังเคยคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นสองสามประโยค เวลาคนที่ทำการหยาเหมินเจอน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการศึกษาผู้นั้นต่างก็ล้วนพยักหน้ากล่าวทักทายเขาด้วยกันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นเฉิงลู่ก็คงจะไม่ติดกับดักถูกผู้อื่นลวงหลอกได้หรอกกระมัง! ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้บังเอิญมากเกินไป ไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นโดยสัญชาตญาณว่า “แล้วพี่เขยว่าอย่างไรบ้าง”
โจวชูจิ่นถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องเช่นนี้ ข้าจะพูดกับพี่เขยของเจ้าได้อย่างไร เขาก็เพียงรู้สึกเวทนาเฉิงลู่เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ กลับอดทนต่อคลื่นและลมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเห็นว่าเป็นคนของตระกูลเฉิง ฉะนั้นถึงได้เอามาเล่าให้ข้าฟัง”
โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างเก้อเขิน
นางยังคงเหมือนกับชาติที่แล้ว ที่เวลาเจอเรื่องอะไรก็มักจะคอยฟังความเห็นของเลี่ยวเส้าถังอยู่เสมอ
ทว่าลืมไปว่าชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันแม้แต่น้อยแล้ว
นางถามความเห็นของโจวชูจิ่น “ข้าควรไปสอบถามท่านน้าฉือดูสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
…………………………………………………………………