ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 393 เรื่องแต่หนหลัง
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนึกได้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสของเฉิงฉือทั้งนั้น นางพยายามเค้นคำด้วยอาการกรุ่นโกรธอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้เค้นประโยคหนึ่งว่า “นกพิราบยึดครองรังนกกางเขน” ออกมา
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็อดที่จะหัวเราะเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ ลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวต่อว่า “ท่านผู้อาวุโสของพวกข้านั้นไม่รู้ว่าพรรคเจ็ดดารานั้นทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่ จึงพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินกลับถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง กล่าวชมว่าท่านผู้อาวุโสของพวกข้าทำถูกต้องแล้ว…
…ไม่นาน เลี่ยกงก็เสียชีวิต…
…ปีถัดมา ท่านปู่ของพ่อบ้านใหญ่ฉินก็เสียชีวิตด้วย บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินจึงกลายเป็นพ่อบ้านใหญ่ของซอยจิ่วหรูแทน…
…อีกหนึ่งปีต่อมา ท่านผู้อาวุโสของพวกข้าสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตซู่จี๋…
…ท่านผู้อาวุโสของพวกข้าจึงยิ่งไม่สนใจเรื่องนอกตัวพวกนั้น ผลกำไรของครอบครัวเป็นอย่างไรนั้น ที่ผ่านมาเขาไม่เคยถามถึงมาก่อน จวนรองแบ่งมาให้เท่าไร จวนหลักก็รับเอามาเท่านั้น…
…เวลานั้น ท่านผู้นำตระกูลจวนรองพาท่านผู้อาวุโสของพวกข้าไปรับราชการอยู่ข้างนอก ท่านพ่อและท่านอารองของข้าคร่ำเคร่งอ่านตำราอยู่ที่บ้าน ยามว่างก็ช่วยสอนและชี้แนะการเล่าเรียนเขียนอ่านให้เด็กๆ ในบ้าน ส่วนท่านอาลี่รับผิดชอบดูแลกิจการ สร้างความรุ่งโรจน์ทางการค้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองจวนแนบแน่นประหนึ่งจวนเดียวกัน วันเวลาพ้นผ่านไปอย่างมีความสุขและรุ่งเรือง ราวกับว่าการกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลให้กลับมานั้นอยู่เพียงตรงหน้านี้แล้ว”
เฉิงฉือกล่าวไปด้วย เบ้ปากไปด้วย “แต่น่าเสียดายที่วันเวลาดีๆ อยู่ไม่นาน! ปีเหรินจื่อ หรือก็คือฤดูร้อนของรัชศกเจี้ยนหลงปีที่หก นายท่านใหญ่เฉิงอี๋ของจวนรองเพิ่งจะฉลองครบรอบวันเกิดครบรอบสามขวบปีไป ท่านอาลี่ไปขนเกลือที่ไหวอัน เนื่องจากขนเกลือเถื่อนมาด้วย เรือรับน้ำหนักจนเต็มกำลัง ขณะเดินทางผ่านด่านตรวจที่ไหวอันนั้น ถูกคนของกลุ่มเดินเรือกระทำการไม่ดีใส่ ทั้งสองฝ่ายเกิดเรื่องพิพาทกันขึ้น ขณะที่กำลังต่อสู้กันนั้นเขาก็ถูกคนของกลุ่มเดินสมุทรสังหารจนเสียชีวิต”
มุมปากของโจวเสาจิ่นเปิดๆ ปิดๆ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ตอนที่เฉิงฉือเล่าว่าเฉิงเลี่ยให้เฉิงลี่รับช่วงดูแลพรรคเจ็ดดารานั้นนางก็มีลางสังหรณ์แล้ว รู้สึกว่าความตายของเฉิงลี่อาจจะข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งในหมู่คนเดินทางรอนแรมไปมาเหล่านี้
พระโคตมพุทธเจ้าทรงตรัสได้ดีที่ว่า หว่านแตงย่อมได้แตง หว่านถั่วย่อมได้ถั่ว
ความตายของเฉิงลี่เป็นผลจากความโลภที่เฉิงเลี่ยหว่านเอาไว้
และตอนนี้ คนที่ดูแลพรรคเจ็ดดารา ก็น่าจะเป็นท่านน้าฉือแล้ว!
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่สวมชุดจิ้นจวงทั้งตัวไปปรากฏตัวที่จุดพักม้า ก็คงจะยิงลูกศรประหนึ่งดาวตกไม่ได้ และก็คงจะไม่รู้จักเซียวเจิ้นไห่ด้วย…
แต่ท่านน้าฉือคนที่นางรู้จักนั้นเป็นคนที่มีไหวพริบเท่าทันสถานการณ์ กล้าหาญและแน่วแน่ จะไม่เต็มใจละทิ้งของที่ไม่มีความสลักสำคัญกับตัวเขาพวกนี้ได้อย่างไร
นี่คือสาเหตุที่เขาออกไปจากตระกูลในชาติก่อนใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นคิดแล้วก็ให้รู้สึกปวดใจ
นางวางมือทับลงบนมือของเขาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือหันมายิ้มให้นางน้อยๆ พลิกฝ่ามือกลับมากุมมือของนางเอาไว้กลางฝ่ามือ เอ่ยเสียงเบาว่า “คนในยุทธภพให้ค่ากับความซื่อสัตย์และมิตรภาพ ให้ความสำคัญกับการสืบทอด แต่ก็เป็นคนที่พูดคุยด้วยกำปั้นเช่นกัน ท่านผู้นำตระกูลจวนรองถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วการคิดจะดูแลพรรคเจ็ดดารานั้น ไม่เพียงต้องมีชาติตระกูลดีเท่านั้น ยังต้องมีฝีมือต่อสู้ดีด้วย…
…แต่เขารู้ช้าเกินไป…
…ต้องสูญเสียชีวิตของบุตรชายคนเดียวไปเสียแล้ว”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ใช้โอกาสนี้ปล่อยพรรคเจ็ดดาราไปเสีย?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ตนคิดเช่นนั้น คิดว่าควรจะฟังท่านน้าฉือเล่าต่อไปถึงจะถูก
“ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำไปก่อน มองพี่ชายอี๋ที่อายุยังน้อยแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็เจ็บปวดใจจนเหลือจะทานทนได้…
…ทว่าท่านผู้อาวุโสของพวกข้ากลับเป็นคนที่มีความคิดและจิตใจบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง รู้สึกว่าต่อให้การค้าจะดีเพียงไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของคน พยายามโน้มน้าวให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองหยุดทำการค้าของพรรคเจ็ดดาราเสีย…
…ท่านผู้นำตระกูลจวนรองไม่เห็นด้วย…
…ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงแยกจากกันด้วยไม่ดีนัก…
…ท่านผู้อาวุโสของพวกข้าได้รับคำบอกเล่าจากบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วแต่ละปีพรรคเจ็ดดาราทำกำไรให้ตระกูลเฉิงได้ไม่น้อยเลย ที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคงอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้ นอกจากชื่อเสียงของจื้อกงแล้ว ก็คงไม่พ้นเป็นเพราะเขามีเงินไปติดสินบนทั้งระดับบนและระดับล่างนี้นี่เอง…
…เวลานั้นท่านผู้อาวุโสเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก จวนสามมีความแค้นกับจวนหลักและจวนรอง จวนสี่ก็เป็นคนอ่อนแอไร้อำนาจผู้หนึ่ง จวนห้าก็ดื้อรั้นไม่เฉลียวฉลาด ท่านพ่อและท่านอาได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุน้อยแล้วและไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน พี่ชายเฝินของท่านอารองก็ยังเป็นทารก ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ…เมื่อคำนวณดูแล้ว ตระกูลเฉิงไม่มีคนรับช่วงดูแลพรรคเจ็ดดาราต่อได้เลยสักคน” เขากล่าวขึ้นอย่างประชดชันเล็กน้อยว่า “แน่นอนว่าต่อให้ตระกูลเฉิงมีคนที่รับช่วงดูแลพรรคเจ็ดดาราได้ แต่ถ้าคนผู้นั้นเป็นตัวเลือกที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองรู้สึกไม่พึงพอใจ เกรงว่าตระกูลเฉิงก็ยังคงไม่มีใครรับช่วงดูแลพรรคเจ็ดดาราต่อได้อยู่ดี!”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
ท่านน้าฉือจะต้องมีคำพร่ำบ่นต่อว่าอยู่ในใจมากมายเป็นแน่ เพียงแต่ถ้อยคำพร่ำบ่นเหล่านั้นไม่อาจพูดออกมาเท่านั้น
กลัวแต่ว่าไม่รู้ว่าความเจ็บปวดขมขื่นประเภทนี้กัดกินหัวใจของเขาบ่อยมากเพียงใด!
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้างๆ เขาอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้เขากุมมือของตนเอาไว้
“เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองตัดสินใจว่าจะให้บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินเป็นตัวแทนตระกูลเฉิงไปดูแลพรรคเจ็ดดารานั้น ท่านผู้อาวุโสของพวกข้าจึงได้แต่นิ่งเงียบ”
กล่าวถึงตรงนี้ ฉับพลันนั้นสีหน้าของเฉิงฉือก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดุดันขึ้นมาในทันใด
หัวใจของโจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกร้อนรนตามขึ้นไปด้วย
“คราวก่อนท่านผู้นำตระกูลจวนรองลืมไปว่าคนในยุทธภพพูดคุยกันด้วยกำปั้น ส่วนครั้งนี้ก็ลืมไปว่าคนในยุทธภพให้ความสำคัญกับการสืบทอดด้วย ถึงแม้บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินจะมีวรยุทธ์สูงส่ง ทว่าโดยนามแล้วก็เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่งของตระกูลเฉิงเท่านั้น จะมีใครยอมเชื่อฟังและอยู่ใต้การควบคุมของบ่าวผู้หนึ่งกัน”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกลั้นไม่อยู่ โพล่งปากถามออกไป
เฉิงฉือมองนางครั้งหนึ่ง ขอบตามีรอยแดงจางๆ เล็กน้อย
เขากล่าวเสียงเคร่งว่า “รัชศกเจี้ยนหลงปีที่สิบหกเดือนหก หรือก็คือปีที่สิบหลังการจากไปของท่านอาลี่ ตอนที่พรรคเจ็ดดารากำลังกราบไหว้จื้อกงอยู่ที่หน้าผากันนั้น ตระกูลฮวาของก่วงตงโจมตีขึ้นมาก่อน ตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉิน รู้สึกว่าการที่ตระกูลเฉิงให้บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินมาดูแลพรรคเจ็ดดาราแทนนั้นเป็นการดูถูกดูแคลนผู้อาวุโสอย่างพวกเขา เรียกร้องให้บุตรหลานของตระกูลเฉิงออกหน้ามาอธิบาย…
…บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินทราบดีว่าพวกเขาเพียงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง คิดอยากจะต่อต้านขัดขืนพรรคเจ็ดดาราก็เท่านั้น…
…ณ ขณะนั้นมีเพียงอยากใช้กำลังเท่านั้นถึงจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง…
…เขาพาหลานชายสองคนและเหลนชายหกคนของตัวเองไปต่อสู้กับคนพวกนั้นอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน สุดท้ายแม้นจะควบคุมคนของพรรคเจ็ดดาราเหล่านั้นเอาไว้ได้ ทว่าก็สูญเสียหลานชายสองคนและเหลนชายอีกสี่คนไป”
คนเหล่านั้นคงเป็นญาติพี่น้องของฉินจื่อผิงและฉินจื่ออัน!
โจวเสาจิ่นนึกถึงฉินจื่อผิงที่เป็นมิตรจิตใจดีและฉินจื่ออันที่ใบหน้าเย็นชาทว่าจิตใจดีแล้วน้ำตาเกือบจะไหลออกมา
เฉิงฉือกล่าว “ต่อมาบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินฝืนดูแลพรรคเจ็ดดาราต่อไปอีกสิบกว่าปี สุดท้ายล้มป่วยด้วยโรคเก่ากำเริบและเสียชีวิตไป…
…ในสิบกว่าปีนี้ พรรคเจ็ดดารามีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน ตั้งแต่ผู้นำของกลุ่มทรงอำนาจอย่างที่ไม่อาจโต้แย้งได้ต่ำลงไปจนถึงกลุ่มที่เป็นลำดับที่ห้า…
…จนกระทั่งรัชศกจื้อเต๋อปีที่เจ็ด ข้าอายุสิบสี่ปี เข้ารับช่วงดูแลพรรคเจ็ดดารา…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
รัชศกจื้อเต๋อปีที่เจ็ด นางเพิ่งจะหนึ่งขวบปี แต่ท่านน้าฉือเริ่มรับช่วงดูแลกิจการของตระกูลแล้ว…
นางนึกถึงว่าที่สามีของหนานผิง หรือก็คือพี่ชายของฉินจื่อผิงและผิงจื่ออัน เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เช่นนั้นฉินจื่อหนิง…”
สีหน้าของเฉิงฉือหม่นหมองลงมา กล่าวเสียงเบาว่า “แม้นเรื่องที่หน้าผานั้นจะจบลงด้วยชัยชนะของตระกูลเฉิง แต่ตระกูลเฉิงเองก็สูญเสียกำลังไปเป็นจำนวนมาก ไร้เรี่ยวแรงไปปราบปรามผู้อาวุโสของพรรคเจ็ดดารา กระทั่งตอนที่ข้าเข้ามาดูแลพรรคเจ็ดดารานั้น ตระกูลที่เรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่สองสามตระกูลของพรรคเจ็ดดาราก็ได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลของอำนาจอีกขั้วหนึ่งไปแล้ว จะยอมฟังคำสั่งของข้าได้อย่างไร และถึงแม้ตอนนั้นข้าจะเรียนวรยุทธ์ของเลี่ยกงที่ไม่รู้ว่าเขาไปเรียนจากที่ไหนมาได้แล้ว ทว่าประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังมีน้อยนัก ตอนที่ถูกคนล้อมเอาไว้ที่พานอวี๋นั้น ฉินจื่อหนิงช่วยขนาบหลังให้ข้า จึงสิ้นชีวิตไป” เขาหยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “เขาเป็นหลานชายคนโตของพ่อบ้านใหญ่ฉิน!”
ตอนนั้นท่านน้าฉือจะต้องเจ็บปวดใจมากเป็นแน่
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างอ่อนโยน กล่าวปลอบโยนเขาเสียงค่อยว่า “จะต้องดีขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฉับพลันนั้นกระบอกตาของเฉิงฉือรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยเอ่ยถึงฉินจื่อหนิงเลย กระทั่งปล่อยให้หนานผิงอยู่ในบ้านของตนเช่นนั้นเรื่อยมา ราวกับฉินจื่อหนิงยังไม่ตาย ก็แค่ออกไปจัดการธุระให้เขา ไม่นานก็จะกลับมาแล้วก็ไม่ปาน…ความจริงแล้ว ความเจ็บปวดที่พูดออกมาไม่ได้เหล่านั้นได้เน่าเปื่อยและตกสะเก็ดอยู่ในใจไปแล้ว…
นางเม้มปาก ไม่เปล่งเสียงใด
โจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ว่าร่างของเขาแข็งเกร็ง
นางอยากจะลุกขึ้นไปกอดท่านน้าฉือเอาไว้เหลือเกิน ปลอบโยนเขาสักเล็กน้อย
แต่ภายในใจก็รู้สึกละอายยิ่ง รู้สึกว่าทำเช่นนั้นออกจะใจกล้ามากเกินไป กลัวว่าเฉิงฉือจะไม่ชอบ…
ระหว่างที่กำลังลังเลนั้น อารมณ์ของเฉิงก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
เขายิ้มน้อยๆ อย่างอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร! เรื่องราวเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวมา ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เฉิงฉือตัดสินใจว่าอีกสักสองสามวันจะกลับเมืองจินหลิงสักครั้งหนึ่ง พาหนานผิงไปเคารพศพฉินจื่อหนิงดีๆ สักครั้ง นำเอาคำพูดที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจของตนตลอดมานั้นไปพูดกับฉินจื่อหนิง ให้ทั้งเขาและหนานผิงได้บอกลาเรื่องราวในอดีต แล้วเริ่มต้นมีชีวิตกันใหม่
เขากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้าอยู่ร่วมเทศกาลวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์กับเจ้าเสร็จแล้วจะกลับเมืองจินหลิงสักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่าเขาคงจะไปจุดธูปให้ฉินจื่อหนิง
นางกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ควรรับหนานผิงมาอยู่ที่นี่ด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ ได้เปลี่ยนสถานที่ใหม่ จิตใจของนางอาจจะดีขึ้นสักเล็กน้อย”
ไม่แปลกที่ผู้คนจะว่ากันว่าบุตรสาวเป็นเสื้อบุฝ้ายให้ความอบอุ่น
โจวเสาจิ่นไม่เพียงอบอุ่นอ่อนโยน ยังรู้ความมากเป็นพิเศษอีกด้วย
เฉิงฉือบีบมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะถามนางดู ถ้าหากนางอยากมา ข้าก็จะพานางมาด้วย มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า แต่ถ้านางไม่อยากมา ก็จะให้นางไปอยู่กับตระกูลฉิน ในเมื่อนางคะนึงถึงคนของตระกูลฉิน เช่นนั้นก็ตามใจนางก็แล้วกัน คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้สั้นๆ เพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปแล้ว ฉะนั้นให้ตัวเองได้มีชีวิตอย่างมีความสุขที่สุดสักหน่อยเถิด!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
แล้วตนกับท่านน้าฉือเอง…ก็จะได้มีชีวิตอย่างราบรื่นและสงบสุขสมดังใจปรารถนาหรือไม่นะ
นางรู้สึกไม่ค่อยกล้าคิดต่อ
รีบปรับอารมณ์และความคิด อดที่จะถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นคนเลือกท่านให้ไปดูแลพรรคเจ็ดดาราหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงเลือกท่าน นายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่ายอมตกลงด้วยได้อย่างไร คนที่ซอยจิ่วหรูต่างพูดกันว่าท่านเติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่จิงเฉิงท่านแอบไปฝึกวรยุทธ์กับผู้ใดมาหรือเจ้าคะ”
ต่อให้เป็นอัจฉริยะมาจากสรวงสวรรค์ เรื่องฝึกวรยุทธ์นี้เป็นไปได้ว่าอาจจะว่องไวกว่าผู้อื่นเท่านั้น ทว่าก็ไม่อาจประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งก้าวได้ ไม่อย่างนั้นตระกูลฉินคงไม่ต้องช่วยดูแลพรรคเจ็ดดาราให้ตระกูลเฉิงนานถึงยี่สิบกว่าปี
บางครั้ง การเอาคนสองคนมามัดรวมกันไว้มิใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์ ยังมีความลับอีกด้วย
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช้เงินจากการค้าขายเกลือเถื่อนมาเติมคลังของแผ่นดิน นี่มิใช่เรื่องมีเกียรติอะไร ที่จื้อกงก่อตั้งพรรคเจ็ดดาราขึ้นมาเดิมทีก็เพราะเวลานั้นไร้ซึ่งทางเลือก จะเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้อย่างไร กระทั่งมาถึงยุคที่เลี่ยกงดูแลพรรคเจ็ดดารา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพื่อมิให้ถูกคนเหล่านี้โจมตีต่อต้านแล้ว เขาไม่เพียงสังหารผู้อาวุโสที่ทราบความเกี่ยวพันระหว่างพรรคเจ็ดดาราและจื้อกงไปหลายท่าน เวลาไปไหนมาไหนข้างนอกยังติดต่อกับผู้คนในนามของหัวหน้าพรรคเจ็ดดารา กระทำเรื่องใดๆ ล้วนเผยความองอาจกล้าหาญและตรงไปตรงมาของคนทางเหนือออกมาให้เห็นรางๆ คนในยุทธภพจำนวนมากรู้ว่าพรรคเจ็ดดาราคือตระกูลเฉิง แต่จำนวนน้อยนักที่จะรู้ว่าตระกูลเฉิงนี้กับตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูเป็นตระกูลเดียวกัน…
…หลังจากเกิดเรื่องที่หน้าผาแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองและบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินล้วนคิดว่าสถานการณ์ไม่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเฉิง กลัวว่าถ้าพวกเขารู้รายละเอียดของตระกูลเฉิงแล้วจะตามมาถึงหน้าประตูบ้าน กระทั่งใช้อำนาจทางราชสำนักมาตอบโต้ตระกูลเฉิง ท่านอารองย้ายออกจากซอยซิ่งหลินไปอยู่ที่ซอยซวงอวี๋ บิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉินเองก็แสร้งทำว่าเสียชีวิตที่จินหลิงแล้วย้ายมาตั้งรกรากที่จิงเฉิงแทน ทั้งสองคนผู้หนึ่งสอนข้าร่ำเรียนเขียนอ่าน อีกผู้หนึ่งสอนข้าฝึกวรยุทธ์ จะพูดว่าข้าเติบโตอยู่ที่จิงเฉิงก็ถูก อย่างน้อยก่อนจะถึงอายุสิบปีนั้นข้าล้วนอาศัยอยู่ที่จิงเฉิง”
………………………………………………………………….