ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 397 ห้ามปราม
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นแยกไม่ออกว่าเรื่องที่เฉิงฉือมาดูแลนางนั้นตกลงเป็นเรื่องที่นางจินตนาการขึ้นมาหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่
นางกล่าวขึ้นด้วยความลังเลอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ…”
ชุนหว่านรีบกล่าวว่า “นายท่านสี่เพิ่งออกไปเจ้าค่ะ…เขาเฝ้าท่านอยู่ที่นี่ทั้งคืน รั้งให้ท่านหมอหลวงเฉาค้างอยู่ที่นี่คืนหนึ่งด้วย เมื่อเช้าท่านหมอหลวงเฉามาตรวจชีพจรให้ท่าน บอกว่าท่านไม่เป็นอะไรแล้ว หลังจากที่นายท่านสี่ส่งท่านหมอหลวงเฉาออกไปแล้ว ถึงเพิ่งกลับไปที่ห้องหนังสือเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ!”
ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นความจริง!
ท่านน้าฉือเฝ้าอยู่ข้างกายนางตลอดจริงๆ ด้วย
ฉับพลันนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าก็ดี ผืนดินก็ดี แม้แต่ต้นเหวินจู๋[1]ที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาตรงมุมห้องกระถางนั้นวันนี้ก็ดูมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ
นางลุกขึ้นมานั่งในทันใด สั่งการชุนหว่านว่า “เจ้าไปดูที่ห้องหนังสือสักหน่อยว่าท่านน้าฉือหลับไปหรือยัง หากหลับไปแล้วก็แอบกลับมาเงียบๆ แต่ถ้ายังไม่หลับก็บอกให้ท่านน้าฉือรีบพักผ่อนเสีย บอกว่าทางด้านนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไปรายงานให้ท่านน้าฉือวางใจสักครั้งหนึ่ง” กล่าวจบ ถึงได้นึกถึงท่าทางของชุนหว่านเมื่อครู่นี้ขึ้นมา รู้สึกละอายใจเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าเองก็คงไม่ได้นอนทั้งคืนกระมัง! ให้ปี้เถาหรือไม่ก็เสี่ยวถานมาดูแลข้าก็พอ เจ้าเองก็ไปนอนพักดีๆ สักตื่นหนึ่ง เรื่องของวันนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาดูแล้ว”
ชุนหว่านเองก็รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ นางขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “เมื่อวานท่านไม่สบายหนักมาก ฮูหยินมาถามอาการของท่านทุกๆ ครึ่งชั่วยามเลยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นทางด้านฮูหยิน เจ้าก็ให้คนไปแจ้งให้ทราบด้วยสักคนหนึ่ง”
ชุนหว่านถึงได้ยิ้มพร้อมกับเรียกเสี่ยวถานเข้ามา แลกเปลี่ยนเวรยามกัน แล้วไปที่ห้องหนังสือ ณ เรือนชั้นนอก
อาจจะเป็นเพราะหลังจากที่หลับไปแล้วมีเหงื่อออกมาก โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกตัวเหนียวเหนอะหนะไปหมด
นางตัดสินใจว่าจะอาบน้ำสักรอบหนึ่ง จะได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกอย่างสดชื่น
เสี่ยวถานปรนนิบัติโจวเสาจิ่นอาบน้ำไปด้วย เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องเมื่อคืนให้โจวเสาจิ่นฟังไปด้วยว่า “ท่านไม่ยอมรู้สึกตัวตื่นสักที นายท่านสี่สีหน้าเคร่งเครียด พวกข้าต่างตกใจจนตัวสั่นไปหมด หากมิใช่เพราะฝานมามาให้พวกข้ากลับไปพักผ่อน เกรงว่าพวกข้าคงต้องยืนอยู่ในห้องไปทั้งคืนแล้วเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นพาดตัวอยู่ในถังไม้ ไอร้อนที่ลอยกรุ่นขึ้นมาทำให้ดวงหน้าของนางแดงปลั่งขึ้นเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากล่าวเกินจริงให้มันน้อยๆ หน่อยเถิด!”
“จริงๆ นะเจ้าคะ!” เสี่ยวถานเติมน้ำร้อนลงในถังไม้อีกหลายกระบวย พลางกล่าวว่า “หากท่านไม่เชื่อ ก็ไปถามปี้เถาหรือไม่ก็จี๋เสียงก็ได้ จี๋เสียงตกใจกลัวจนพูดไม่ได้แล้ว หลังจากกลับไปแล้วยังให้ปี้เถานวดขาให้นางด้วย บอกว่ายืนเกร็งจนขาแข็งและชาไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
ท่านน้าฉือมิใช่คนประเภทที่พวกนางว่ากันเสียหน่อย!
แต่ท่านน้าฉือเป็นเจ้านาย ให้เสี่ยวถานและคนอื่นๆ บังเกิดความเคารพยำเกรงก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ต่อหน้าบ่าวไพร่เหล่านี้นางต้องช่วยรักษาเกียรติให้ท่านน้าฉือเอาไว้ บางเรื่องจึงไม่อาจกล่าวออกมาได้
ฝานหลิวซื่อยกน้ำชาเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังคิดอยู่เลยว่าควรจะเข้ามาดูท่านสักหน่อยหรือไม่ หรูอี้ก็มาบอกข้าว่าท่านตื่นแล้ว ดูท่าทางของท่านแล้ว น่าจะดีขึ้นมากแล้วกระมัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม เอ่ยขึ้นว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะให้ชุนหว่านไปหยิบเงินออกมาห้าเหลี่ยง พวกเจ้าและคนข้างกายที่พอจะมีหน้ามีตาของฮูหยินอีกสองสามคนก็ไปกินดื่มให้สนุกกันสักครั้งหนึ่งเถิด”
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกบ่าวสมควรทำอยู่แล้ว จะรับรางวัลจากคุณหนูรองได้อย่างไรเจ้าคะ”
นางกล่าวไปด้วย นำถาดน้ำชาไปวางลงบนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง นั่งลงข้างๆ ถังไม้ ทดสอบอุณหภูมิของน้ำ หมายจะช่วยถูหลังให้โจวเสาจิ่น
นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่สวนดอกไม้นั่นแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่ให้ฝานมามาช่วยถูหลังให้นางอีกเลยเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว
วันนี้นางอารมณ์ดียิ่ง ก็เลยพาดตัวอยู่ตรงนั้นปล่อยให้นางทำตามใจชอบ
ฝานหลิวซื่อดูลังเลเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นถามยิ้มๆ ว่า “มีอะไรหรือ”
จากในความทรงจำของนางแล้ว นางไม่เคยมีรอยอะไรเลยตลอดทั้งร่าง หรือว่าที่หลังของนางจะรอยหรือตุ่มอะไรอย่างนั้นหรือ
“ปละ…เปล่าเจ้าค่ะ!” ฝานหลิวซื่อยิ้ม ช่วยถูหลังให้นางอย่างนุ่มนวลแต่ก็ไม่ขาดความคล่องแคล่วว่องไว พลางกล่าว “คุณหนูรองของพวกข้าโตเป็นสาวแล้วเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงดูหดหู่ เจือความรู้สึกแสนเสียดายที่ต้องลาจากเอาไว้เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็เป็นสาวมาตั้งนานแล้ว!”
เด็กสาวที่มีระดูแล้ว ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “จริงด้วยเจ้าค่ะ!”
ช่วยขัดถูตัวให้โจวเสาจิ่นทั้งร่างแล้ว ก็ปรนนิบัตินางสวมชุดชั้นใน
เสี่ยวถานคอยกำกับให้ป้ารับใช้มีเรี่ยวแรงมากเข้ามายกถังไม้ออกไป ส่วนฝานหลิวซื่อคลุมผ้าลงบนไหล่ให้โจวเสาจิ่นผืนหนึ่ง นั่งลงบนตั่งใช้ผ้าช่วยเช็ดผมที่เปียกชื้นให้นาง พลางกล่าว “ฤดูหนาวของทางเหนือนี้ทุกบ้านต่างก็ใช้ท่อทำความร้อนที่พื้นหรือไม่ก็ผนังทำความร้อนกันทั้งนั้น พอเข้าเดือนสี่ท่อทำความร้อนและผนังทำความร้อนต่างหยุดทำงานแล้วทำให้รู้สึกเย็นไปหมดทุกที่ พิธีครบรอบร้อยวันของกวนเกอกำหนดให้เป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนห้า ท่านว่าพวกเราควรจะหาซื้อของฝากให้นายท่านเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ดีหรือไม่ หรือว่าควรจะรอให้ผ่านพ้นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างไปก่อนดีเจ้าคะ กลัวแต่ว่าถึงเวลานั้นเมื่อฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาถึงแล้ว ต้ากูไหน่ไนจะดึงตัวท่านไปพบปะกับคนของตระกูลฟางและตระกูลเลี่ยวด้วย แล้วจะไม่มีเวลาว่างไปหาซื้อเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าจะบอกพ่อบ้านเซี่ยงไว้ ถึงเวลาเมื่อดูรายการของฝากแล้วพวกเราค่อยเพิ่มเติมหรือตัดบางอย่างออกก็ได้แล้ว แต่ท่านก็ได้ย้ำเตือนข้าให้นึกขึ้นได้เช่นกัน ท่านพ่อชอบสะสมที่ฝนหมึก ประเดี๋ยวข้าจะไปถามท่านน้าฉือสักหน่อย ดูว่ามีที่ไหนที่หาซื้อที่ฝนหมึกดีๆ ได้บ้าง ถึงเวลาจะให้ฮูหยินนำกลับไปให้ท่านพ่อด้วย แม้นของที่เหวินเต๋อเก๋อจะดี แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่ฝนหมึกที่จะมอบให้ท่านพ่อนั้น ควรจะหาทางไปหาซื้อจากที่อื่นดีกว่า” ขณะที่นางกล่าว ก็ถามฝานหลิวซื่อว่า “ข้ารู้สึกว่าพ่อบ้านเซียงผู้นี้เป็นคนละเอียดยิ่ง กระทำการใดๆ ก็เอาใจใส่เป็นอย่างมาก ข้าอยากให้ฝานฉีไปติดตามเป็นบ่าวข้างกายเขา เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
มือของฝานหลิวซื่อที่เช็ดผมให้โจวเสาจิ่นอยู่นั้นกลับหยุดชะงักลง เอ่ยถามขึ้นแทนที่จะตอบคำถามว่า “คุณหนูรองจะไม่กลับเมืองเป่าติ้งพร้อมกับฮูหยินหรือเจ้าคะ”
นางอยากรั้งอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน
โจวเสาจิ่นยิ้มหวาน
นางยังอยากช่วยเฝ้าทองคำแท่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านี้ให้ท่านน้าฉือด้วย!
“ข้าอยากรั้งอยู่ที่จิงเฉิงให้นานอีกสักหน่อย จะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านพี่” โจวเสาจิ่นกล่าว “กลับเมืองเป่าติ้งไป ก็ต้องไปคลุกคลีกับพวกฮูหยินหวงอีก ช่างน่ารำคาญใจยิ่งนัก มิสู้อยู่ในเมืองหลวงจะสบายใจกว่า”
ฝานหลิวซื่อกล่าว “แต่อยู่ในเมืองหลวงนั้น…เนื่องจากบ้านที่ซอยอวี๋เฉียนนี้เป็นทรัพย์สินของนายท่านสี่…ใครจะมอบบ้านให้ผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลกัน บ้านหลังนี้ก็มิใช่ถูกๆ! หากจะมอบให้ก็ควรเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ถึงจะถูก…”
มองจากมุมของโจวเสาจิ่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน
นางมีบุตรชายสามคน เฉิงฉือเป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือหรือหลังมือก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อทั้งสิ้น บางครั้งก็ไม่อาจปกป้องเฉิงฉือได้อย่างหมดใจได้
ไม่อย่างนั้นชาติก่อนเฉิงฉือจะไปจากตระกูลได้อย่างไร!
โจวเสาจิ่นกล่าวตัดบทคำพูดของฝานหลิวซื่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบเครื่องประดับให้ข้าเป็นจำนวนมากแล้ว ท่านน้าฉือคงไม่อาจมอบเครื่องประดับให้ข้าด้วยเช่นกันหรอกกระมัง” นางไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ให้มากอีก กล่าวว่า “อีกอย่าง ท่านน้าฉือยกบ้านหลังนี้ให้ข้าแล้ว เช่นนั้นมันก็เป็นของข้าแล้ว เจ้าสนใจเพียงติดตามมาอยู่กับข้าให้สบายใจก็พอแล้ว”
จะให้ดีประเดี๋ยวนางควรไปถามพี่สาวและพี่เขยสักหน่อย ดูว่าต้องทำอย่างไรถึงจะจดทะเบียนบ้านหลังนี้มาเป็นชื่อของนางได้
หากว่าวันใดที่ท่านน้าฉือไม่มีทางให้ถอยแล้ว จะดีร้ายบ้านหลังนี้กลายเป็นของนางแล้ว ตระกูลเฉิงก็ไม่อาจเอากลับไปได้แล้ว ท่านน้าฉือจะได้ยังมีสถานที่ให้พักอีกสักที่หนึ่ง หากไม่ได้อีก ก็ขายบ้านหลังนี้เสีย ท่านน้าฉือจะได้มีเงินส่วนตัวเอาไว้เริ่มต้นชีวิตใหม่
เมื่อโจวเสาจิ่นตัดสินใจได้แล้ว ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าไปถามฮูหยินสักหน่อยว่าอีกประเดี๋ยวนางจะไปหาท่านพี่หรือไม่ หากว่าไปข้าก็จะไปด้วย”
ฝานหลิวซื่อร้อนใจประหนึ่งไฟที่กำลังลุกไหม้
คุณหนูรอง…เหตุใดถึงได้เลอะเลือนไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ถึงเพียงนี้
นางกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดคุณหนูรองถึงยังไม่มีความรู้สึกระแวดระวังเลยแม้แต่นิดเดียว!
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษคุณหนูรองได้
ถ้าหากเมื่อวานนางไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง นางคงไม่กล้าแม้แต่จะนึกฝันว่านายท่านสี่จะ…จะดูแลเอาใจใส่คุณหนูรองมากขนาดนั้น…เห็นได้ชัดว่านายท่านสี่…นายท่านสี่…และยังกระทำอย่างสงบและไม่หวาดวิตกเลยอีกด้วย
นี่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
นางกลัวว่าในเวลาที่ตนมองไม่เห็นนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…ถึงเวลานั้นต่อให้นางกระโดดแม่น้ำโม่วโฉวก็ยังไม่อาจขออภัยต่อฮูหยินจวงที่จากไปแล้วได้!
นางหมุนกายเดินไปที่หน้าประตู สั่งการจี๋เสียงว่า “เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตูเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับคุณหนูรอง” จากนั้นนางปิดประตูเสียงดังปัง สีหน้าหนักอึ้ง เดินเข้าไปตรงหน้าโจวเสาจิ่นเยี่ยงทหารกล้าที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อความถูกต้อง คุกเข่าลง กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “คุณหนูรอง พวกเราตามฮูหยินกลับเมืองเป่าติ้งเถิดเจ้าค่ะ! ฮูหยินหวงผู้นั้นต่อให้จะน่ารำคาญใจเพียงใด แต่ก็เป็นเพราะอยากจะเป็นแม่สื่อให้ท่านสักครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อวาน…นายท่านสี่ดูแลท่านด้วยตัวเอง…ไม่เพียงกอดท่านเอาไว้ในอ้อมแขนปลอบโยนบ้างลูบหลังบ้างเท่านั้น ยัง…ยังเช็ดตัวให้ท่านด้วย…แม้แต่ฮูหยินที่อยากเข้ามาดูท่าน เขาก็ไม่ยอมวางมือ จนฮูหยินทำได้เพียงส่งคนมาสอบถามเท่านั้น…คุณหนูรอง พวกเรากลับเมืองเป่าติ้งกันเถิดเจ้าค่ะ ตระกูลเฉิงไม่มีคนดีอะไรเลยสักคน!”
นั่นมิใช่เรื่องที่คนเป็นน้าผู้หนึ่งจะกระทำกับหลานสาวได้!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ในใจราวกับมีน้ำขึ้นน้ำลง ซัดสาดเข้ามาอย่างประเดี๋ยวก็สูงอีกประเดี๋ยวก็ต่ำ
ท่านน้าฉือมิได้หลบเลี่ยงให้เกิดข้อสงสัย…นี่ก็เป็นเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้หรือ
แต่ท่านน้าฉือมิใช่คนประเภทนั้น!
เขายังเคยบอกนางว่าอย่าเผยความรู้สึกทุกอย่างออกมาบนใบหน้า
แต่เหตุใดตัวเขาถึงทำมันเองเช่นนี้เล่า
นางอดนึกถึงวันที่เขากระซิบถามข้างหูนางว่า ข้าดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ในวันนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้…ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไรดี
ตอนนี้ นางอยากถามเขาสักประโยคเหลือเกินว่า “ข้าดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ถึงทำให้เขายอมวางสิ่งที่เขายึดถือมานานหลายปีนั่นไป…
โจวเสาจิ่นกำผ้าในมือแน่น รู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเรื่อยๆ
ฝานหลิวซื่อเห็นนางไม่ได้มีอาการกรุ่นโกรธ จึงกล่าวหว่านล้อมนางเสียงค่อยว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่กระทำอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนั้น ข้ายังมองออก ผู้อื่นก็ย่อมมองออกเช่นกัน…ข้าทราบดีว่า ท่านให้ความเคารพนายท่านสี่มาโดยตลอด จึงไม่เคยคิดถึงแง่นี้ แต่ปลายปีนี้ท่านก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว…เมื่อก่อนยังพูดได้ว่ายังเด็กอยู่…ถ้าหากผู้อื่นระแคะระคายสงสัยอะไรขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะหยุดยั้งอย่างไร เรื่องเช่นนี้ ล้วนเป็นสตรีที่เสียเปรียบมาโดยตลอด…”
เพราะฉะนั้นท่านน้าฉือถึงได้บอกให้นางลืม
ลืมเรื่องที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ไปเสีย
ท่านน้าฉือเองก็เป็นเหมือนกับนางใช่หรือไม่ ที่รู้ว่าพวกเขาไม่มีวันพรุ่งนี้และไม่มีทางลงเอยกันได้ ดังนั้นตอนที่ยังได้เห็นนาง จึงปล่อยตัวทำตามใจตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นน้ำตาไหลลงมาดั่งสายฝน
ความจริงแล้วก็มิใช่แค่นางเพียงคนเดียว
พวกเขาต่างก็เป็นเหมือนกันมาโดยตลอด
เพียงแต่ว่านางโง่เขลามากเกินไป มองไม่เห็นหัวใจที่แท้จริงของเขา
โจวเสาจิ่นโน้มตัวลงนอนบนหมอนใบใหญ่ร้องไห้ออกมาอย่างเปี่ยมสุข
ฝานหลิวซื่อตื่นตระหนก
นี่เป็นเพียงสิ่งที่นางคาดเดาเท่านั้น
ถ้าหากนางเดาผิดเล่า?
ไม่ ต่อให้นางคาดเดาได้ถูกต้อง ด้วยชื่อเสียงและธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลเฉิงแล้ว เกรงว่าย่อมไม่มีทางอนุญาตให้เกิดคำครหาเช่นนี้ขึ้นอย่างแน่นอน นางเป็นคนดูแลคุณหนูรอง
คนแรกที่ต้องตายก็คือนางแล้ว!
นางตายก็ไม่เสียดาย ทว่าไม่อาจทำลายคุณหนูรองได้
ฝานหลิวซื่อขยับเข้าไปกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ ร่ำไห้พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะคุณหนูรอง ท่านก็ทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น หลังจากนี้ไปก็อยู่ให้ห่างจากนายท่านสี่เอาไว้ อดทนให้ผ่านพ้นพิธีครบรอบร้อยวันของกวนเกอไปแล้ว พวกเราจะกลับเมืองเป่าติ้งในทันที…”
………………………………………………………………..
[1] ต้นเหวินจู๋ เฟิร์นหน่อไม้ฝรั่ง