ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 399 สรงน้ำพระพุทธเจ้า
โจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปอย่างไรกันนะ เฉิงฉืออดพิจารณาดูสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียดไม่ได้
แววตาของนางวาววับ ดวงหน้าแดงเรื่อ มุมปากยกขึ้นบางเบา อากัปกิริยาผ่อนคลายและสงบนิ่ง เจิดจรัสประหนึ่งอาบด้วยแสงวสันต์ก็ไม่ปาน
หากจะให้พูดว่านางต่างจากเดิมเช่นไร… นับตั้งแต่ที่เขาจุมพิตนาง เวลาที่นางพบหน้าเขาก็จะตื่นกลัวเล็กน้อย คล้ายกับหญิงสาวบอบบางผู้หนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าผู้ที่แข็งแกร่งกว่านางมากอย่างไรอย่างนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ชี้ชะตาเป็นตายของนางได้จึงแสดงความขลาดกลัวเช่นนั้นออกมา แต่ตอนนี้นางเสมือนย้อนกลับไปช่วงก่อนที่เขาจะจูบนาง ยามที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ดูสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ราวกับระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด เขายังคงเป็นน้าที่ดีที่รักและถนอมนางคนหนึ่ง ส่วนนางยังคงเป็นหลานสาวที่เชื่อใจและพึ่งพิงเขาคนนั้นอยู่เหมือนเดิม
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถือว่าดีหรือไม่ดีกันนะ
เฉิงฉือย่นหัวคิ้วเงียบๆ
หากว่านางเชื่อคำพูดของเขาอย่างจริงจัง แล้วคิดว่าวันนั้นที่เขาทำเช่นนั้นกับนางเป็นเพียง ‘การหักห้ามใจไม่อยู่’ ชั่ววูบหนึ่งล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดคือต่างฝ่ายต่างลืมทุกอย่างให้หมด บางทีสถานการณ์เช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้
เช่นนั้นก็แย่เล็กน้อยแล้วล่ะ
เขากับนางอาจจะหวนกลับไปเหมือนดังเก่า
แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กน้อยตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
เมื่อวานเขาเช็ดตัวให้นาง ประการแรกคือเป็นห่วงที่จู่ๆ นางล้มป่วยลง ประการที่สองคือไม่วางใจให้ผู้อื่นดูแลนาง ยิ่งกว่านั้นเขาก็อยากจะฉวยโอกาสตอนที่ใต้เท้าโจวกับโจวชูจิ่นไม่อยู่ข้างกายโจวเสาจิ่น หยั่งดูท่าทีของพวกสาวใช้ข้างกายนางสักหน่อยเหมือนกัน ให้พวกนางค่อยๆ ปรับตัวให้คุ้นชินกับท่าทีที่เขามีต่อเสาจิ่น เพื่อปูทางเชื่อมสะพานสำหรับวันข้างหน้าของพวกเขา
ทว่าสาวใช้ข้างกายของนางยังไม่ทันเคลื่อนไหวอะไร จู่ๆ เด็กน้อยกลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเสียแล้ว
ถึงแม้เฉิงฉือเป็นผู้มีปัญญาล้ำลึกดุจห้วงสมุทร ทว่าชั่วแล่นนั้นกลับไม่ค่อยแน่ใจว่าในตัวนางเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรกันแน่
เห็นทีว่าคงได้แต่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวเสียแล้ว!
เป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือรู้สึกว่าสถานการณ์อยู่เหนือทิศทางการควบคุมของตนเองเล็กน้อย มีความรู้สึกไร้พลังอย่างน่าแปลกใจ
แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเขาไม่นานก็โยนความสงสัยเหล่านี้ทิ้งไปข้างหลัง แทนที่จะคาดเดาไปมาอยู่ตรงนี้ ไม่สู้ไปพิสูจน์ประเดี๋ยวนี้เสียเลยยังจะดีกว่า
เขายิ้มพลางรับประทานมื้ออาหารที่สายเกินกว่าจะเป็นมื้อเช้าเร็วเกินไปจะเป็นมื้อเที่ยง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น พลางเอ่ยขึ้นว่า “ไปผลัดอาภรณ์เสีย ประเดี๋ยวพวกเราไปเที่ยวงานวัดกัน!”
“หา?!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
นัยน์ตาดำตัดขาว กระจ่างใสเหลือบรรยาย
เป็นดวงตางามเฉิดฉันคู่หนึ่งจริงๆ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า เจ้าไม่อยากไปออกไปเที่ยวสักหน่อยหรือ”
ไฉนถึงลืมวันสำคัญเช่นนี้ไปได้
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขิน เอ่ยถามว่า “มิใช่ว่าต้องไปตั้งแต่เช้าหรือเจ้าคะ เกรงว่าพระอาจารย์ใหญ่ในวัดคงจะแสดงธรรมเสร็จหมดแล้ว…”
ความหมายก็คือสายเกินไปแล้ว ที่สำคัญคือพวกเขาไปไม่ทันแล้วยังจะไปเพื่ออันใดเล่า
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าอยากจะไปฟังพระอาจารย์ใหญ่เหล่านั้นเทศน์ในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าหรือ ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าจะพุ่งตัวไปเที่ยวงานวัดเสียอีก! แต่ก่อนพอเจิงเจียเอ๋อร์กับเซิงเจียเอ๋อร์ได้ยินว่าพระอาจารย์ใหญ่จะแสดงธรรม ต่างก็หาข้ออ้างแอบหนีออกไปเที่ยวกันแล้ว…” เขามองดูดวงตาของโจวเสาจิ่นที่เบิกกว้างยิ่งขึ้น คล้ายกับเด็กดีที่มาสายแต่กลับเร็วอยู่เสมอผู้หนึ่งที่จู่ๆ ก็ค้นพบว่ามีคนที่หนีเรียนแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้แต่กลับไม่ถูกทำโทษอยู่ด้วยอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าอย่าให้เฉิงเจิงกับเฉิงเซิงชักจูงเด็กน้อยของเขาดีกว่า เขาจึงกอดโจวเสาจิ่น แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ยังคงเป็นเสาจิ่นของข้าที่ว่านอนสอนง่ายที่สุด ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวงานวัด!”
เสาจิ่นของข้า…
น้ำเสียงทะนุถนอมเช่นนั้นทำให้โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกขึ้นมาในทันทีราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ก็ไม่ปาน ทว่าในใจกลับเสมือนลอบกินน้ำผึ้งที่หวานหยดย้อย แต่ก็รู้สึกลนลานเล็กน้อย
เฉิงฉือถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปผลัดอาภรณ์เร็วเข้า แล้วไปบอกฮูหยินสักหน่อยว่า ให้พาคุณหนูสามไปด้วย พวกเราจะไปเที่ยววัดต้าเซียงกั๋วด้วยกัน ตอนเย็นจะไปกินปลากระรอกที่เหลาสุราฟู่ชุนเจียง เถ้าแก่ของพวกเขาเป็นคนซงเจียง พ่อครัวที่นั่นทำอาหารหังโจวได้ถึงรสชาติดั้งเดิมเป็นอย่างยิ่ง”
โจวเสาจิ่นยังจมอยู่ในภวังค์ตั้งแต่เมื่อครู่ ทว่าความเชื่อฟังที่มีต่อเฉิงฉือเรื่อยมาทำให้นางได้ยินแล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ” คำหนึ่งอย่างเลื่อนลอย แล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
เดินไปสองสามก้าว นางถึงได้คืนสติกลับมา
ทำไมท่านน้าฉือถึงกอดนางอีกแล้ว!
หรือจะหักห้ามใจไม่อยู่กันนะ
ถ้าหากไม่กอดนางก็คงดี
เพียงพูดคุยกับนาง… นางก็มีความสุขมากแล้ว
แต่หากมิใช่เพราะควบคุมตนเองไม่อยู่ ท่านน้าฉือก็คงไม่เอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นกับนางเป็นแน่
เห็นได้ว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่สมบูรณ์แบบ… นางเองก็อยู่รับประทานอาหารกับท่านน้าฉืออย่างหน้าไม่อายเหมือนกันมิใช่หรือ
ขณะที่โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ ในใจก็รู้สึกหวานฉ่ำอย่างยากจะระงับ ดวงหน้าแดงซ่านยิ่งขึ้น ยิ่งเดินก็ยิ่งเร่งฝีเท้า ไม่นานก็ทิ้งจี๋เสียงเอาไว้ข้างหลัง
“คุณหนูรองๆ!” จี๋เสียงวิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ พลางกล่าวว่า “ท่านเดินให้ช้าลงสักหน่อย…”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เพียงรู้สึกว่าในใจเบิกบานจนฟูฟ่อง แทบจะลอยล่องออกไปอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ้ารีบตามมาเร็ว!” ขณะที่นางกล่าว ก็เดินไปหาหลี่ซื่อแล้ว
ตอนที่หลี่ซื่อได้ยินว่าเฉิงฉือตั้งใจจะพาพวกนางออกไปเที่ยวงานวัด ทั้งยังจะไปรับประทานมื้อเย็นที่เหลาสุรา หลังจากรู้สึกตะลึงพรึงเพริดแล้วในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ตระกูลหลี่วางแผนให้บุตรสาวคนนี้แต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์มานานแล้ว ตอนที่อยู่บ้านเดิมก็ควบคุมนางอย่างเข้มงวด หลังจากออกเรือน ผู้ที่แต่งงานด้วยเป็นพ่อเมืองที่อายุมากกว่านางสิบกว่าปีผู้หนึ่งอีก กิริยาวาจาของนางจึงเรียบร้อยและระมัดระวังยิ่งขึ้น ต่อให้ออกไปเที่ยวข้างนอก ก็เป็นการไปร่วมงานสังคมเสียมากกว่า เหมือนว่าการออกไปเที่ยวอย่างนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน
นางครุ่นคิดเป็นเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ตัดสินใจได้แล้ว “ดี! พวกเราไปเที่ยวงานวัดกันเถอะ พาโย่วจิ่นไปด้วย”
โจวเสาจิ่นระบายยิ้มจนคิ้วตาเป็นเส้นโค้ง
นางชอบออกไปเที่ยวข้างนอกเป็นครอบครัวอย่างนี้
ช่างอบอุ่นยิ่งนัก!
ไม่นาน โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย รถม้าที่ลานชั้นนอกก็ตระเตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน พวกนางขึ้นรถม้า มุ่งไปยังวัดต้าเซียงกั๋ว
ระหว่างทางหากผู้ที่พบเห็นมิใช่นักท่องเที่ยวที่เดินเที่ยวอยู่ก็เป็นผู้คนที่กลับมาจากการทำบุญไหว้พระ ร้านรวงข้างทางพากันตั้งแผงขายอยู่หน้าประตู มีคนงานหนุ่มตะโกนเรียกลูกค้า สตรีวัยสาวต่อรองราคา สตรีสูงวัยต่อราคาให้ถูกลง กลุ่มสหายสามถึงห้าคนพักซื้อน้ำชาหลบร้อนอยู่ข้างทางหลังจากเดินจนเหนื่อย ทั้งยังมีเด็กหอบดอกอวี้หลานกับดอกโบตั๋นมาขาย ทำให้ถนนทั้งเส้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแต่กลับมีบรรยากาศที่คึกคักและรื่นเริงยิ่ง
โจวเสาจิ่นยังกังวลว่ารถม้าจะผ่านไปไม่ได้
ใครจะรู้ว่าซางมามากลับโผล่เข้ามา ในมือยังถือน้ำผลหลี่มู่[1] สองสามแก้วกับตะกร้าผลไม้หลากหลายชนิดใบหนึ่ง
ในน้ำสีเหลืองสดมีน้ำแข็งใสระยิบระยับสองสามก้อน เห็นแล้วพาให้คนรู้สึกเย็นชื่นใจ
หลี่ซื่อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “นี่คืออะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นเคยเห็นมาก่อนในชาติที่แล้ว
เป็นน้ำดื่มประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมในเมืองหลวง ทำจากผลหลี่มู่ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน สดชื่นและอร่อยกว่าน้ำบ๊วยจากทางตอนใต้
แต่ราคาแพงมาก
เงินหกสิบเหรียญทองแดงถึงจะซื้อแก้วเล็กๆ ได้แก้วหนึ่ง
เพียงแต่ตอนนี้นางอธิบายให้ฟังไม่ได้
ซางมามาได้ยินแล้วตอบยิ้มๆ ว่า “แต่ก่อนตอนที่บ่าวอยู่ที่ก่วงตงเคยเห็นตระกูลร่ำรวยรับรองแขกเหรื่อด้วยน้ำเช่นนี้เจ้าค่ะ เพียงแต่คนที่จินหลิงไม่ค่อยดื่มกันนัก ในเมืองหลวงพอมีคนขายน้ำนี้อยู่บ้าง นายท่านสี่ให้บ่าวไปซื้อมาให้ฮูหยินกับคุณหนูทั้งสองท่านลองชิมดู จะได้ไม่ติดอยู่ในรถม้าแล้วรู้สึกหงุดหงิด ทำให้คุณหนูสามไม่ชอบใจเจ้าค่ะ”
โจวโย่วจิ่นยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง หาได้มีน้ำอดน้ำทนไม่ ง่ายยิ่งนักที่จะร้องไห้กระจองอแงขึ้นมา
หลี่ซื่อเผยสีหน้าซาบซึ้งใจ กล่าวขอบคุณซางมามา แล้วรับน้ำหลี่มู่นั้นมาชิมอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมา อุทานว่า “รสชาติดียิ่ง!” จากนั้นก็เร่งเร้าโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าก็ชิมด้วยสิ! ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นทั้งตัว” จากนั้นก็ป้อนโจวโย่วจิ่นคำหนึ่ง
โจวโย่วจิ่นกำลังทำหน้าบึ้งไม่พอใจพอดี ครั้นได้จิบน้ำหลี่มู่ไปคำหนึ่งก็ดูชื่นชอบยิ่งนัก อยากจะถือทั้งแก้วไว้ดื่มเอง หลี่ซื่อหลอกล่อนางอยู่นานถึงได้หลอกล่อนางสำเร็จ ยื่นแก้วไปให้แม่นม แล้วหยิบผลไม้ลูกหนึ่งยัดใส่มือของโจวโย่วจิ่นแทน จากนั้นจึงกล่าวกับโจวเส่าจิ่นที่ละเลียดจิบน้ำหลี่มู่ว่า “นายท่านสี่รอบคอบจริงๆ! หากรู้เช่นนี้แต่แรก พวกเราควรจะนำขนมขบเคี้ยวติดมาด้วย จะได้ไม่ให้นายท่านสี่ต้องสิ้นเปลืองเงินอย่างนี้”
ซางมามาที่กำลังจะลงจากรถม้าได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่กำชับมาเป็นพิเศษว่า ในเมื่อออกมาเที่ยวทั้งที เช่นนั้นก็ต้องกินของขึ้นชื่อในตลาดและเดินเที่ยวให้ทั่วทุกที่ถึงจะสนุก หากแม้แต่จะกินหรือเที่ยวยังเหมือนอยู่ในบ้าน การออกมาเที่ยวข้างนอกยังจะมีความหมายอะไร เจ้าค่ะ”
“ถ้อยคำนี้กล่าวได้อย่างมีเหตุผลยิ่งนัก!” แต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดพูดเช่นนี้กับหลี่ซื่อ หลี่ซื่อเอ่ยชมเฉิงฉือไม่หยุด สุดท้ายก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “คนที่ดีถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าใครจะมีวาสนาแต่งงานกับเขา!”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ
หลี่ซื่อยังคิดว่าเป็นเพราะอากาศร้อน จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถือตะกร้าผลไม้ใบเล็กยื่นมาให้ พลางกล่าวว่า “รีบชิมดูสิ ยังมีลูกหม่อนสดใหม่ที่ล้างจนสะอาดด้วย” แล้วกล่าวอีกว่า “จิงเฉิงสมเป็นเมืองใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์จริงๆ ของหายากอะไรล้วนมีหมดทุกอย่าง ผลหลี่มู่นั้นเป็นผลไม้จากกวงตงมิใช่หรือ พี่ชายใหญ่ของข้าทำมาค้าขายอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ให้เขาหาทางนำมาฝากพวกเราสักหน่อยดีกว่า พวกเราจะได้คั้นน้ำหลี่มู่ดื่มในบ้านเช่นกัน”
โจวเสาจิ่นระบายยิ้มพลางตอบว่า “ดีเจ้าค่ะ” แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้ารองเอาไว้ขณะละเลียดกินลูกหม่อน หวังว่าถนนเส้นนี้จะทอดยาวออกไปจนเดินไม่สิ้นสุดเป็นนิจก็พอ
***
เนื่องจากมีน้ำดื่มกับผลไม้ที่เฉิงฉือส่งคนมามอบให้แล้ว ต่อให้รถม้าจะเคลื่อนๆ หยุดๆ ก็ไม่กระทบต่ออารมณ์แจ่มใสของโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เลยสักนิด กระทั่งถึงวัดต้าเซียงกั๋ว มองเห็นร้านค้าเล็กใหญ่เรียงรายสองข้างทางหน้าวัดต้าเซียงกั๋วกับฝูงชนที่มาสักการะอย่างเนืองแน่นแล้ว พวกนางก็ตกใจ ทว่าอารมณ์พลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา โจวโย่วจิ่นที่อายุน้อยยังไม่รู้จักปกปิดสีหน้าอารมณ์ ยิ่งแล้วใหญ่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแม่นมอยากจะลงบนพื้น
เฉิงฉือเดินเข้ามา
เขาสวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลินผ้าไหมหังโจวตัวหนึ่ง คาดเอวด้วยเข็มขัดผ้าไหม และห้อยถุงหอมกับตราประทับเล็กๆ เอาไว้ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งผึ่งผาย ประหนึ่งมังกรหงส์ท่ามกลางมวลชน นกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ก็ไม่ปาน โจวเสาจิ่นมองปราดเดียวก็เห็นเขาแล้ว
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “จางซันเจ้าติดตามฮูหยิน หลี่ซื่อเจ้าติดตามคุณหนูรอง หวังอู่เจ้าติดตามคุณหนูสาม เฉินลิ่วอยู่เฝ้ารถม้า ถ้าหากมีคนแตกกลุ่มก็ไม่ต้องตามหากัน ในเมื่อออกมาเที่ยวก็ต้องเที่ยวให้เต็มที่ อย่ามัวเสียเวลาไปกับการตามหาคน ให้รออยู่ที่เพิงใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่หน้าประตูวัดต้าเซียงกั๋วก็พอ” ขณะที่เขาพูด ก็ชี้ไปทางทิศตะวันออก “ข้าได้จองห้องส่วนตัวเอาไว้แล้ว พวกเราจะไปเหลาสุราฟู่ชุนเจียงยามโหย่วชู[2] ทุกคนจงจำเอาไว้ว่า ต้องมาเจอกันใต้ต้นตั๊กแตนใหญ่ก่อนยามโหย่วชูให้ได้ พวกเราจะใช้เวลาอยู่ที่เหลาอาหารฟู่ชุนเจียงอย่างน้อยหนึ่งชั่วยาม ถ้าหากสายกว่านี้ ก็จะถึงเวลาห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล”
ทุกคนขานรับติดๆ กัน
หลี่ซื่อเองก็พอใจมากกับการจัดเตรียมเช่นนี้
จากนั้นทุกคนก็เริ่มเดินเที่ยวซื้อของ
เริ่มแรกพวกนางสองสามคนยังไปไหนมาไหนด้วยกันได้ สุดท้ายโจวเสาจิ่นหยุดดูของที่ร้านขายงานปักของชนเผ่าเหมียว[3] ร้านหนึ่ง แต่หลี่ซื่อกลับอยากไปดูของที่ร้านขายหวีสับไม้ท้อกับปิ่นปักผมซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ทั้งสองคนจึงนัดกันว่าประเดี๋ยวค่อยมาเจอกัน ทว่าตอนที่โจวเสาจิ่นซื้อแบบลายปักของชนเผ่าเหมียวสองสามชิ้นเสร็จแล้วไปหาหลี่ซื่อ นางกลับไม่อยู่ที่ร้านขายหวีสับไม้ท้อนั้นแล้ว
โจวเสาจิ่นเขย่งเท้ามองไปรอบๆ
กลับถูกคนผู้หนึ่งคว้ามือไว้
นางตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอช้อนตาขึ้นมากลับเห็นดวงหน้ายิ้มแย้มบางเบาของเฉิงฉือ
“ตกใจแทบแย่เลยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตบหน้าอก
นางว่าแล้วเชียว เห็นๆ อยู่ว่าข้างกายมีซางมามาติดตามทั้งยังมีผู้คุ้มกันคนหนึ่งอีกด้วย จะปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักมาจับมือของนางได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นอดเงยหน้าขึ้นมามองสำรวจไม่ได้
ซางมามากับผู้คุ้มกันนามว่าหลี่ซื่อผู้นั้นหายไปที่ใดไม่รู้เสียแล้ว
เฉิงฉือยกยิ้มพลางจับจูงมือของนาง กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะเที่ยวงานวัดเป็นเพื่อนเจ้า”
………………………………………………………………….
[1] ผลหลี่มู่ เป็นผลไม้คล้ายมะนาว
[2] ยามโหย่วชู คือเวลา 17.00 น.
[3] ชนเผ่าเหมียว หรือ ชนเผ่าแม้ว เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน