ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 402 แขกมาเยือน
ปลากระรอกรสเปรี้ยวหวานอร่อยถูกปาก กุ้งผัดชาหลงจิ่งสีสันมันวาวหอมกลิ่นอ่อนๆ หมูอบน้ำแดงหวานเค็มกลมกล่อมกลิ่นหอมยวนใจ ฟองเต้าหู้ม้วนยัดไส้ทอดกรอบนอกนุ่มใน… ในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของเหลาสุราฟู่ชุนเจียง บนโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่ทำจากไม้หลีฮวาเต็มไปด้วยอาหารอันโอชา รสชาติของอาหารแต่ละจานล้วนเลิศล้ำ รับประทานแล้วหลี่ซื่อและคนอื่นๆ พูดชมกันไม่หยุดปาก
โจวเสาจิ่นที่ถือตะเกียบอยู่ กลับใจลอยเล็กน้อย
ท่านน้าฉือบอกว่าอยากแต่งงานกับนาง…
ดวงหน้าของนางซับสีแดงเรื่อจางๆ
ทว่าระหว่างนางกับท่านน้าฉือนั้น ราวกับมีหุบเหวลึกสายหนึ่งคั่นกลางอยู่ก็ไม่ปาน อยากจะแต่งงานครองเรือนกันนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก
ท่านน้าฉือก็คงจะรู้เหมือนกันกระมัง
ไม่ต้องพูดถึงสองปีเลย แม้ต้องรอตลอดชีวิต นางก็ยอมรอ
เกรงว่าสิ่งที่นางรอคอยนั้นมิใช่การแต่งงานที่น่าปลาบปลื้มยินดี แต่เป็นคำครหาและประณามอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หากเพียงแค่ตัวนางเอง นางไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นเกรง
กลัวแต่ว่าจะทำร้ายท่านน้าฉือไปด้วย ขอเพียงเขาเอ่ยถึงเรื่องที่อยากแต่งงานกับตนต่อคนของตระกูลเฉิง จะต้องสร้างความปั่นป่วนโกลาหลในตระกูลเฉิงอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยของท่านน้าฉือ ย่อมต้องวางแผนเอาไว้นานแล้ว ถ้าหากท่านน้าฉือประสบความสำเร็จ แปดถึงเก้าในสิบส่วนท่านน้าฉือจะต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมากเป็นแน่ แต่หากท่านน้าฉือล้มเหลว อาจจะถูกตระกูลเฉิงลบชื่อออกจากตระกูลก็เป็นได้
คนเราหาได้มีชีวิตอยู่เพียงอย่างเดียวก็พอ
ต้องการทั้งมิตรสหาย ความมั่งคั่งและฐานะทางสังคม
ถ้าหากท่านน้าฉือสิ้นเนื้อประดาตัว จะมีความสุขอยู่หรือไม่
เหตุเพราะชมชอบคนผู้หนึ่งนางจะปล่อยให้เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อนางได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นมองไปทางด้านนอกที่เฉิงฉืออยู่
ฉากกั้นไม้กฤษณาฉลุลายเด็กน้อยเล่นกันบังแนวสายตาของนาง นางมองไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของเฉิงฉือเลยสักนิด
นางนึกถึงแววตาและสีหน้าที่ดูสงบนิ่งแต่แน่วแน่ขณะที่เฉิงฉือบอกว่าอยากแต่งงานกับนาง ในใจก็รู้สึกขวยเขินระคนหวานฉ่ำ
เป็นนางเองที่โง่เขลา เหตุใดจึงคิดว่าท่านน้าฉือเพียงชมชอบที่หน้าตาอันงดงามของนางเล่า
แม้ว่านางจะงามสะคราญเพียงใด ก็ไม่ถึงกับไร้ผู้แทนที่ได้
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของท่านน้าฉือ หากเพียงต้องการแสวงหาหญิงสาวรูปงามสักคนหนึ่ง ไฉนจนถึงวันนี้ก็ไม่มีสาวใช้ข้างห้องแม้คนเดียวเล่า
แต่ไรมาท่านน้าฉือปฏิบัติต่อนางอย่างสัตย์ซื่อและจริงใจ
นึกถึงตรงนี้ นางกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจอย่างเงียบๆ
เสียง เคร้ง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มีของบางอย่างตกข้างหน้านาง
นางตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อมองดูดีๆ กลับเป็นถั่วลิสงคั่วเกลือที่โจวโย่วจิ่นใช้ตะเกียบคีบตกลงบนโต๊ะแล้วกระเด็นเข้าถ้วยของนาง
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า แล้วลูบศีรษะของโจวโย่วจิ่น
หายากนักที่นางจะแสดงสีหน้าอารมณ์ออกมาถึงเพียงนี้
โจวโย่วจิ่นมุดหลบในอ้อมอกของหลี่ซื่ออย่างขัดเขิน
หลี่ซื่อรีบขอโทษโจวเสาจิ่นยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย
หากเป็นน้องสาวร่วมอุทร เกรงว่าหลี่ซื่อคงไม่ขอโทษขอโพยตนเองถึงเพียงนี้เป็นแน่
เรื่องบางเรื่อง ใช่ก็คือ ‘ใช่’ ไม่ใช่ก็คือ ‘ไม่ใช่’ มิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคน
นางยิ้มพลางกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “คนกันเองอย่าได้พูดเหมือนเป็นอื่น ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อยิ้มน้อยๆ
เป็นการจบเรื่องนี้ลงเสีย
ทว่าจิตใจของโจวเสาจิ่นกลับไม่อาจสงบลงได้
หลังจากที่นางกลับมาแล้วก็ไปต้มน้ำแกงโสมยกไปยังห้องหนังสือของเรือนชั้นนอกด้วยตนเอง
เฉิงฉือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็นั่งข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือรอนางเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้วิ่งมาทั้งวัน ไม่เหนื่อยหรือ เรื่องพวกนี้ให้สาวใช้เด็กทำก็ได้ เจ้ารีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ!”
โจวเสาจิ่นเกิดมาเป็นคนสองชาติภพ เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้ จึงอดรู้สึกประหม่าและเขินอายเล็กน้อยไม่ได้
นางกลัวเหลือเกินว่าด้วยเหตุนี้ท่านน้าฉือจะให้ความใกล้ชิดกับนางเป็นพิเศษ
คล้ายกับว่านางอดรนทนไม่ได้เลยอย่างไรอย่างนั้น
ฉะนั้นท่าทางอย่างนี้ของท่านน้าฉือจึงเหมาะสมพอดี
แม้ว่าดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงระเรื่อ ทว่าสีหน้ากลับดูผ่อนคลายไม่น้อย
นางชี้ไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ข้างหน้าเฉิงฉือ พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ยุ่งมากมิใช่หรือเจ้าคะ”
นายท่านสี่?!
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้นสูง
ฉับพลันโจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกราวกับจะหลั่งโลหิตออกมา
นัยน์ตาของเฉิงฉือฉาบรอยยิ้มอย่างยากจะระงับ ทำให้ดวงหน้าของเขาเปล่งปลั่งเฉิดฉาย
โจวเสาจิ่นเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา กอดถาดรองแล้ววิ่งออกไป
เฉิงฉือหัวเราะเงียบๆ ยกถ้วยตุ๋นขึ้นมาลิ้มรสคำหนึ่งอย่างช้าๆ
ระหว่างที่โจวเสาจิ่นวิ่งปรี่ออกมาจากเรือนถึงได้นึกถึงจุดประสงค์ที่มา
นางหมุนกายไปหาไหวซาน
ไหวซานได้ยินถ้อยคำของนางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เอ่ยถามเป็นการยืนยันขึ้นว่า “ท่านบอกว่า หากนายท่านสี่เกิดความขัดแย้งกับพวกผู้อาวุโสในตระกูล ต้องแจ้งให้ท่านทราบให้จงได้อย่างนั้นหรือขอรับ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
บนดวงหน้ายังเหลือรอยแดงเรื่อจางๆ จากเมื่อครู่ กล่าวว่า “เจ้าเพียงต้องแจ้งให้ข้าทราบก็พอ ข้ากลัวว่าท่านน้าฉือจะเสียเปรียบ”
หากว่าไปถึงขั้นนั้นจริงๆ นางไม่มีทางปล่อยให้ท่านน้าฉือรับผิดชอบตามลำพังอย่างแน่นอน
อย่างมากนางจะกระโดดออกมายอมรับเสีย!
ชาติก่อนนางแต่งงานแล้วใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ ชีวิตนี้นางย่อมใช้ชีวิตอยู่แต่กับพระธรรมได้ด้วยเช่นกัน
คิดๆ แล้วถ้าหากท่านน้าฉือมิได้พูดเรื่องนี้ออกมา นางก็ตั้งใจจะไม่ออกเรือนอยู่แล้วมิใช่หรือ
อย่างไรเสียก็แค่ผลลัพธ์เช่นนี้เท่านั้น นางมีอะไรให้ต้องหวั่นกลัวด้วย!
โจวเสาจิ่นตัดสินใจตามนี้
วันถัดมานางไปห้องครัวทำกับข้าวสองสามจานส่งไปให้ห้องหนังสือ ทั้งยังเปิดหีบเก็บของเตรียมผ้าที่เหมาะสมสองสามพับทำชุดฤดูหนาวให้เฉิงฉือสองสามตัว
หลี่ซื่อได้รับอานิสงส์จากเฉิงฉือกินอาหารที่โจวเสาจิ่นทำเช่นกัน พอรู้ว่าโจวเสาจิ่นต้องการตัดชุดให้เฉิงฉือจึงเข้ามาถามนางว่า “มีผ้าที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ หากว่ายังไม่มี ให้คนจากร้านฟู่รุ่ยฟางส่งผ้ามาให้สักหน่อยก็ได้ ที่นั่นเป็นร้านขายผ้าของตระกูลเดิมของข้า หากเจ้าต้องการซื้ออะไร ก็บอกให้พวกเขาส่งมาให้ได้เลย”
โจวเสาจิ่นยังคิดว่าหลี่ซื่อจะห้ามปรามนางเสียอีก จึงอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็หาใช่ผู้ที่มีตาหามีแววไม่เช่นนั้น นายท่านสี่มอบลานชั้นในให้แก่พวกเราส่วนตนเองกลับพำนักอยู่ที่เรือนใต้… เพียงอาศัยความเคารพส่วนนี้ของเขา พวกเราก็ต้องต้อนรับเขาดั่งแขกผู้มีเกียรติถึงจะถูก”
ตั้งแต่วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าเป็นต้นมา ความรู้สึกดีๆ ที่นางมีต่อเฉิงฉือฉือค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย
ทั้งมีกลยุทธ์ ฝีมือและความสามารถ หนำซ้ำยังรู้การรู้งานไม่ยึดมั่นถือมั่น… เพียงการออกไปเที่ยวงานวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าเล็กๆ ครั้งหนึ่ง กลับเตรียมการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าด้านใดล้วนทำให้คนรู้สึกพึ่งพาได้และพึงพอใจ หายากยิ่งนักที่เขาจะแสดงความเคารพส่วนนั้นต่อพวกนาง ทำให้นางค่อนข้างปลาบปลื้มกับความโปรดปรานที่คาดไม่ถึงและรู้สึกซาบซึ้งใจตามมา
มิน่าเขาถึงควบคุมดูแลกิจการของซอยจิ่วหรู เมื่อสนิทสนมกันแล้วถึงได้รู้ว่าอุปนิสัยของเขาอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ปฏิบัติกับผู้อื่นเสมือนสายลมวสันต์ที่โชยมาต้องดวงหน้า ทำให้คนอดบังเกิดความรู้สึกดีๆ ไม่ได้
โจวเสาจิ่นรับรู้ถึงท่าทีที่หลี่ซื่อมีต่อเฉิงฉือได้
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
เฉิงฉือทำเช่นนี้ ถือเป็นการติดสินบนหลี่ซื่อหรือไม่นะ
นางจึงเลือกผ้าสำหรับตัดชุดให้เฉิงฉืออย่างพิถีพิถัน แล้วไปวัดตัวให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือยืนนิ่งปล่อยให้นางดึงซ้ายดึงขวาหมุนตัวเขาไปมา มิได้เอ่ยถึงเรื่องที่นางเปลี่ยนวิธีขานนามแต่อย่างใด
ไหวซานได้ยินแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด อยากจะบอกโจวเสาจิ่นเหลือเกินว่า ถ้านางต้องการ ก็นำเสื้อผ้าเก่าของนายท่านสี่ไปเป็นแบบตัดเย็บสักตัวก็ได้แล้ว แต่พอเขาเห็นพวกเขาคนหนึ่งยอมตีอีกคนหนึ่งยอมถูกทรมาน จึงกลืนถ้อยคำที่ปริ่มอยู่ที่ปากลงไปทั้งหมด
โจวเสาจิ่นนั่งลงจดขนาดของเฉิงฉือ
เฉิงฉือครุ่นคิด สุดท้ายก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่นางไปกำชับไหวซาน… หากนางรู้สึกไม่สบายใจ ก็ทำให้นางสบายใจเป็นพอ
เขาส่งสัญญาณให้ไหวซานไม่ต้องปิดบังโจวเสาจิ่น
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเอียงศีรษะมองกระดาษหนังสือที่ขีดๆ เขียนๆ เอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาพร้อมกับเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “นี่คืออะไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือเดินเข้าไป
ไหวซานช่วยปิดประตูห้องหนังสือให้พวกเขา
เฉิงฉือกระซิบว่า “ข้าผูกมิตรกับสือควน ต่อมาได้สืบเรื่องขององค์ชายสี่อีกครั้ง ค้นพบว่าพระมารดาขององค์ชายสี่เป็นนางข้าหลวงประจำพระองค์ของฮองเฮาผู้หนึ่ง หลังจากให้กำเนิดองค์ชายกลับไม่ได้รับขั้นยศ ก่อนที่องค์รัชทายาทประสูติพระองค์ทรงพระเจริญในพระตำหนักคุนหนิง[1] เกือบจะบันทึกพระนามเป็นพระโอรสของฮองเฮา ภายหลังเมื่อองค์รัชทายาทประสูติ พระมารดาของพระองค์ถึงได้รับยศเป็นเสวี่ยนซื่อขั้นเจ็ด ไม่นานหลังจากนั้นก็ทรงย้ายออกจากพระตำหนักคุนหนิง”
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
การแต่งตั้งผู้สืบทอดของราชวงศ์ไม่พ้นเรื่องลำดับและความคู่ควร
แต่ลำดับมาก่อนความคู่ควร
พระโอรสที่ฮองเฮาทรงเลี้ยงดูมาก่อน ย่อมได้เปรียบกว่าพระโอรสที่พระสนมอื่นๆ ให้กำเนิดในยามที่เลือกองค์รัชทายาท
นางเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ท่านสงสัยองค์ชายสี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ ควรจะรู้ในสิ่งที่ต้องรู้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างละอายว่า “ปากบอกว่าจะช่วยท่าน แต่กลับกลายเป็นว่าช่วยอะไรท่านมิได้เลยเจ้าค่ะ”
“ความจริงก็ไม่มีอะไรที่ช่วยได้หรอก” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ โน้มกายกระซิบข้างหูนางว่า “หรือไม่ ให้ข้าส่งฮูหยินไปดูแลต้ากูไหน่ไน แล้วอีกสองสามวันเจ้าไปปืนเขาที่วัดต้าเซียงกั๋วเป็นเพื่อนข้าอีกดีหรือไม่ ช่วงนี้ข้าทำงานหนักเหลือเกิน!”
น้ำเสียงคลุมเครือนั้นทำให้โจวเสาจิ่นใจสั่นหวั่นไหว จนหนีเตลิดออกไปด้วยดวงหน้าแดงก่ำปานแสงสนธยา
เฉิงฉือกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
จวบจนกระทั่งโจวเสาจิ่นย่างเท้าผ่านเข้าประตูชั้นในถึงได้สติคืนกลับมา แล้ววิพากษ์ในใจอย่างอดไม่ได้
หลายวันมานี้ฮูหยินวุ่นอยู่กับการตระเตรียมของขวัญให้แก่บิดา บรรดาผู้ช่วยของเขา ฮูหยินของผู้บังคับบัญชาและคนอื่นๆ ไม่มีเวลาว่างไปเยี่ยมพี่สาวเลยสักนิด เขาจึงกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา… จริงๆ เลย… นางไม่รู้จะว่าอะไรดีแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วันนั้นท่านน้าฉือกอดนาง แต่เป็นเพียงการโอบกอดนางเท่านั้น หาได้ทำอะไรเกินเลยกว่านั้น
นางตื่นตระหนกอะไรกัน
ท่านน้าฉือชอบกลั่นแกล้งนาง มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงในวันสองวันนี้เท่านั้น…
โจวเสาจิ่นกลับถึงห้อง
ในคันฉ่องสะท้อนร่างเงาของหญิงสาวผู้หนึ่ง
เครื่องหน้างดงามหาใดเปรียบ ดวงหน้าฉายรอยยิ้มละไมอย่างรักใคร่
นี่คือนางหรือ
โจวเสาจิ่นหมุนกายแล้วหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่องอย่างอดไม่ได้
ท่าทางเหนียมอายและขลาดกลัวนั้น หากมิใช่นางแล้วเป็นผู้ใด
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันเพิ่มความขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย
โจวชูจิ่นส่งคนมาแจ้งพวกนางว่า วันที่ยี่สิบแปดเดือนสี่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะมาถึงเมืองจิงเฉิง
หลี่ซื่อแทบไม่มีเวลาตระเตรียมของขวัญท้องถิ่นเหล่านั้นแล้ว จึงดึงโจวเสาจิ่นมาช่วยจัดเตรียมงานต้อนรับให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ชาติที่แล้วโจวเสาจิ่นเคยพบฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาก่อน จึงนำชุดถ้วยชามเครื่องเคลือบสีแดงหลังฝน[2] ลายบุปผาบานสะพรั่งชุดนั้นออกมาใช้รับรองฮูหยินใหญ่เลี่ยว จากนั้นไปลานด้านหลังดูดอกไม้ที่นางปลูก
หลี่ซื่อเห็นว่าในแปลงดอกไม้มีเพียงดอกกุหลาบกับดอกฉัตรทองที่บานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา จึงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นคุณหนูแบบฉบับของตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ประเภทนั้น จึงพิถีพิถันกับความงดงามเฉพาะตัวของสิ่งของทุกอย่าง
ชุดถ้วยชามเครื่องเคลือบสีแดงหลังฝนที่เฉิงฉือมอบให้ชุดนั้นเป็นชุดเครื่องเคลือบใหม่ที่เตาหลวงผลิตออกมาในปีนี้ แม้ว่าประณีตงดงาม แต่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อน นำออกมาใช้ก็พลอยได้หน้าได้ตาสักหนึ่งถึงสองส่วน การตระเตรียมสิ่งของในเรือนนี้จึงต้องใส่ใจให้มากขึ้นสักหน่อย
นางไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังสนทนากับผู้อื่น
โจวเสาจิ่นรอเขาในห้องข้างพักหนึ่ง ปรากฏว่าผู้ที่ออกมาจากห้องของเขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นอู๋เซียนเซิงผู้ช่วยของเฉิงเซ่านายท่านผู้เฒ่ารองตระกูลเฉิง
นางเข้าห้องหนังสือด้วยความฉงนสงสัย พบว่าดวงหน้าของเฉิงฉือค่อนข้างเคร่งขรึม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างระวัง
เฉิงฉือไม่อยากปิดบังนาง
เด็กคนนี้มีความรู้สึกไวและรับรู้อารมณ์ของตนได้เสมอ
แทนที่จะปิดบังนางแล้วทำให้นางเป็นห่วง ไม่สู้บอกความจริงกับนางไปเสียยังจะดีกว่า
“ตอนนี้ยังไม่รู้” เฉิงฉือกล่าว “ค้นพบว่าความสัมพันธ์ขององค์ชายสี่กับเฉินลี่มหาขันทีประจำพระตำหนักเฉียนชิง[3] ดียิ่งนัก
เฉินลี่… เฉินลี่ผู้ที่อยู่ข้างพระวรกายขององค์ฮ่องเต้ตั้งแต่ทรงเป็นองค์รัชทายาท และปรนนิบัติพระองค์ตลอดชีวิตผู้นั้น?
โจวเสาจิ่นอ้าปากกว้าง
เฉิงฉือโอบไหล่นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง นี่เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก ผู้ใดไม่อยากสนิทสนมกับคนในวังเหล่านั้นเพื่อช่วยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวบ้างเล่า แม้แต่ข้า ก็สนิทสนมกับหลิวหย่งผู้นั้นด้วยมิใช่หรือ”
นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนกัน
โจวเสาจิ่นสังหรณ์ใจ
ในราชสำนักแม้มีกฎข้อห้ามมิให้บรรดาผู้ครองแคว้นผูกมิตรกับเหล่าข้าราชสำนัก แต่การที่องค์ชายผูกมิตรกับขันทีก็ถูกห้ามอย่างชัดเจนโดยกฎหมายเช่นกัน
องค์ชายสี่รู้ทั้งรู้ว่าฝ่าฝืนโดยเจตนา อีกทั้งผู้ที่ผูกมิตรด้วยคือเฉินลี่มหาขันทีผู้ดูแลพระตำหนักเฉียนชิงเสียด้วย
นางรู้สึกรางๆ ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เป็นไปได้ว่าองค์ชายสี่มิได้ใสซื่อไร้เภทภัยดังที่นางเห็นในชาติที่แล้ว
………………………………………………………………
[1] พระตำหนักคุนหนิง คือ พระตำหนักที่ประทับของฮองเฮาในพระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่ง
[2] สีแดงหลังฝน หรือ สีแดงจี้หง (霁红) เป็นชื่อสีเฉดหนึ่งของเครื่องเคลือบ ซึ่งได้ที่มาของชื่อจากเฉดสีของท้องฟ้าหลังฝนนั่นเอง
[3] พระตำหนักเฉียนชิง คือ พระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ในพระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่ง