ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 403 เยี่ยมเยียนกะทันหัน
เพียงแต่นางเป็นหญิงสาวในห้องหอผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนมากล้วนเป็นข่าวลือที่ได้ยินมา จะวิพากษ์วิจารณ์ตามใจแล้วทำให้ท่านน้าฉือเสียเรื่องได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา
ไหวซานเข้ามาแจ้งว่า “นายท่านสี่ จัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ!”
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับตกใจเป็นอย่างมาก เอ่ยถามเสียงหลงว่า “นายท่านสี่จะไปที่ใดเจ้าคะ”
ไม่คาดคิดว่าสีหน้าจะเผยให้เห็นร่องรอยพรั่นกลัวหลายส่วน
เสมือนเด็กน้อยที่พลัดหลงกับพ่อแม่อย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือทนไม่ได้ที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจแม้นิดเดียว รีบก้าวมากอดโจวเสาจิ่นแล้วลูบหลังของนางเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ากำลังคิดจะไปหาเจ้า ข้าต้องกลับไปจินหลิงสักหนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกเจ้าแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องล่วงหน้ากลับไปสักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็สงบใจ รีบผลักเฉิงฉือออกไป “ไหวซาน… ยังอยู่ในห้องนะเจ้าคะ!”
ดวงหน้าแดงก่ำ
เฉิงฉือยิ้มพลางคลายกอดนาง
แต่ก่อนโกรธที่เขากอดนาง ตอนนี้กลับกลัวถูกคนอื่นมาเห็น…
เขาพลันรู้สึกอารมณ์สดใสขึ้นมาในทันใด
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นกลับแดงเถือกยิ่งกว่าเดิม
ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของไหวซานอยู่ในห้อง
หนึ่งครั้งสองครั้งถือเป็นความบังเอิญ แต่สามครั้งสี่ครั้งนั่นคือจงใจกันแล้ว
เกรงว่าคนข้างกายของท่านน้าฉือล้วนทราบเรื่องของตนกับท่านน้าฉือกันหมดแล้ว
นางก้มหน้าลงขณะเอ่ยถามว่า “ท่านจะกลับมาเมื่อใดเจ้าคะ”
มิได้ซักถามว่าเฉิงฉือไปทำอะไร… เนื่องจากเฉิงฉือมีความลับมากมาย
เฉิงฉือโน้มตัวลงมาตอบนาง สีหน้าแสดงความรักใคร่และอาทรอย่างปกปิดไม่อยู่ “ข้าจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะกลับมา ตอนที่กลับมาจะช่วยเอาเสวี่ยฉิวกับนกขมิ้นสองตัวนั้นมาให้เจ้าดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเอียงอาย
หางตาคล้ายกับเห็นเงาร่างของไหวซานวาบผ่านในห้อง
เกรงว่าคงมาเร่งท่านน้าฉือให้ออกเดินทางแล้ว!
ต้องเร่งรุดเดินทางถึงเพียงนี้…
นางกระซิบว่า “เช่นนั้นท่านระวังตัวตอนเดินทางด้วยนะเจ้าคะ อย่าได้เสี่ยงชีวิตตัวเองถึงเพียงนั้น… เงินทองล้วนเป็นสิ่งของนอกกาย”
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วลูบหน้าของนางเบาๆ พลางกล่าวว่า “เสาจิ่น ข้าจะพยายามเร่งกลับมาก่อนพิธีครบร้อยวันของกวนเกอ”
ไปนานขนาดนี้ ความหมายก็คือเรื่องไม่จบลงง่ายๆ อย่างนั้น
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เร่งกลับมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนพิธีครบปีของกวนเกอพวกเราค่อยมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชดเชยให้เขาก็พอ”
พวกเราหรือ
เฉิงฉือรู้สึกปลาบปลื้มใจเหลือคณา
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงแล้ว เขาก็ออกเดินทางไปจินหลิง
โจวเสาจิ่นมองดูรถม้าของเฉิงฉือเคลื่อนออกจากซอยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ในใจรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก เมื่อกลับถึงห้องชุนหว่านถามนางว่าอยากจะไปย่านเฟิงไถเมื่อใด นางถึงนึกได้ว่าตนไปหาเฉิงฉือทำไม
รอให้เฉิงฉือกลับมาแล้วไปเป็นเพื่อนนางดีกว่า
โจวเสาจิ่นตัดสินใจไม่ออกไปที่ใด นอกจากไปพบโจวชูจิ่นกับหลี่ซื่อแล้ว เพียงอยู่แต่ในเรือนช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้เฉิงฉือเท่านั้น
แต่ละวันกวนเกอเอ๋อร์ดูไม่ต่างจากเดิมสักเท่าใด วันนี้ดูดนิ้วเป็น พรุ่งนี้เล่นน้ำลายเป็น ชาติก่อนตอนที่กวนเกอเกิดนางไปอาศัยอยู่ที่บ้านสวนแล้ว ปีหนึ่งพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่ละครั้งยังไม่ทันเล่นจนคุ้นเคยโจวเสาจิ่นก็ต้องกลับไปแล้ว ตอนนี้ได้เห็นกวนเกอที่น่าสนใจเช่นนี้ ดวงตาของนางร้อนผ่าวเหลือแสน
เด็กชอบเล่นกับเด็ก
โจวโย่วจิ่นนอนคว่ำข้างๆ กวนเกออยากจะกอดเขาทั้งวัน หนำซ้ำยังอยากจะให้เขาเรียกนางว่าพี่สาว ทำให้คนทั้งห้องหัวเราะร่วนกันทั่วหน้า โจวโย่วจิ่นพานโกรธจนบุ้ยปากน้อยๆ โดยไม่สนใจผู้ใด มีครั้งหนึ่งยังฉวยโอกาสขณะที่คนรับใช้ข้างกายกวนเกอเผลอตัว เกือบจะอุ้มกวนเกอออกมาจากเปลไกว ทำเอาทุกคนตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว
ไปๆ มาๆ เพียงเวลาแค่เจ็ดแปดวัน โจวเสาจิ่นก็เย็บอาภรณ์ฤดูหนาวชุดหนึ่งให้เฉิงฉือเสร็จแล้ว ขณะที่กำลังจะเตรียมเย็บชุดที่สอง มีสาวใช้เด็กเข้ามาแจ้งนางว่า “กูไหน่ไหนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ!”
กูไหน่ไหนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิง…
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีกถึงได้กระจ่างว่าสาวใช้เด็กคนนั้นหมายถึงผู้ใด
นางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “กูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงหรือ ทั้งสามท่านมาหมดเลย? เวลานี้?”
สาวใช้เด็กนึกถึงรถม้าสีดำหลังคาแบนดูเรียบง่ายแต่หรูหราสามคันนั้นที่จอดอยู่หน้าประตู ก็พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุดพร้อมกับตอบว่า “ป้าที่ติดตามมาด้วยแจ้งอย่างชัดเจนว่าเป็นกูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่เมืองจินหลิงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นลนลานเล็กน้อย
กูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิง ย่อมต้องหมายถึงเฉิงเจิง เฉิงเซียวและเฉิงเซิงนั่นเอง
เฉิงเจิงคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิง แต่งงานกับกู้ซวี่บุตรชายของกู้ซุ่นผู้เป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินในปีนั้น ทั้งยังอายุมากกว่าเฉิงฉือถึงสามปี โจวเสาจิ่นไม่เคยพบปะนางมาก่อน รู้เพียงว่าสามีของนางได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งอย่างก้าวกระโดด บุตรชายเฉลียวฉลาดเป็นที่น่าภาคภูมิใจ สามีภรรยาต่างรักใคร่ปรองดองกัน มีชีวิตที่ดียิ่ง สตรีหลายคนในจิงเฉิงต่างอิจฉานางเป็นอย่างมาก
ส่วนเฉิงเซียวนั้นตอนที่นางเข้าพิธีปักปิ่นโจวเสาจิ่นยังเป็นดรุณีน้อยคนหนึ่ง ทั้งสองคนมิได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นแต่อย่างใด อย่างมากก็เพียงโอภาปราศรัยเมื่อพบหน้ากันยามที่อาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเท่านั้น
เฉิงเซิงใช้เวลาร่วมกับโจวเสาจิ่นยาวนานกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังศึกษาเล่าเรียนกับเฉินต้าเหนียงมาด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะเฉิงเซิงเติบโตข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาตั้งแต่เด็ก ความรู้และวิสัยทัศน์ล้วนไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเฉินต้าเหนียงจึงถือว่าพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย แม้จะกล่าวว่าพวกนางเป็นสหายร่วมสำนักศึกษา แต่ความจริงต้องบอกว่าเฉิงเซิงเป็นผู้ชี้แนะสั่งสอนนางกับเฉิงเจียเสียมากกว่า
พวกนางมาได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้นยังมาด้วยกันอีก?
มิได้ส่งคนมามอบเทียบแจ้งให้ทราบก่อน ก็มาถึงหน้าประตูโดยตรงอย่างนี้…
โจวเสาจิ่นขบคิดแล้วไม่เข้าใจเลยสักนิด ได้แต่บอกสาวใช้เด็กว่า “เชิญกูไหน่ไนทั้งหลายเข้ามาก่อนแล้วกัน!”
สาวใช้เด็กรับคำแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นเปลี่ยนมาสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมสีถั่วเขียวตัวหนึ่งกับกระโปรงจับจีบแปดจีบสีแดงเงิน เรือนผมสีดำขลับมุ่นเป็นมวยแล้วเสียบดอกมะลิดอกเล็กๆ เอาไว้ข้างหลัง กลิ่นหอมยิ่งนัก
นัยน์ตาของทั้งสามพี่น้องตระกูลเฉิงมีรอยตะลึงพรึงเพริดสายหนึ่งวาบผ่าน โดยเฉพาะเฉิงเซิง ไม่ได้พบหน้าโจวเสาจิ่นเพียงสองสามปี โจวเสาจิ่นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน นางเบิกดวงตาโพลงพลางเอ่ยถามว่า “เสาจิ่น เจ้าสมกับคำกล่าวที่ว่าหญิงสาวยิ่งเติบโตยิ่งเปลี่ยนแปลงจริงๆ หากว่าพวกเราพบกันบนถนนโดยบังเอิญ ข้าต้องจำเจ้าไม่ได้แน่ๆ”
นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ไม่ง่ายเลยกว่าจะละสายตาจากดวงหน้าของเฉิงเจิง
เฉิงเจิงงดงามเฉิดฉันยิ่งนัก
ทว่าความงดงามของนางมิได้เกิดจากเครื่องหน้าที่งามพริ้มเพราอย่างนั้น แต่เป็นบุคลิกที่สง่าผ่าเผยทั้งตัว
นางยืนอยู่ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ละม้ายคล้ายดอกโบตั๋นที่เบ่งบานดอกหนึ่ง งดงามเฉิดฉาย ทอประกายพร่างพราว ทำให้คนและสิ่งของรอบข้างหม่นแสง
โจวเสาจิ่นเชิญเฉิงเจิงและคนอื่นๆ ไปนั่งในห้องรับแขก
พวกสาวใช้ยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ
เฉิงเจิงนิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าเฉิงเซียวกลับลอบรู้สึกตกตะลึง
เรือนหลังนี้ขนาดไม่ใหญ่ แต่ทันทีที่เดินเข้ามา สิ่งของทุกชิ้นล้วนมีค่าไม่ธรรมดา ถ้าเพียงแค่นี้ นางมิใช่ผู้ที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน จะหลุดแสดงสีหน้าออกมาได้อย่างไร การจัดตกแต่งเรือนเช่นนี้ มองอย่างไรก็เหมือนฝีไม้ลายมือของท่านย่าจริงๆ
หรือว่าเรือนหลังนี้เป็นท่านย่าที่มอบให้กันนะ
เฉิงเซียวออกจากซอยจิ่วหรูมาเกือบหกเจ็ดปีแล้ว นางย่อมไม่ผลีผลามโพล่งถามออกไปเป็นธรรมดา
เฉิงเซิงเองก็กล่าวอะไรไม่ออกเช่นกัน
เด็กสาวที่หน้าตาเลือนรางในอดีตไม่ต้องพูดถึงว่าเติบโตจนงดงามพริ้งพรายดั่งอัญมณี ทุกท่วงท่าอิริยาบถยิ่งแล้วใหญ่สง่าผ่าเผยและอ่อนหวานนุ่มนวล เด็กสาวที่รู้จักแต่จะหลบอยู่ข้างหลังและร้องห่มร้องไห้ในความทรงจำของนางผู้นั้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินประเภทนี้ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่นางมิอาจปล่อยให้เฉิงเจิงผู้เป็นคุณหนูใหญ่ที่แทบจะไม่รู้จักโจวเสาจิ่นไปทักทายปราศรัยกับโจวเสาจิ่นก่อนได้หรอกกระมัง
เฉิงเซิงจิบน้ำชาคำหนึ่ง แล้วจึงคิดหาหัวข้อสนทนา เอียงกายมาทางโจวเสาจิ่นยิ้มๆ พร้อมกับเอ่ยถามว่า “เสาจิ่น เจ้ามาถึงจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อใด ได้ยินว่าชูจิ่นให้กำเนิดบุตรชายอ้วนท้วนคนหนึ่ง ข้าเพิ่งทราบข่าวหลังจากมาถึงจิงเฉิง ตั้งชื่อบุตรแล้วหรือยัง ได้ยินพี่หญิงรองบอกว่า เด็กครบเดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำพิธีครบเดือนเลย กำลังเตรียมจะจัดพิธีครบร้อยวันใช่หรือไม่ กำหนดวันแล้วหรือยัง โชคดีที่ครั้งนี้ข้าอยู่จิงเฉิง ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าพี่น้องคงไม่คิดจะเชิญข้าแล้วใช่หรือไม่”
นางแต่งงานกับบุตรชายของเผิงเสียงผู้เป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน เฉิงเว่ยบิดาของเฉิงเซิงกับเผิงเสียงผู้นั้นเป็นสหายที่สอบผ่านขุนนางในปีเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดียิ่งนัก พวกเขาเองก็ชอบพอกันก่อนแต่งงานถึงได้ทำการหมั้นหมาย บรรพบุรุษของตระกูลเผิงอยู่ที่เจียงซี ทว่าพวกเขาแต่งงานในเมืองหลวง หลังจากแต่งงานแล้วก็กลับไปกราบไหว้บรรพชนที่เจียงซี เพิ่งจะกลับมาถึงจิงเฉิงเมื่อสองวันก่อน
ในชาติที่แล้ว พวกเขาก็ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างรักใคร่กลมเกลียวเช่นกัน
เฉิงเซิงและคนอื่นๆ ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ยังเคยเชิญนางไปเป็นแขกที่บ้าน พอรู้ว่านาง ‘ป่วย’ ยังตั้งใจมาเยี่ยมนาง และนำโอสถสมุนไพรต่างๆ มอบให้นางอีกด้วย
ต่อมาเป็นไปได้ว่าคงจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสามพี่น้องจึงไม่ได้ติดต่อโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นอีกเลย
ความจริงแล้วหลังจากที่โจวชูจิ่นให้กำเนิดกวนเกอก็ได้ส่งเทียบเชิญให้ตระกูลเฉิง
ตอนที่กวนเกอเอ๋อร์กำเนิด โจวชูจิ่นก็ส่งจดหมายแจ้งตระกูลเฉิงเช่นกัน เหตุเพราะตระกูลเฉิงล้วนมีแต่บุรุษ จึงไม่มีผู้ใดจากทางด้านโน้นมาเลยสักคน เพียงส่งของขวัญล้ำค่ามากมายสำหรับพิธีอาบน้ำครบสามวันของทารกแรกเกิดมาให้เท่านั้น
ทว่าในตอนนั้นมีแต่เฉิงเจิงที่อยู่จิงเฉิง
บุตรชายคนโตของเฉิงเจิงเป็นอีสุกอีใส เฉิงเจิงจึงเซ่นไหว้พระแม่ฝีดาษอยู่ในเรือน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอเฉิงฉือเดินทางไปแล้ว พวกนางจึงมาเยี่ยมถึงบ้านในทันที
ท่านน้าฉือเคยบอกว่า ใต้หล้าขวักไขว่ต่างหมายแสวงหาผลประโยชน์ ผู้คนคับคั่งต่างหมายแสวงหาผลกำไร[1]
ทั้งยังสำทับอีกว่า เวลาที่เจ้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี วิธีที่ดีที่สุดก็คือปฏิบัติด้วยใจอดทนและรับมือไปตามสถานการณ์
โจวเสาจิ่นค่อยๆ ตอบคำถามของเฉิงเซิงว่า “ข้ามาถึงหลังปีใหม่เจ้าค่ะ ท่านก็รู้นิสัยของข้าดี ไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอกนัก บวกกับตอนนั้นพี่สาวตั้งครรภ์ หนำซ้ำข้างกายไม่มีผู้อาวุโสคอยดูแล ฮูหยินจึงพาข้ามาเจ้าค่ะ…” สุดท้ายถามถึงกู้หนิงบุตรชายคนโตของเฉิงเจิงว่า “ตอนนี้เขาดีขึ้นแล้วหรือยังเจ้าคะ”
เฉิงเจิงได้ยินแล้วคลี่ยิ้ม พลางตอบว่า “ขอบคุณเจ้ามาก เขาดีขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าออกบ้านหรอก” จากนั้นก็ชี้เฉิงเซียว “พี่สาวเซียวของเจ้ามาถึงจิงเฉิงเมื่อสองวันก่อน คิดว่าพวกเจ้าสองพี่น้องก็อยู่จิงเฉิงเหมือนกัน พวกข้าจึงมาเยี่ยม ต้องขออภัยที่มาเยี่ยมกะทันหันอย่างนี้”
เป็นความสนใจใคร่รู้ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั่นเอง
โจวเสาจิ่นก็พอจะเข้าใจได้
ทั้งสองคนพูดถึงเฉิงเจียว่า “….แต่ก่อนเป็นก้อนแป้งกลมๆ ก้อนหนึ่ง ไม่อยากเชื่อเลยว่าในชั่วพริบตาก็ออกเรือนให้ผู้อื่นแล้ว น่าเสียดายที่พวกเราพี่น้องต่างอยู่กันคนละที่คนละแห่ง แม้แต่ตอนที่ออกเรือนก็ไม่ได้ไปส่งตัว!” ตอนที่นางกล่าวถ้อยคำนี้ก็ดูเสียใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายวันก่อนข้าได้รับจดหมายจากพี่สาวเจีย นางเล่าว่านางมีชีวิตที่ดีอยู่ที่นั่น มีบางครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่าสร้างความลำบากให้แก่นาง นางจึงโต้ตอบกลับไป ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่เรียกหลี่จิ้งมาคุย ทว่าหลี่จิ้งกลับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่โกรธเองแล้วจบเรื่องเองไปเท่านั้นเจ้าค่ะ…”
เฉิงเซิงหัวเราะร่าแล้วกล่าวว่า “คาดไม่ถึงว่าในบรรดาพวกเราพี่น้องผู้ที่ร้ายกาจที่สุดจะเป็นเฉิงเจีย”
ทุกคนพากันหัวเราะร่วนอีกครั้ง
เฉิงเจิงเสนอให้ไปเยี่ยมโจวชูจิ่นขึ้นว่า “พวกข้ายังไม่ได้เจอหน้ากันเลย จะได้ไปพบกวนเกอด้วย”
โจวเสาจิ่นจึงไปซอยอวี๋ซู่เป็นเพื่อนพวกนาง
โจวชูจิ่นได้รับจดหมายแจ้งแล้ว อุ้มลูกมารออยู่ที่หน้าประตูชั้นใน
เฉิงเจิงรีบกล่าวว่า “เจ้าพาลูกออกมาได้อย่างไร หากต้องลมแรงมาจะทำอย่างไร!”
ตอนที่เป็นเด็กโจวชูจิ่นเคยพบเฉิงเจิงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผู้ที่พบเจอนางมาก่อนทุกคนล้วนบังเกิดภาพจำที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำทั้งนั้น โจวชูจิ่นมองทีเดียวก็รู้ว่าเป็นเฉิงเจิง ตอบยิ้มๆ ไปว่า “ข้าเห็นว่าวันนี้อากาศดียิ่งนัก จึงอยากพาลูกออกมาเดินเล่นสักหน่อยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็มอบบุตรให้แม่นม แล้วทำความเคารพแก่เฉิงเจิงอย่างนอบน้อม
เมื่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาย่อมต้องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน
………………………………………………………………….
[1] ใต้หล้าขวักไขว่ต่างหมายแสวงหาผลประโยชน์ ผู้คนคับคั่งต่างหมายแสวงหาผลกำไร หมายถึง ผู้คนทั่วหล้าต่างหลั่งไหลกันมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง