ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 407 พี่สามี
ผู้ที่พูดก็คือเด็กสาวที่หน้าตาซุกซนผู้นั้น
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ หัวเราะร่วน
เด็กสาวผู้นั้นเห็นแล้วก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ คล้องแขนของเฉิงเจิงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “พี่สาวเจิง” แล้วทักทายเฉิงเซียวกับเฉิงเซิง จากนั้นก็กวักมือเรียกสหายที่มาด้วยกันของนางว่า “พี่สาวเจีย นี่คือคุณหนูทั้งหลายของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่จินหลิงเจ้าค่ะ!”
ดวงหน้าของหญิงสาวผู้นั้นพลันซับสีแดงเรื่อราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขินอายเล็กน้อย
หญิงสาวที่สง่าผ่าเผยถึงเพียงนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นเหนียมอายขึ้นมาได้
โจวเสาจิ่นลอบเกิดความรู้สึกไม่ดี
เหมือนดังคาด หญิงสาวผู้นั้นก้าวมาทำความเคารพพวกนางอย่างนอบน้อม แล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆ ขณะยืนอยู่ข้างหนึ่ง
เด็กสาวที่หน้าตาซุกซนผู้นั้นก็เม้มปากกลั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่สาวเจียเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ! พี่ชายร่วมอุทรของนาง ก็คือใต้เท้าหมิ่นผู้เป็นจ้วงหยวนในการสอบขุนนางครั้งก่อนๆ เจ้าค่ะ”
ฉับพลันทุกคนต่างแสดงสีหน้ากระจ่างแจ่มแจ้ง
โจวเสาจิ่นย่นหัวคิ้วน้อยๆ
คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยน มิใช่คนผู้นั้นที่ต้องแต่งงานกับเฉิงสวี่หรอกหรือ
วันนี้มันวันอะไรกัน
ออกมาเที่ยวตลาดดอกไม้ก็บังเอิญมาเจอคู่หมั้นของเฉิงสวี่เสียได้!
ชาติก่อนนางไม่เคยพบหน้าคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นมาก่อน ไม่คาดคิดว่าในชาตินี้นางจะพบเจอกันเร็วขนาดนี้
แต่หวังว่าต่อไปต่างฝ่ายต่างจะพบปะกันให้น้อยลง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นผู้นี้กับคุณหนูตระกูลฟางถึงได้สนิทสนมกันเพียงนี้
เฉิงเจิงแนะนำโจวเสาจิ่นให้แก่คุณหนูทั้งสองท่าน แล้วแนะนำเด็กสาวทั้งสองคนให้นางรู้จัก “นี่คือคุณหนูหกตระกูลฟาง ชื่อตัวว่า ‘เซวียน[1]’ อักษรเดียว ส่วนท่านนี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น…”
ฟางเซวียนกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “พี่สาวหมิ่นมีชื่อเป็นอักษรตัวเดียวว่า ‘เจีย[2]’ พวกเราสองคนต่างเป็นหญ้าเจ้าค่ะ”
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะขบขัน
โจวเสาจิ่นก็หยักมุมปากขึ้นตาม ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา โชคดีที่นางดูเหมือนเด็กสาวที่สุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง บวกกับความสนใจของหมิ่นเจียล้วนเพ่งไปที่สามพี่น้องตระกูลเฉิง สามพี่น้องตระกูลเฉิงเองก็สนใจหมิ่นเจียเช่นกัน ไม่มีผู้ใดสนใจนางเลยทั้งสิ้น
เฉิงเซียวจึงยิ้มพลางถามฟางเซวียนว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาเที่ยวตลาดดอกไม้วันนี้หรือ ท่านลุงไม่ได้จับเจ้าคัดอักษรหรอกหรือ”
น้ำเสียงนั้น สนิทสนมกันยิ่งนัก
เห็นได้ว่าตระกูลหยวนกับตระกูลฟางสนิทชิดเชื้อกันมาก
ฟางเซวียนถอนหายใจพลางกล่าวว่า “พี่สาวเซียวนี่พูดอะไรไม่พูดมาพูดเรื่องนี้เสียได้จริงๆ! ท่านพ่อของข้าจะปล่อยข้าออกมาได้อย่างไรเล่า เป็นเพราะว่าพี่สาวเจียมาจากฝูเจี้ยน ท่านแม่ของข้าจึงให้ข้าออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนพี่สาวเจีย ท่านพ่อของข้าถึงได้เอ่ยปากทองว่า ยอมให้ข้าคัดอักษรน้อยกว่าทุกวันห้าร้อยตัวเจ้าค่ะ” ขณะที่นางพูด ก็เดินไปกอดกู้หนิงกับกู้จงที่ตามเฉิงเจิงอยู่ข้างหลังอย่างเรียบร้อย แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สาวเจิง เหตุใดวันนี้พวกท่านถึงมาเที่ยวตลาดดอกไม้เช่นกันเจ้าคะ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง พวกข้าไม่เจอพวกเจ้ามาพักหนึ่ง พวกเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
กู้หนิงกับกู้จงต่างแย้มรอยยิ้มน่ารักออกมา พลางเรียกฟางเซวียนว่า “น้าหญิงเล็ก” กู้จงผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่กล่าวว่า “ทำไมท่านถึงไม่ไปเยี่ยมพวกข้านานแล้วขอรับ”
ฟางเซวียนหน้าแดงระเรื่อ กระแอมไอชั่วครู่หนึ่ง แล้วตอบยิ้มๆ ว่า “คราวหน้าตอนที่น้าเล็กไปหาพวกเจ้า จะเอาขนมสายไหมกับน้ำหลี่มู่ไปฝากพวกเจ้า!”
ทั้งสองคนจึงพยักหน้าพลางยิ้มร่า
เฉิงเซิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะไม่หยุด แล้วกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “นางเป็นบุตรสาวท่านลุงรองของข้า ลำดับที่หกในบรรดาพี่สาวน้องสาว ความจริงแล้วนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านลุงรองของข้า อายุสี่สิบกว่าปีถึงได้มีบุตรสาวคนนี้ จึงรักและตามใจเป็นอย่างมาก เป็นคนที่ค่อนข้างสดใสร่าเริง ถ้อยคำวาจาก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน แต่จิตใจกลับดียิ่ง”
หมายความว่าหากฟางเซวียนพูดอะไรผิด ให้นางไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ
ทุกคนมาพบกันโดยบังเอิญ โจวเสาจิ่นไม่มีทางโกรธนางลงหรอก
นางยิ้มให้กับเฉิงเซิง
จู่ๆ เฉิงเซิงก็ถอนหายใจ พลางกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าหน้าตางดงามจริงๆ อุปนิสัยก็ดีขนาดนี้ ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนสักหน่อยถึงจะถูก หลีกเลี่ยงไม่ให้แต่งงานกับคนอื่นแล้วถูกแม่สามีหรือพี่น้องสามีบีบคั้นเอาได้…”
แต่ก่อนเฉิงเซิงก็บอกให้นางอย่าอดทนอดกลั้นไปเสียทุกอย่าง ตอนนั้นนางเพียงคิดว่าเฉิงเซิงเป็นบุตรสาวที่ทุกคนโปรดปราน คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[3]… ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ถ้อยคำของนางมีเหตุผลมาก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นถ้อยคำที่พูดด้วยความจริงใจ
โจวเสาจิ่นลุแก่โทษอยู่ในใจ
วังต้าเหนียงเห็นทุกคนสนิทสนมกันยิ่ง ก็รู้สึกโล่งใจ รีบเชิญทุกคนไปดื่มน้ำชาที่ศาลาริมน้ำข้างนอกเรือนเพาะชำอย่างกระตือรือร้นว่า “…พวกคุณหนูกับคุณนายยังชมสวนดอกไม้ของตระกูลข้าได้ด้วยเจ้าค่ะ”
เฉิงเจิงยิ้มพลางตอบว่า “ดี” คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับนาง ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นธรรมดา
มีแต่โจวเสาจิ่นที่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากจะไปดูดอกไม้อื่นๆ ของพวกนาง พี่สาวทั้งหลายเชิญไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะตามไปเจ้าค่ะ”
ในเมื่อพบกับว่าที่ภรรยาของน้องชายที่นี่ สามพี่น้องตระกูลเฉิงคงต้องสนใจหมิ่นเจียเป็นอย่างมาก แทนที่จะให้นางนั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่มีอะไรทำอยู่ตรงนั้น ไม่สู้ไปดูว่าตระกูลวังมีดอกไม้อะไรขายบ้างยังจะดีกว่า นางคาดหวังกับการมาเฟิงไถเป็นอย่างยิ่ง หวังจะได้ดอกไม้ดีๆ กลับไปสักสองสามกระถาง
ท่านน้าฉือบอกว่าถ้าเป็นไปได้ จะรุดกลับมาฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกับนาง
ถึงตอนนั้นอากาศก็ร้อนมากแล้ว
หากปลูกต้นไม้สักสองสามต้นได้ ก็คงเย็นสบายลงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือได้ตุนน้ำแข็งไว้บ้างหรือไม่
หรือว่าเกลี้ยกล่อมให้ท่านน้าฉือย้ายไปพักที่เรือนที่ประตูเฉาหยางทางโน้นดีนะ
ในเมื่อทางโน้นเลี้ยงม้าได้ตั้งหลายตัว จะต้องมีพื้นที่กว้างขวางมากเป็นแน่
โจวเสาจิ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเดินไปส่งเฉิงเจิงและคนอื่นๆ แล้ว ก็เดินวนรอบเรือนเพาะชำของตระกูลวังรอบหนึ่ง
บุตรสาวของตระกูลวังอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนาง คอยแนะนำต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นในเรือนเพาะชำให้แก่นางเป็นพักๆ “…ทางนี้คือดอกฉาเหมย… ส่วนทางนี้คือต้นล่าเหมย เพิ่งแตกหน่อออกมา กำลังจะตัดแต่งกิ่งพอดีเจ้าค่ะ… ทางนี้คือดอกโบตั๋น เป็นโบตั๋นสองสีที่ท่านปู่ของข้าเพาะพันธุ์ในตอนนั้น ยังมีกระถางทางนี้ เป็นดอกว่านสิบแสน แม้มิใช่สายพันธุ์หายากอะไร แต่ขายได้ดียิ่ง ผู้ที่มาร้านของพวกข้าต่างต้องนำกลับไปกระถางหนึ่ง… ทางนี้คือดอกจุหลัน ส่งมาจากฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ” นางกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงัก แล้วกล่าวว่า “คุณหนูฟางผู้นั้นก็มาซื้อดอกจุหลันเจ้าค่ะ”
หมิ่นเจียเป็นคนฝูเจี้ยน ฟางเซวียนอยากซื้อดอกจุหลันให้ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งนัก
นางยิ้มพลางพยักหน้า แล้วพิศดูดอกว่านสิบแสนของตระกูลวังอย่างละเอียด
ใบไม้เต่งตึง ดอกไม้ก็เป็นตูมใกล้เบ่งบาน เริ่มมองเห็นสีกลีบดอกไม้ได้แล้ว
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “สมเป็นดอกไม้ที่ต้องนำกลับไปกระถางหนึ่งจริงๆ”
แม่นางวังยิ้ม ทว่าดวงหน้ากลับปรากฏรอยลังเลสายหนึ่ง
แต่ไรมาโจวเสาจิ่นหาใช่คนที่เรื่องมากอะไร เพียงแสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วก้มหน้าเลือกต้นว่านสิบแสนเจ็ดแปดกระถางอย่างพิถีพิถัน
สุดท้ายคุณหนูตระกูลวังทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “ที่แท้ผู้ที่คุณหนูฟางมาพาด้วยก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น! ข้าก็เคยไปชมตอนที่พี่ชายของนางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหลากสีในขบวนแห่จ้วงหยวน เพียงแต่อยู่ไกลเกินไป มองเห็นไม่ชัดเลยสักนิด คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ จ้วงหยวนหมิ่นผู้นั้นก็ต้องหน้าตาหล่อเหลามากเป็นแน่” ท่าทางรู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เป็นแม่ยกละครงิ้วในสวนหลี่เหล่านั้นก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นยกยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ข้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ข้าเลยไม่รู้”
แม่นางวังหน้าซับสีแดงเรื่อ รีบเรียกคนงานมาช่วยย้ายต้นว่านสิบแสนที่โจวเสาจิ่นชื่นชอบไปไว้ข้างหนึ่ง หลังจากนั้นค่อยขนไปไว้บนรถม้าให้นาง
โจวเสาจิ่นเลือกดอกเหมย ดอกฉาฮวาและต้นส้มทองอีกสองสามกระถาง แล้วถามนางว่ามีต้นไม้จำพวกดอกซีฝู่ไห่ถังหรือไม่
แม่นางวังจึงนำนางไปยังเรือนเพาะชำอีกแห่งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นวุ่นกับการดูดอกไม้อยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็เดินทั่วสวนดอกไม้ของตระกูลวังครบรอบหนึ่ง นางค้นพบว่าดอกไม้ของตระกูลวังเพาะปลูกได้ดีกว่าพวกต้นไม้ นางจึงไม่ได้ฝืนใจตนเอง เพียงดูแล้ว ตัดสินใจว่าถ้าหากคราวหน้ามาอีกก็ไปเดินชมเรือนเพาะชำดอกไม้ของตระกูลอื่นๆ ดูแล้วกัน ในเมื่อขายดอกไม้ในย่านเฟิงไถได้ แต่ละตระกูลย่อมต้องมีดอกไม้ที่เพาะพันธุ์ได้ดีของตระกูลนั้นๆ เป็นแน่
ขากลับ นางพบกับเฉิงเจิง
นางกำลังพาบุตรชายสองคนชมดอกไม้ ระหว่างชมดอกไม้ก็ยังกล่าวไปด้วยว่า “…เจ้าเห็นดอกไม้สีชมพูนั้นหรือไม่ นั่นคือดอกชุ่ยจวี๋[4] ส่วนดอกไม้สีแดงสดทางด้านโน้น เรียกว่าดอกกระดาษ พวกเจ้าเห็นความแตกต่างของพวกมันหรือไม่”
กู้หนิงพิเคราะห์ดูอย่างจริงจัง ส่วนกู้จงยิ้มร่าพลางถามว่า “ท่านแม่ ดอกเบญจมาศมิใช่ว่าบานในช่วงเดือนเก้าหรอกหรือขอรับ เหตุใดพวกมันถึงเบ่งบานในฤดูนี้ได้เล่า เป็นเพราะว่าอยู่ในเรือนเพาะชำอย่างนั้นหรือขอรับ”
“ไม่ใช่” เฉิงเจิงอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็นว่า “ดอกสองชนิดนี้ผลิบานในฤดูนี้ เป็นดอกไม้ที่ค่อนข้างเห็นได้ทั่วไป ดอกไม้ที่ค่อนข้างมีราคาจึงจะเพาะเลี้ยงในเรือนเพาะชำ สำหรับว่าเหตุใดพวกมันถึงผลิบานในฤดูนี้ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ประเดี๋ยวกลับไปแล้ว พวกเจ้าไปถามบ่าวที่ดูแลดอกไม้ของตระกูลพวกเราดีหรือไม่”
ทั้งสองคนพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกัน
กู้หนิงกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้แล้วขอรับ กลีบดอกชุ่ยจวี๋นั้นบานหมดแล้ว แต่กลีบดอกกระดาษนั้นยังเป็นตูมอยู่ขอรับ…”
เฉิงเจิงลูบศีรษะของกู้หนิงเป็นการชื่นชม
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วใจอ่อน
เด็กผู้ชายวัยเดียวกันคนอื่นๆ ที่นางพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นเด็กที่ซุกซนแก่นแก้ว ทว่าบุตรชายสองคนของตระกูลกู้กลับสุภาพเรียบร้อยยวดยิ่ง เฉิงเจิงสั่งสอนพวกเขาได้ดีจริงๆ!
เห็นได้ว่าที่คนของซอยจิ่วหรูต่างบอกว่าเฉิงเจิงเหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นมิใช่คำพูดเลื่อนลอยเสียแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ไฉนเวลานี้นางถึงไม่อยู่สนทนากับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นและคนอื่นๆ ที่ศาลาริมน้ำ แต่พาบุตรชายออกมาชมดอกไม้หรือ
นางยิ้มพลางเดินเข้าไป
เด็กชายสองคนทำความเคารพนาง
เฉิงเจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินพี่สาวเจ้าบอกว่าดอกไม้ของเจ้าก็ปลูกได้ดีเช่นกัน ถือว่ามีผู้ช่วยคนหนึ่งมาแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าต้องถูกเด็กสองคนนี้ซักถามจนตอบไม่ได้แน่ๆ”
แม้นางจะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้ากลับอาบเอิบไปด้วยความภาคภูมิใจ
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มพลางเข้าไปชมดอกไม้กับเฉิงเจิงแม่ลูก
มีสาวใช้เด็กวิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ พลางแจ้งว่า “ต้าไหน่ไน คุณหนูหกตระกูลฟางกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นจะกลับไปแล้ว บอกว่าอยากจะร่ำลาท่านเจ้าค่ะ!”
นี่เป็นมารยาทพื้นฐาน โจวเสาจิ่นย่อมยินดีที่จะตามไปด้วย
ดูทีแล้วฟางเซวียนสนิทสนมกับเฉิงเซียวที่สุด นางคะยั้นคะยอให้พวกโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ไปเป็นแขกที่บ้าน แล้วกล่าวกับเฉิงเซียวว่า “พี่สาวมาที่นี่ก็ไม่บอกข้า หากว่าท่านยังเลื่อนนัดอีก ข้าก็จะฟ้องท่านป้านะเจ้าคะ!”
เฉิงเซียวรับปากอย่างอารมณ์ดี แล้วส่งฟางเซวียนกับหมิ่นเจียกลับไป
เฉิงเซิงก็กล่าวขึ้นว่า “ดูทีแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นค่อนข้างไม่เลว ท่านป้าใหญ่เลือกสะใภ้คนนี้ได้ไม่เลวเลยทีเดียวนะเจ้าคะ”
ทว่าเฉิงเซียวที่เมื่อครู่ยังดูกระตือรือร้นยิ่งกลับเย็นเยือกขึ้นมา ตอบไปว่า “ฟางเซวียนเป็นเด็กที่ไม่ระวังตัวคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าที่พบกันครั้งนี้เป็นการพบกันโดยบังเอิญหรือเตรียมตัวมากันแน่… เกรงว่ายังต้องจับตาดูอีกที”
เรื่องที่ตระกูลหมิ่นเอ่ยว่าให้เฉิงสวี่สอบผ่านขุนนางก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องหมั้นหมายนั้นนางจำฝังใจมาโดยตลอด
ทว่าเฉิงเจิงกลับไม่ได้กล่าวอันใด ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ใกล้มืดแล้ว พวกเราก็ต้องกลับกันแล้วเหมือนกัน”
เฉิงเซิงสัมผัสถึงความเย็นชาของเฉิงเจิงสองพี่น้อง จึงมองโจวเสาจิ่นอย่างฉงนสงสัย
โจวเสาจิ่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ
แม่นางวังที่ไปส่งฟางเซวียนกับหมิ่นเจียเสร็จแล้ววิ่งกลับมา ถามว่าพวกนางมีดอกไม้ที่ชื่นชอบหรือไม่
เฉิงเซิงเลือกดอกจุหลันสองสามกระถาง เฉิงเซียวเลือกต้นไม้จำพวกต้นตงชิงสองสามกระถาง ทว่าเฉิงเจิงกลับเลือกดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปอาทิ ดอกฮวาเยียนเฉ่า[5] ดอกรักเร่และดอกปั้นจือเหลียน[6] เป็นต้น
ตอนที่ขนดอกไม้ขึ้นรถม้า เฉิงเซิงชื่นชมสายตาแหลมคมของโจวเสาจิ่น อีกทั้งเห็นว่าโจวเสาจิ่นซื้อดอกว่านสิบแสนที่ใกล้บานแล้วหลายต้นในคราวเดียว ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ต่อให้อยากจะมอบให้พี่สาวของเจ้า เจ้าก็ซื้อมามากเกินไปอยู่ดี”
โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “บางกระถางเป็นดอกไม้ที่มอบให้พวกท่านเจ้าค่ะ เป็นครั้งแรกที่ออกมาข้างนอกกับพี่สาวทั้งหลาย ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรให้พวกท่านดี เพียงเป็นการยืมดอกไม้มาถวายเทพ มอบดอกว่านสิบแสนสองสามกระถางให้พวกท่านแล้วกันนะเจ้าคะ”
………………………………………………………………….
[1] เซวียน (萱) คือ ดอกลิลลี่สายพันธุ์หนึ่ง มีดอกสีเหลือง ส้มและแดง
[2] เจีย (葭) คือ ต้นกก
[3] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่อาจเข้าใจความทุกข์ยากของผู้อื่น แต่กระนั้นกลับพูดเหมือนรู้ดี
[4] ดอกชุ่ยจวี๋ คือ ดอกแอสเทอร์จีน (Chinese Aster) ลำต้นเป็นพุ่มสูง 25-90 ซ.ม. ดอกไม้มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน มีสีขาว ชมพู แดง ฟ้า ม่วง และเหลือง
[5] ดอกฮวาเยียนเฉ่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nicotiana alata Link et Otto เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในอาเจนติน่าและบราซิล ดอกไม้รูปทรงคล้ายดาว มีสีขาว เหลืองและชมพู
[6] ดอกปั้นจือเหลียน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scutellaria barbata D. Don เป็นพืชในสกุลมินต์ ลำต้นสูงประมาณ 35 ซ.ม. ดอกมีสีม่วงอ่อน