ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 414 สัมผัส
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง
แผงขนตายาวนั้นทั้งโค้งและงอนงาม
เฉิงฉือใจกระตุกตามไปด้วยสองที
“ท่านน้าฉือ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างฉงน “พี่เขยของข้าเขา…ทำเรื่องอะไรที่ไม่สมควรใช่หรือไม่ ข้าขอโทษท่านแทนเขาได้หรือไม่เจ้าคะ”
ท่าทางเช่นนั้น ไม่คาดคิดว่าจะแฝงความกระวนกระวายแกมหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
เฉิงฉือรู้สึกคล้ายกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กระแทกกลางหน้าอกของเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาหายใจไม่ออก
เพื่อเลี่ยวเส้าถังผู้นี้ นางถึงกับระวังตัวต่อหน้าเขาเช่นนี้ ยังต้องการขอโทษเขาแทนเลี่ยวเส้าถังอีก… โจวชูจิ่นพี่สาวของนางเฉลียวฉลาดและมากความสามารถกว่านางเป็นร้อยเท่ามิใช่หรือ ไฉนต้องให้นางช่วยออกหน้าแทนด้วยเล่า
กว่าครู่ใหญ่เฉิงฉือไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของโจวเสาจิ่นจดจ่ออยู่ที่เฉิงฉือ ไม่ว่าจะเป็นความยินดีหรือขุ่นเคืองของเฉิงฉือแม้ผู้อื่นมองไม่เห็นแต่นางรับรู้ได้ทั้งหมด
นางไม่รู้ว่าทำไมเฉิงฉือถึงได้อารมณ์เสียขนาดนี้
เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่เลย
ต่อให้พี่เขยของนางทำอะไรผิด เขา…เขาก็ไม่จำเป็นต้องโมโหนางถึงเพียงนี้เลย! ยิ่งกว่านั้นนางก็ขอโทษเขาแทนพี่เขยแล้ว… หรือว่าพี่เขยจะทำเรื่องอะไรลงไปจริงๆ กันนะ
โจวเสาจิ่นทั้งรู้สึกหวั่นกลัวและร้อนรน
นางอดดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือไม่ได้ กระซิบว่า “ท่านน้าฉือ ท่านอย่าโกรธเลยได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะให้พี่สาวไปบอกพี่เขย… พี่เขยเชื่อฟังคำของพี่สาวเสมอ…”
เฉิงฉือเห็นนางวิตกกังวลจนขอบตาแดงเรื่อหมดแล้ว มองดูนางอย่างสงสารเอ็นดู ราวกับแมวน้อยที่กำลังจะถูกเขาทองทิ้งไปก็ไม่ปาน ดวงใจพลันอ่อนยวบ จากนั้นก็รู้สึกแน่นหน้าอก
นี่เขาเป็นอะไรไปหรือ
ต่อให้ถุงเท้าคู่นี้เป็นของที่ทำให้เลี่ยวเส้าถังแล้วอย่างไร แต่ไหนแต่ไรฝีมือเย็บปักของเสาจิ่นก็ดียิ่ง โจวชูจิ่นเป็นทั้งมารดาและพี่สาวสำหรับนาง นางช่วยพี่สาวทำถุงเท้าสองสามคู่ให้เลี่ยวเส้าถังก็เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้… เพียงแต่ต่อไปอย่าเสียเวลามากขนาดนั้นก็พอ ยังปักลายบนถุงเท้าอีก ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว…
หรือว่านี่ก็คือความอิจฉาที่คนอื่นว่ากันนะ
เขาอิจฉาที่เสาจิ่นปฏิบัติกับเลี่ยวเส้าถังดีกว่าตนอย่างนั้นหรือ
แต่นี่ก็น่าขบขันเกินไปแล้ว…
เฉิงฉือรู้สึกสลับซับซ้อนในใจเล็กน้อย
ทว่าข้างหลังความรู้สึกยุ่งเหยิงนี้ เขากระจ่างแจ้งแก่ใจ
เกรงว่าเขากำลังอิจฉาจริงๆ เสียแล้ว!
เขาสวมกอดโจวเสาจิ่นในอ้อมอกอย่างอดไม่ได้ จูบกระหม่อมของนางขณะกล่าวว่า “ข้าไม่ได้โกรธ! เจ้าอย่ากลัวเลย! ข้าเห็นเจ้าทำถุงเท้ามากมายขนาดนี้ อีกทั้งลายดอกไม้นั้นก็ยากซับซ้อนถึงเพียงนั้น กลัวว่าเจ้าจะปวดตา…”
ท่านน้าฉือคิดว่าลายดอกไม้นี้ซับซ้อนไปหรือ
โจวเสาจิ่นนึกถึงถุงเท้าเหล่านั้นที่หนานผิงเย็บให้เขา ทันใดนั้นก็ผลักเฉิงฉือ แล้วถามว่า “ท่าน…ท่านไม่ชอบลายดอกไม้บนถุงเท้าหรือเจ้าคะ”
นางเค้นใช้ความคิดมากมายถึงได้ออกแบบออกมาได้
เฉิงฉือกระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดล
ไม่ออกไปเที่ยวข้างนอก แต่อยู่บ้านทำถุงเท้าให้เขา
เขานึกถึงร่มเงาแมกไม้ที่เงียบสงบนั้น นึกถึงโฉมสะคราญที่นั่งเย็บปักใต้ร่มไม้อย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางสง่างาม… ดวงใจก็ราวกับพองฟูขึ้นมา เปี่ยมไปด้วยความรักอ่อนหวาน
“เสาจิ่น” เขากอดคนตัวเล็กไว้แน่นอีกครั้ง “ข้าชอบมาก ชอบมากจริงๆ…”
เสียงกระซิบทุ้มต่ำและนุ่มนวลดังขึ้นข้างหูนาง ลมหายใจร้อนจัดรดต้นคอของนาง หัวใจของนางร้อนรุ่ม ร่างกายอ่อนระทวยจนทรงตัวไม่อยู่แล้ว
“เสาจิ่น…” เขาเรียกชื่อของนาง จู่ๆ ก็ขบเม้มติ่งหูของนางไว้ในปาก น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่าขึ้นมา “เด็กดีของข้า…”
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง จิตใจว้าวุ่นปั่นป่วน ขาอ่อนยวบยาบ ยกมือขึ้นแล้วผลักเฉิงฉือ “ไม่เอาเจ้าค่ะ…ไม่เอา…”
น้ำเสียงขลุกขลัก ละม้ายคล้ายลูกแมวตัวน้อยที่กำลังส่งเสียงร้อง ยิ่งเย้ายวนใจเข้าไปใหญ่
เฉิงฉือเคลิบเคลิ้มหลงใหล สติสัมปชัญญะถูกโยนทิ้งในซอกมุมหนึ่งไปนานแล้ว ไหนเลยจะยอมปล่อยมือ มือข้างหนึ่งโอบเอวของนางอีกข้างโอบหลังของนาง จูบริมฝีปากของนางอย่างเร่าร้อนราวกับอยากจะฝังร่างนี้เข้าไปก็ไม่ปาน
ริมฝีปากชมพูเรื่อนุ่มชุ่มชื้น ลิ้นเรียวเล็กอุ่นร้อนเรียบลื่น ลิ้นกับฟันที่เกี่ยวตวัดกัน คล้ายผีเสื้อร่ายรำหยอกล้อกลางมวลบุปผา… ทุกอย่างล้วนทำให้เฉิงฉือเคลิบเคลิ้มเหลือแสน
เป็นครั้งแรกที่เกิดแรงปรารถนาอันแรงกล้า
“เสาจิ่น…” เขาจุมพิตคนที่ยิ่งเขารู้ความนึกคิดของนางครั้งหนึ่งก็ยิ่งทำให้เขารักนางมากขึ้นผู้นั้นไปด้วย พร้อมกับหลอกล่อนางให้ยินยอมคล้อยตามระหว่างที่ละเลียดริมฝีปากของนางไปด้วยว่า “ข้าจากไปยี่สิบกว่าวัน คิดถึงเจ้าทุกเมื่อเชื่อวัน… ได้แต่หวังว่าจะได้เร่งรุดกลับมา… อากาศก็ร้อนอีก มีตุ่มผดแดงๆ เห่อขึ้นเต็มตัว… แป้งพิมเสนก็ใช้ไม่ได้ผล… แล้วเจ้าล่ะ คิดถึงข้าบ้างหรือไม่…”
ท่านน้าฉือเป็นอย่างนี้อีกแล้ว!
ไม่เคารพนางแม้นิดเดียว!
โจวเสาจิ่นน้ำตารื้นขนตา ทั้งเอียงอายและขัดเคือง ขณะที่กำลังคิดว่าครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้เขาปฏิบัติกับนางตามอำเภอใจเช่นนั้นได้อีก… จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงออดอ้อนของเฉิงฉือดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด… ใจของนางสั่นหวั่นไหว แม้แต่แรงผลักเฉิงฉือก็มลายหายไปหมด… ในใจรู้สึกโมโหที่ตนเองใช้ไม่ได้เลย หนำซ้ำพอได้ยินว่าเพื่อเร่งกลับมา บนหลังของเขาถึงกับมีตุ่มผดแดงๆ เห่อขึ้น… นางแสนปวดใจ ไหนเลยจะยังสนใจความเหนียมอายเหล่านั้นของตนเอง รีบเอ่ยถามเขาด้วยเสียงร้อนรน แต่ถูกเขาฉวยโอกาสดูดดันลิ้นของนางนานพักใหญ่ สุ้มเสียงขลุกขลักฟังไม่ได้ศัพท์ “ผะ…ผดแดงขึ้นที่ใดเจ้าคะ…ได้หาท่านหมอแล้วหรือยัง…”
เฉิงฉือไม่รู้ตัวว่ามุมปากของตนกระตุก
เขารู้ว่าผู้ที่เด็กน้อยเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเขา ขอเพียงเขาไม่สบายตรงไหนนางก็ไม่ชอบใจ ยอมอ่อนโอนให้กับเขาและคล้อยตามเขา… ชาติก่อน เฉิงสวี่ไอ้สารเลวผู้นั้นขืนใจนางเช่นนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม หากไม่มีเฉิงสวี่ เกรงว่าเด็กน้อยย้อนกลับมาเกิดใหม่ก็คงไม่ได้พบเขาเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความขุ่นแค้นที่เขามีต่อเฉิงสวี่ก็อันตรธานหายไปมากแล้ว
เขาหลอกล่อนางต่อไปว่า “ข้าเร่งรุดกลับมา…คิดว่ากลับถึงจิงเฉิงแล้วคงจะได้เชิญท่านหมอมาสักคน…”
โอกาสที่ดีถึงเพียงนี้ ไม่คว้าเอาไว้ก็โง่งมแล้ว
เฉิงฉือสบช่องจับมือของนางล้วงเข้าไปในเสื้อของเขา…
“เจ้าลองแตะดูสิ ผดแดงยังไม่หายเลยใช่หรือไม่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นรู้สึกดวงหน้าร้อนผะผ่าว มือกำเป็นหมัดเพื่อหลีกเลี่ยง
แม้จะตื่นตระหนก ทั้งยังขวางกั้นไว้ด้วยอาภรณ์ฤดูร้อน แต่นางยังสัมผัสถึงเรือนกายกำยำล่ำสันของเขาได้
นี่ทำให้โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกยิ่งขึ้น รู้สึกดวงหน้าร้อนซู่จนทำให้น้ำตาของนางแทบจะระเหยได้เลยทีเดียว
เฉิงฉือเพียงแค่อยากให้โจวเสาจิ่นค่อยๆ คุ้นชินกับความใกล้ชิดกันของพวกเขา หาได้ต้องการให้โจวเสาจิ่นไปแตะต้องตัวเขาจริงๆ ยิ่งกว่านั้นในวันแรกที่เดินทางกลับเขาเพียงคร้านจะสวมหมวกกันแดดจึงถูกแดดเผาจนหลังมือแดงเล็กน้อย ไม่ได้มีผดผื่นเห่อขึ้นแต่อย่างใด หากโจวเสาจิ่นแตะสักหน่อย ก็คงถูกจับได้แล้วกระมัง
เขาจึงปล่อยมือ
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เฉิงฉือสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางผ่อนคลายลงกว่าเมื่อครู่มาก
ทว่าเขากลับฉวยโอกาสยื่นมือเข้าไปในเสื้อคลุมแขนสั้นของนาง
โจวเสาจิ่นอยากรู้สึกเย็นสบาย บวกกับตนอยู่ในบ้าน ข้างนอกเอี๊ยมบังทรงเพียงสวมเสื้อตัวในผ้าแพรสีเงินตัวเดียว แล้วคลุมด้วยเสื้อคลุมแขนสั้น จึงถูกเฉิงฉือสัมผัสได้อย่างง่ายดาย
“อย่านะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นพลิกฝ่ามือไปจับมือของเฉิงฉือ หยาดน้ำตารื้นแผงขนตาอันงอนยาวอย่างรวดเร็ว
ละม้ายคล้ายหยาดน้ำค้างยามอรุณก็ไม่ปาน กระจ่างใสพราวระยับ
เฉิงฉือจูบซับน้ำตานั้นอย่างรักใคร่
น้ำตารสเค็มและเย็นซ่านไหลซึบซาบเข้าสู่หัวใจของเขา
“เด็กดี จูบข้าที” มือของเขาลูบไล้องเอวขึ้นไป เลื่อนไล้แผ่นหลังหมดจดราวหยกของนาง แล้วดุนลิ้นของนาง “หวานจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นเก้อเขินยิ่งนัก แทบอยากจะหารอยแยกบนพื้นดินมุดลงไปเสีย
ทว่ามือของเฉิงฉือราวกับนำพาความร้อน ทำให้ร่างกายของนางร้อนผ่าว เลือดลมเดือดพล่าน เสมือนมีของบางอย่างกำลังจะพลุ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้นางประหวั่นพรั่นกลัว…
“ท่านน้าฉือ ท่านอย่าทำเช่นนี้… อย่าทำเช่นนี้…” นางคร่ำครวญอ้อนวอน น้ำตาใกล้จะเอ่อไหลออกมา
“ได้!” ปกติเฉิงฉือไม่สนใจว่านางจะพูดอะไร เขาเพียงทำในสิ่งที่เขาคิดว่าดีต่อนาง ถึงแม้โจวเสาจิ่นจะอ้อนวอนไปเช่นนั้น แต่ไม่ได้คิดว่าเฉิงฉือจะทำตามคำขอของนางแต่อย่างใด เพียงขอไปเผื่อจะโชคดีในความสิ้นหวังเท่านั้นเอง ทว่าครั้นนางร้องวิงวอน เขาก็ชักมือออกจากแขนเสื้อของนางทันที
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เฉิงฉือหัวเราะแล้วงับติ่งหูของนาง กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “เช่นนั้นข้าจูบใบหูของเสาจิ่นก็แล้วกัน…” คล้ายกับบอกเป็นนัยว่าโจวเสาจิ่นชื่นชอบให้เขาจูบใบหูของนางอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นนิ่งงันไปชั่วขณะ
เฉิงฉือที่สง่างามและสูงส่งผู้นั้น เปลี่ยนไปเช่นนี้ได้อย่างไร
ใบหููทั้งใบถูกเฉิงฉือโลมเลียในปาก สุ้มเสียงรอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นเลือนรางไม่เสมือนจริงเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นผลักตัวเขา สะกดกลั้นอยู่นานแล้วจึงโพล่งคำว่า “หยาบคาย” ออกมาคำหนึ่ง
เฉิงฉือจุมพิตจอนผมของนางพลางหัวเราะคิกคัก กล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า “เจ้าเด็กโง่” แล้วกล่าวอีกว่า “เพราะน้าฉือเจอเจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้… เจ้าเคยเห็นข้าแลดูหญิงอื่นสักครั้งบ้างหรือเปล่า”
ไม่เคยจริงด้วย!
รวมถึงจี๋อิ๋งที่งามหยาดเยิ้มผู้นั้นด้วย
ทำนบในใจของโจวเสาจิ่นราวกับถูกความอ่อนหวานไหลท่วมท้น จนใกล้จะล้นปรี่
ร่างกายของนางยิ่งอ่อนยวบยาบ
ครั้งนี้เฉิงฉือละเลียดจูบนางอย่างใจเย็น อ่อนโยน อาวรณ์ และอ่อนหวาน… จูบนางประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นหลับตาลง ราวกับก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ได้ยินอะไรเลยทั้งนั้น มีเพียงวงแขนอันทรงพลังของเฉิงฉือ กับจูบที่ประเดี๋ยวอ่อนโยนประเดี๋ยวดุดัน…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกเย็นวาบ นางค้นพบว่าเฉิงฉือคลายจูบนางแล้ว
เขาไม่จูบนางแล้วหรือ
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างงงงัน
นางไม่รู้ว่าการที่ตนเองใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้นเย้ายวนคนมากเพียงใด
เฉิงฉือหลุดหัวเราะเงียบๆ กล่าวยิ้มๆ ข้างหูนางว่า “มีคนเข้ามา!”
โจวเสาจิ่นยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะหนึ่ง
เฉิงฉือคลี่ยิ้มพลางช่วยจัดเสื้อผ้ากับผมเผ้าให้นาง
นางถึงได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา
“อ๊ะ!” นางอุทานเบาๆ
เฉิงฉืออุ้มนางขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาดีๆ
เสียงของฝานหลิวซื่อดังขึ้นนอกผ้าม่านอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ ห้องครัวต้มน้ำแกงถั่วเขียวเอาไว้และแช่ในน้ำแข็งแล้ว ข้าจะยกเข้าไปนะเจ้าคะ…”
เฉิงฉือมองดูโจวเสาจิ่นที่ดวงหน้าแดงก่ำ อ่อนโยนบอบบางราวดอกไม้ผลิบานยามวสันต์ก็ไม่ปาน
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นมาโดยที่ไม่มีผู้ใดอนุญาต
ฝานหลิวซื่อยกถาดเคลือบสีแดงเขียนลายดอกไห่ถังด้วยสีทองใบหนึ่งเข้ามา
ข้างหลังนางยังมีซางมามาตามเข้ามาด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วนหลายส่วน
ครั้นซางมามาเห็นเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นนั่งบนเตียงเตาริมหน้าต่างซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง แม้ใบหน้าของโจวเสาจิ่นจะแดงก่ำและเอนอิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างอ่อนหวาน ทว่าสีหน้าของเฉิงฉือกลับอ่อนโยนขณะหยิบถุงเท้าเหล่านั้นขึ้นมาพินิจดูอย่างสบายอารมณ์ นางพรูลมหายใจยาวเหยียดอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือรับน้ำแกงถั่วเขียวอย่างเหม่อลอย
หากมองจากทิศทางของเขา จะเห็นซอกคอของโจวเสาจิ่นซับสีแดงเรื่อไปหมด
เขาครุ่นคิด มิน่าบทกลอนเหล่านั้นถึงได้กล่าวว่า ‘ครั้นได้รับการสนับสนุน ก็สลัดความงามที่เปลือกทิ้งเหลือแต่กระดูก’ เห็นได้ว่าค่อนข้างมีเหตุผล… เขาให้คนหาโอกาสส่งหลักฐานที่เฉิงสือกับเฉิงเจิ้งวางแผนทำลายเฉิงสวี่แก่หยวนซื่อ ไม่คาดคิดว่าหยวนซื่อจะโวยวายจนเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา เดิมทีเขายังคิดว่าเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป… ทว่าตอนนี้กลับอยากจะโอบกอดหญิงงามเร็วๆ เสียแล้ว
เช่นนั้นก็ช่วยเติมฟืนให้หยวนซื่อสักหน่อยแล้วกัน!
………………………………………………………………….