ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 416 ไปเยี่ยมเยียน
โจวเสาจิ่นฟังพี่สาวกับหลี่ซื่อพูดชมเฉิงฉือ ก็รู้สึกดีใจระคนเสียใจ
หากว่าพวกนางรู้เรื่องระหว่างนางกับเฉิงฉือละก็ จะต้องสาปแช่งก่นด่าเฉิงฉือแน่นอน ไหนเลยจะยังเอ่ยปากชมเขาได้
แต่ให้นางไปหาเฉิงฉือ…เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการแอบนัดพบเล่า… แต่ก่อนตอนที่ทุกคนแสร้งทำเป็นสับสนมึนงงนางยังปิดหูขโมยกระดิ่งได้ ตอนนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาแล้ว นางจะกล้าไปพบเฉิงฉือได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจถ้อยคำที่เฉิงฉือกล่าวว่า แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประโยคนั้นขึ้นมาในทันใดว่าเป็นข้ออ้างข้อหนึ่งที่ใช้ได้ดีมากทีเดียว
หากรู้เช่นนี้แต่แรก นางก็ควรแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านน้าฉือเป็นคนที่ละเอียดลออคนหนึ่ง สถานที่ที่เขาอยู่มักจะมีชารสดี มีของกินเล่นแสนอร่อย หมอนอิงใบใหญ่มีความนุ่มนิ่มพอดี ดอกไม้ในแจกันกู[1] ก็เบ่งบานได้อย่างสวยงาม เมื่อเอนอิงหมอนอิงริมหน้าต่าง ขณะพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับท่านน้าฉือไปด้วย และเล่นหมากล้อมที่วางหมากลงแล้วแต่ดึงกลับไปได้ทุกเมื่อกับเฉิงฉือไปด้วย ก็รู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาใดที่ดีกว่านี้เลย
โจวเสาจิ่นจึงอดทอดถอนใจไม่ได้
ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็สายเกินไปแล้วจริงๆ!
นางนึกถึงภาพขณะที่เฉิงฉือโอบกอดตน… ซ้ำยังจับมือของนางล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา…
เจ้าคนเหลวไหลผู้นี้!
โจวเสาจิ่นสบถเย็นหลายคำ ดวงหน้าพลันแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
เรือนร่างใต้อาภรณ์ตัวนั้นทั้งกำยำและล่ำสัน… แต่ท่านน้าฉือกลับดูสูงเพรียวและผึ่งผาย… ถ้าหากครั้งหน้าเขายังกล้าทำเช่นนี้กับตน นางก็จะ…ผลักเขาหรือไม่ก็หยิกเขาแรงๆ สักสองทีดีหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจไม่ได้เล็กน้อย
นางกอดหมอนอิงใบใหญ่แล้วกลิ้งไปมาบนเตียง
ชุนหว่านยกถาดรองเข้ามาพอดี เมื่อเห็นแล้วก็อดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเถือกยิ่งขึ้น
กระแอมไอครั้งหนึ่งเป็นการกลบเกลื่อน แล้วลุกขึ้นมาจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยพลางถามว่า “เจ้ายกอะไรมาหรือ”
“น้ำแกงถั่วเขียวเจ้าค่ะ” ชุนหว่านวางถ้วยคลือบสีขาวนวลบนโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าให้จี๋เสียงวางทิ้งไว้ให้เย็น ท่านรีบดื่มเถิด อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ก็ดีกว่าจินหลิงอยู่ดี จินหลิงร้อนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทว่ากลางคืนของจิงเฉิงกลับเย็นสบายยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นหากให้เจ้ารั้งอยู่ที่จิงเฉิง เจ้ายินยอมหรือไม่” โจวเสาจิ่นดื่มน้ำแกงถั่วเขียวแล้วสนทนากับชุนหว่าน
ชุนหว่านให้สาวใช้เด็กเข้ามาเก็บถาดรองกับถ้วยออกไป คลี่ยิ้มพลางตอบว่า “ข้าไปที่ใดก็ได้เจ้าค่ะ ขอเพียงติดตามคุณหนูรองไปก็พอ!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ตามความคิดของนาง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมจากบ้านเกิดเท่าใดนัก
ชุนหว่านอธิบายยิ้มๆ ว่า “ตั้งแต่ข้าอายุห้าขวบก็ถูกส่งไปที่ซอยจิ่วหรูแล้ว ผู้ที่ไปมาหาสู่กันล้วนแล้วแต่เป็นพี่สาวน้องสาวเหล่านี้ หน้าตาของพ่อแม่พี่น้องล้วนจำไม่ค่อยได้แล้ว แม้ว่าในใจยังคิดคะนึงหา แต่ถ้าหากให้ข้ากลับไปอยู่กับพวกเขา ความจริงแล้วรอบตัวล้วนเป็นคนแปลกหน้าทั้งนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าจะคุ้นเคยกับชีวิตที่นั่นได้หรือไม่เจ้าค่ะ ในทางกลับกันหากอยู่ข้างกายคุณหนูรอง พูดคุยหัวเราะกันอย่างนี้ เพียงพริบตาเดียววันวันหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว ข้าคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้มากกว่าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเข้าใจนางได้เหมือนกัน
เช่นเดียวกับนางในชาติที่แล้ว ขอเพียงได้อยู่กับพี่สาว ถึงอยู่ที่ใดก็มีชีวิตเหมือนกันทั้งสิ้น
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าชุนหว่านจะมีความผูกพันลึกซึ้งต่อนางถึงเพียงนี้
โจวเสาจิ่นจึงคิดว่าตนยิ่งมิอาจทำลายความไว้วางใจที่ชุนหว่านมีให้แก่ตนได้เลย
ทว่าแต่ไหนแต่ไรนางไม่มีสายตามองคนสักเท่าใด…
วันรุ่งขึ้น นางเรียกปี้อวี้เข้ามาพูดคุย “อีกไม่กี่ปีชุนหว่านก็ต้องออกเรือนแล้ว หากว่าข้างกายเจ้ามีผู้ที่ทั้งหน้าตาและอุปนิสัยล้วนเหมาะสมกัน ก็ช่วยสอดส่องดูให้ชุนหว่านที”
ปี้อวี้ประหลาดใจ
ปกติสาวใช้ใหญ่เช่นนี้ล้วนแล้วแต่จะแต่งงานกับบ่าวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของตนเอง เช่นนี้จะได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน ล่มจมก็ล่มจมด้วยกัน เพิ่มทวีความจงรักภักดี
นางอยากจะย้ำเตือนโจวเสาจิ่นสักสองประโยค แต่เปลี่ยนใจเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่เจินจูกล่าวกับนางยามที่มาถึง นางอดเงียบงันไปชั่วขณะไม่ได้ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าต้องกลับไปถามนายท่านสี่ก่อนเจ้าค่ะ ข้าดูแลเรือนชั้นใน สามีผู้นั้นของข้าก็เป็นเพียงพ่อบ้านเล็กๆ คนหนึ่ง สายตาถือว่ายังจำกัดนัก สาวใช้ใหญ่ข้างกายนายท่านสี่หลายคนเช่นหมิงเฮ่อล้วนแต่งงานออกเรือนอย่างดียิ่งยวด ไม่สู้ขอนายท่านสี่ช่วยดูให้ดีกว่านะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอาย เอ่ยถามว่า “เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องไปหาท่านน้าฉือหรอกกระมัง” พูดจบก็ตรึกตรองอีกว่าถ้าหากเฉิงฉือช่วยดูให้สักหน่อย จะต้องคว้าผู้ที่ดีกว่าได้แน่นอน จึงสำทับว่า “อย่างน้อยก็รอให้มีความคืบหน้าก่อนค่อยพูดกับท่านน้าฉือเถอะ”
นางลืมไปแล้วว่าในชาติก่อนเพียงแค่ตนเลือกสาวใช้สำหรับทำงานหยาบคนหนึ่งก็ยังต้องให้พี่สาวช่วยตัดสินใจเลย
ทว่าในชีวิตนี้กลับกล้าช่วยชุนหว่านเลือกสามีเสียแล้ว
“เช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ “นี่เป็นเรื่องใหญ่รีบร้อนไม่ได้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นแย้มรอยยิ้มพลางพยักหน้าหงึกๆ
จากนั้นปี้อวี้ก็เล่าถึงเรือนที่ประตูเฉาหยางของเฉิงฉือให้นางฟังว่า “…ส่วนตะวันออกบอกว่าจะเก็บไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เจ้าค่ะ ปลูกต้นการบูรเอาไว้หลายต้น พวกโถงรับรอง ห้องหนังสือของลานชั้นนอก ห้องรับแขก และสวนดอกไม้ล้วนอยู่ในบริเวณส่วนกลาง ส่วนตะวันตกเป็นที่พำนักของนายท่านสี่ ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้มากมาย ยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ สวนหนึ่ง ได้เชิญนายช่างมาสร้างเรือนเพาะชำหลังหนึ่งไว้ด้วย นายท่านสี่บอกว่า คุณหนูรองรอบรู้ด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ประเดี๋ยวอีกสักสองสามวันคงต้องเชิญคุณหนูรองไปดูสักหน่อย ช่วยชี้แนะบ่าวไพร่ที่ดูแลสวนดอกไม้ว่าควรปลูกต้นไม้ดอกไม้อะไรบ้างนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นมิได้เอื้อนเอ่ยคำใด ทว่านัยน์ตากลับฉายแววฉงนเล็กน้อย
ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ในน้ำเสียงแฝงความระมัดระวังหลายส่วน
โจวเสาจิ่นเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกระซิบถามว่า “ปี้อวี้ ที่จินหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้า ดูเหมือนสนิทสนมน้อยกว่าเมื่อก่อนและพินอบพิเทามากขึ้น…”
ปี้อวี้รู้สึกละอาย
นางก็ได้ยินเจินจูเล่าให้ฟังอีกเช่นกัน สาเหตุที่พวกนางสองสามีภรรยาถูกเลือกมาจิงเฉิงนั้น เนื่องจากนางได้รับความโปรดปรานจากโจวเสาจิ่น… เมื่อนางพบโจวเสาจิ่นอีกครั้ง จึงไม่ค่อยแน่ใจว่าควรวางตัวเช่นไรดี
หากประจบประแจง นางปฏิบัติต่อโจวเสาจิ่นด้วยความจริงใจมาโดยตลอด คิดว่าคงจะทำลายความรู้สึกของกันและกันเป็นแน่
พอสามีของนางถูกโยกย้ายมาจิงเฉิงก็ได้เป็นพ่อบ้านชั้นสอง ไม่รู้ว่ามีบ่าวในซอยจิ่วหรูมากเท่าใดที่กระเสือกกระสนทั้งชีวิตถึงได้เป็นเพียงพ่อบ้านชั้นสองคนหนึ่งเท่านั้น นางได้รับความโปรดปรานจากโจวเสาจิ่นอย่างแท้จริง จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ นั่นก็ไม่สำนึกบุญคุณเกินไปแล้ว
ปี้อวี้จึงได้แต่เคารพนบนอบต่อโจวเสาจิ่น
แต่ตอนนี้ดูทีแล้ว คุณหนูรองก็ยังคงเป็นคุณหนูรองที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยน้ำใสใจจริงคนนั้นเช่นเดิม แต่เป็นตนเองต่างหากที่เปลี่ยนไป
นี่ก็คือสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเอาไว้ว่า ไม่หวั่นไหวต่อลาภยศเงินทอง ไม่สยบต่ออำนาจกำลัง รักษาตัวตนของตนเองดีกว่า!
นางโขกศีรษะให้โจวเสาจิ่นสามครั้งอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “คุณหนูรอง พวกข้าสองสามีภรรยาได้รับตำแหน่งที่ดีขนาดนี้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นอานิสงส์จากคุณหนูรองเจ้าค่ะ…”
ปี้อวี้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้โจวเสาจิ่นฟังทั้งหมด
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก รีบดึงปี้อวี้ขึ้นมา
ปี้อวี้คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ไม่มีบ่าวหญิงที่ออกเรือนแล้วดูแลเหย้าเรือน คุณหนูรองว่างวันไหนก็ไปเยี่ยมเยียนเถิดนะเจ้าคะ ข้าจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”
ท่าทีเฉกเช่นแต่ก่อนยามอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน
โจวเสาจิ่นดีใจ ตอบว่า “แน่นอนๆ”
ทั้งสองคนพูดคุยเจื้อยแจ้วนานครึ่งค่อนวัน โจวเสาจิ่นถึงได้ทราบว่าฮูหยินหยวนทะเลาะกับจวนรองและจวนสาม แต่สุดท้ายปี้อวี้เป็นคนที่ออกเรือนไปแล้ว เรื่องบางเรื่องของแต่ละจวนล้วนเป็นความลับภายในตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด หรือทะเลาะกันอย่างไร ปี้อวี้ไม่รู้เลยทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นเพียงเป็นห่วงจวนสี่เท่านั้น
ปี้อวี้กระซิบว่า “เจินจูและคนอื่นๆ ให้ข้าซื้อของจุกจิกให้พวกนาง อีกสองวันข้าจะฝากพ่อบ้านในจวนส่งกลับไปจินหลิง ท่านอยากจะฝากจดหมายกลับไปหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับพรรคเจ็ดดาราเหล่านั้นที่เฉิงฉือเล่าให้ฟัง นึกถึงป่าไผ่ผืนนั้นในเรือนหานปี้ซาน ก็ลอบรู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องจวนหลัก จวนรองและจวนสามต่างปิดบังจวนสี่กับจวนห้า นางมิอาจทำลายแผนของจวนหลักได้ แต่ก็มิอาจปล่อยให้จวนสี่เป็นหมากของจวนรองกับจวนสามหรือถูกหยวนซื่อหลอกใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้านำจดหมายกลับไปให้ข้าด้วย” นางพูดพึมพำ “เอาไปให้ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนก็แล้วกัน”
นางเขียนเล่าเรื่องต่างๆ ที่ทราบมาจากปี้อวี้ให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ส่วนจวนสี่จะรับมืออย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของจวนสี่แล้ว นางพูดอะไรมากไม่ได้
ปี้อวี้ช่วยฝนหมึกให้โจวเสาจิ่นเหมือนดังเก่า ปรนนิบัติโจวเสาจิ่นเขียนจดหมาย
ตกกลางคืน โจวเสาจิ่นพลิกตัวอย่างไรก็นอนไม่หลับ นางอยากจะไปหาท่านน้าฉือเพื่อถามไถ่เหลือเกิน
ถามเขาว่าตนทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ และถามว่าเหตุเพราะว่าปี้อวี้ดีกับนางดังนั้นจึงโยกย้ายปี้อวี้สองสามีภรรยามาจิงเฉิงใช่หรือไม่
แต่หลังจากนั้นอีกหลายวันนางก็หาข้ออ้างไม่ได้สักที ยังดีที่เรือนที่ประตูเฉาหยางนำความมาแจ้งว่า ทางด้านโน้นต้องการปลูกต้นไม้โดยเร็ว ขอให้โจวเสาจิ่นไปช่วยดู ยังเชิญหลี่ซื่อกับโจวโย่วจิ่นไปด้วย บอกว่าเรือนทางโน้นดึงน้ำเข้ามาทำสระน้ำแห่งหนึ่ง หลายวันก่อนจึงซ่อมแซมปรับปรุงศาลาริมน้ำ ขอเชิญหลี่ซื่อพาโจวโย่วจิ่นไปนั่งเล่น
หลี่ซื่อยินดีปรีดายิ่งนัก จึงตอบตกลงในทันที
โจวเสาจิ่นลอบหน้าแดงอยู่คนเดียว
คิดว่าเฉิงฉือคงอยากเจอนาง ดังนั้นจึงคิดข้ออ้างนี้ขึ้นมา
นางยากจะสะกดความลิงโลดในใจได้ ผัดหน้าทำผมแล้ว เมื่อถึงวันนั้นก็พาโจวโย่วจิ่นไปที่เรือนของเฉิงฉือซึ่งตั้งอยู่ที่ประตูเฉาหยางพร้อมกับหลี่ซื่อ
กำแพงสีขาวมุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีขี้เถ้านั้น แผ่กลิ่นอายสดใหม่ไปทั่ว
ปี้อวี้นำสาวใช้ที่มีหน้ามีตาสี่ห้าคนมาต้อนรับโจวเสาจิ่นด้านหน้าประตูชั้นใน
นางก้าวมาทำความเคารพโจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อ แล้วแนะนำสาวใช้เหล่านั้นให้นาง กล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลเฉิง เมื่อหลายวันก่อนติดตามข้าเข้าเรือนมาด้วยกันเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินเข้าเรือนชั้นใน
บ้านเรือนทางตอนเหนือกับทางตอนใต้แตกต่างกัน คนที่เพิ่งมาถึงจิงเฉิงจะรู้สึกว่าบ้านเรือนทางตอนเหนือนั้นเรียบง่ายและจืดชืด ไม่ว่าจะใหญ่โตเพียงใด ก็เป็นเรือนสี่ประสานหลังหนึ่งติดกับอีกหลังหนึ่งเท่านั้น รู้สึกว่าขาดความน่าสนใจไปบ้าง แต่สำหรับโจวเสาจิ่นกลับคิดว่าเช่นนี้แหละดียิ่ง ขอเพียงแบ่งแยกเหนือใต้ออกตกอย่างชัดเจนก็รู้ได้แล้วว่าส่วนใดคือลานบ้านหลัก ส่วนใดคือเรือนหลัก
ปี้อวี้พาพวกนางไปที่ลานบ้านหลักส่วนตะวันตกโดยตรง
ลานบ้านหลักเป็นลานกว้างใหญ่ขนาดห้าวง ไม่ว่าจะเป็นโถงทางเดิน ระเบียงหน้าเรือน หรือห้องรับรองแขกล้วนมีครบครัน ทว่าผู้ที่นำความมาแจ้งพวกนางก็บอกเหมือนกันว่า ลักษณะที่เด่นชัดมากของเรือนคือสว่างและกว้างใหญ่ ขาดเพียงต้นไม้ดอกไม้เท่านั้นทำให้ดูไร้ชีวิตชีวา
ปี้อวี้เชิญพวกนางไปดื่มน้ำชาบนเรือนหลัก
หลี่ซื่อปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ที่พำนักของนายท่านสี่ พวกข้าจะเข้าออกตามอำเภอใจได้อย่างไร”
ปี้อวี้อดวิพากษ์ในใจไม่ได้
แม้แต่หลี่ซื่อเองก็รู้ว่าขึ้นเรือนไปอย่างนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน ทว่านายท่านสี่กลับบอกให้นางพาคุณหนูรองและคนอื่นๆ ไปนั่งพักผ่อนบนเรือน
นางจึงเชื่อฟังหลี่ซื่อ แล้วพาไปนั่งดื่มชาที่ห้องรับรองแขกข้างหลังเรือนหลัก
ห้องรับรองแขกอยู่ติดกับลานบ้านขนาดเล็ก ที่มุมกำแพงสีขาวขุ่นมีหินครามจากทะเลสาบไท่หูตั้งซ้อนทับกันเป็นภูเขาจำลอง ปลูกต้นกล้วยสูงเท่ากำแพง ต้นตั๊กแตนเก่าแก่ที่กิ่งก้านคดงอมีลำต้นหนาเท่าถังน้ำ ยอดไม้ปกคลุมห้องรับรองแขกขนาดสองห้องคั่น บดบังแสงแดดและให้ร่มเงาร่มรื่น นอกจากนั้นบานประตูในห้องรับรองแขกยังทาสีดำเอาไว้ แต่ติดม่านผ้าโปร่งสีแดงอ่อน ดูมีสีสันสวยงาม ละม้ายคล้ายมีดอกไม้สีแดงเบ่งบานบนต้นไม้เขียวขจี ทำให้ทั่วทั้งลานบ้านดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา
หลี่ซื่ออดเอ่ยปากชมไม่ได้ว่า “งดงามมากจริงๆ โดยเฉพาะต้นไม้ต้นนี้ คิดได้อย่างไรถึงปลูกต้นไม้ไว้เช่นนี้”
ปี้อวี้รับผลไม้กับแตงหวานบนถาดรองจากสาวใช้เด็กแล้ววางบนโต๊ะตัวเล็กของเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องรับรองแขก พลางตอบยิ้มๆ ว่า “ส่วนตะวันตกนี้เดิมทีเป็นเรือนของใต้เท้าหลิวจื่อจิ้งแห่งสำนักฮั่นหลิน เขาเคยดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงกรมศุลกากรที่เฉวียนโจวและข้าหลวงดูแลการค้าเกลือที่เหลี่ยงไหว ตระกูลร่ำรวยมีทรัพย์สินที่ดินมากมาย ในจิงเฉิงก็ถือว่าโดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน แม้ว่าเรือนหลังนี้เพิ่งจะซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ แต่ต้นไม้ดอกไม้ที่นี่ล้วนเป็นตระกูลหลิวที่ปลูกเอาไว้เจ้าค่ะ”
……………………………………………………………………
[1] แจกันกู เป็นแจกันเครื่องเคลือบทรงกระบอก ปากแจกันคล้ายแตร ตรงกลางป่องนูนเหมือนท้อง ฐานแคบกว่าปากเป็นหางนกเฟิ่ง