ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 418 ห้องหนังสือ
ด้านหน้าประตูชั้นในของส่วนตะวันตกมีทางเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกซึ่งปูด้วยอิฐหินครามทรงสี่เหลี่ยมเส้นหนึ่ง ทางตะวันออกเป็นประตูหรูอี้บานหนึ่ง นำไปสู่ประตูตะวันตกของตัวเรือน หากมุ่งไปทางตะวันออกจะนำไปสู่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอกของส่วนกลาง
ทางเชื่อมของห้องหนังสือของเฉิงฉือหันเข้าประตูชั้นในของส่วนตะวันตก
มีเด็กไม่คุ้นหน้าสองคนเฝ้ายามที่ทางเชื่อม
พวกเขาต่างสวมเสื้อสีดำขอบสีเข้มของบ่าวเด็ก อายุราวเจ็ดแปดขวบ หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจด
เมื่อเห็นปี้อวี้มาพร้อมกับโจวเสาจิ่นก็ก้าวเข้ามาทำความเคารพ แล้วลอบมองสำรวจโจวเสาจิ่นอย่างสนใจใคร่รู้ เรียกปี้อวี้ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ท่านพี่สะใภ้” ถามนางว่า “มีอะไรจะรับสั่งหรือไม่ขอรับ”
ปี้อวี้จึงอธิบายให้โจวเสาจิ่นว่า “นี่คือบ่าวเด็กที่พ่อบ้านใหญ่ฉินเลือกมาจากจินหลิงด้วยตนเอง เด็กที่มีตาชั้นเดียวคือฉินฟาง ส่วนเด็กที่มีตาสองชั้นคือซ่งหมิง ต่างเป็นบุตรหลานของบ่าวไพร่ในตระกูล วันนี้ปรนนิบัติในห้องหนังสือของนายท่านสี่ นายท่านสี่บอกว่าหากเรือนชั้นในมีคนพักอาศัย พวกเขาจะได้ช่วยวิ่งทำธุระให้”
เด็กสองคนต่างมีไหวพริบดียิ่ง รีบก้าวมาทำความเคารพและเรียกโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรอง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างสุภาพอ่อนโยน แล้วนึกถึงชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์ขึ้นมา
หากจะบอกว่าชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์ผู้เป็นบ่าวข้างกายของเฉิงฉือนั้นเป็นคนในตำนานเทพเซียนละก็ ฉินฟางกับซ่งหมิงก็คงเป็นบ่าวรับใช้ในโลกแห่งความจริง สองคนแรกราวกับดำรงอยู่ในความว่างเปล่า ส่วนสองคนหลังดำรงอยู่ในโลกมนุษย์… ท่านน้าฉือเองก็ประหนึ่งเดินออกมาจากที่เร้นลับมาคลุกคลีฝุ่นดินในโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน!
นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
ปี้อวี้บอกเด็กสองคนนั้นว่า “พวกเจ้าไปแจ้งนายท่านสี่ให้ที บอกว่าคุณหนูรองมาแล้ว”
ฉินฟางกลอกลูกตาไปมา กล่าวว่า “นายท่านไหวซานบอกไว้ว่า ถ้าคุณหนูรองมา ให้เข้าไปโดยตรงได้เลยขอรับ ไม่ต้องรายงาน”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ทว่าปี้อวี้กลับดุว่า “ใครบอกให้เจ้าเรียกท่านอาใหญ่ไหวซานว่า ‘นายท่าน’ ในเรือนนี้มีเพียงเจ้าของเรือนเท่านั้นที่เรียกว่า ‘นายท่าน’ ได้ เข้าใจหรือไม่”
ฉินฟางแลบลิ้นแล้วขานรับเสียงดังว่า “เข้าใจแล้ว วันหลังจะไม่กล้าเรียกอีกแล้วขอรับ” ท่าทางแก่นแก้วเหลือแสน ไม่รู้ว่าฟังเข้าหูจริงๆ หรือเพียงตอบส่งเดชปี้อวี้ไปอย่างนั้น
ปี้อวี้ส่ายศีรษะทันที แล้วเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับโจวเสาจิ่นไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “ฉินฟางเป็นลื่อชาย[1]ของพ่อบ้านใหญ่ฉินเจ้าค่ะ เป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งยวด เพียงแต่ไม่ระมัดระวังคำพูดคำจาสักเท่าใด คุณหนูรองอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ”
หรือว่าเพราะตนเป็นคนเงียบๆ คนหนึ่ง โจวเสาจิ่นจึงชื่นชอบเด็กที่มีนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวาเหล่านั้นเป็นอย่างมาก นางมิได้รู้สึกถูกทำให้ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เขายังเป็นเด็กคนหนึ่ง อีกทั้งเพิ่งจะเข้าเรือนมา ซุกซนเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา ค่อยๆ สอนเขาก็พอแล้ว”
นางนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลเฉิง คิดว่าการให้บุตรหลานของตระกูลฉินปรนนิบัติตระกูลเฉิงต่อไปอย่างนี้ความจริงแล้วก็ไม่ยุติธรรมต่อบุตรหลานของตระกูลฉินเท่าใดนัก ยังมีเรื่องแต่งงานของจี๋อิ๋งกับฉินจื่อผิงอีก ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ด้วยอุปนิสัยของจี๋อิ๋งและอำนาจของตระกูลจี้ บวกกับจี๋อิ๋งก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่พ่อแม่รักใคร่ทะนุถนอม แม้แต่ตอนเป็นสาวใช้ข้างกายของเฉิงฉือก็ไม่เคยก้มหน้าลงให้ผู้ใด จะยินยอมให้จี๋อิ๋งแต่งงานกับฉินจื่อผิงหรือ
โจวเสาจิ่นจึงถามปี้อวี๋ว่า “ข้าได้ยินมาว่าพ่อบ้านที่นี่แซ่ฉิน คือฉินจื่อผิงหรือว่าฉินจื่ออัน”
“ไม่ใช่ทั้งสองคนเลยเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ “คือฉินจื่อจี๋ หลานชายของพ่อบ้านใหญ่ฉิน!”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
ปี้อวี้ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินสามีผู้นั้นของข้าบอกว่า แต่ก่อนฉินจื่อจี๋เคยเป็นหลงจู๊รองของสาขาจี่หนานเจ้าค่ะ จู่ๆ นายท่านสี่ก็โยกย้ายเขามาเป็นพ่อบ้านในเรือนนี้กะทันหัน…”
โจวเสาจิ่นลอบคิดว่าการปรากฏตัวของฉินจื่อจี๋ผู้นี้กับฉินฟางผู้นั้นต้องมิใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในเรือน
ภายในเรือนเงียบสงบ ทางเชื่อมทั้งสองฝั่งปลูกต้นไผ่หลากหลายชนิด เมื่อสายลมพัดมา ใบไม้ก็พลิ้วไหวดังซ่าๆ ทำให้คนรู้สึกเย็นสงบขึ้นมาในทันใด
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ต้นไผ่นี้งดงามจริงๆ เป็นไผ่ที่ตระกูลหลิวทิ้งเอาไว้หรือ”
ปี้อวี้ยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวว่า “เรือนของตระกูลหลิวเดิมทีเรียกว่าสวนไผ่เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นเลิกคิ้วขึ้น
ปี้อวี้อธิบายยิ้มๆ ว่า “ออกไปข้างหลัง ยังมีป่าไผ่อยู่ด้วย ปลูกไผ่หลากหลายสายพันธุ์กว่าที่นี่อีกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็สมชื่อ”
ทั้งสองคนพูดคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วย เดินเลี้ยวลัดผ่านป่าไผ่ไปก็เห็นห้องขนาดสามห้องกั้นห้องหนึ่งที่มีห้องข้างสองห้อง ด้านหน้าห้องปลูกดอกจื่อเถิง พวงดอกไม้สีม่วงที่บานสะพรั่งพัดพลิ้วไปตามสายลมราวกับต้นหลิว สวยสดงดงามเหลือคณา
หลั่งเย่ว์เฝ้าอยู่หน้าประตู
ครั้นเห็นโจวเสาจิ่นก็รีบก้าวมาทำความเคารพ แล้วหมุนกายตะโกนเข้าไปในห้องว่า “คุณหนูรองมาขอรับ”
ม่านไม้ไผ่ด่างถูกเลิกขึ้นมา ไหวซานเดินออกมาจากข้างใน ประสานมือให้โจวเสาจิ่น พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรอง” แล้วช่วยเลิกม่านขึ้นให้นางด้วยตนเอง
ไหวซานเป็นคนข้างกายของเฉิงฉือ แต่กลับพินอบพิเทากับโจวเสาจิ่นขนาดนี้ โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไหวซานอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยตำราหนังสือ
ห้องขนาดสามห้องกั้นถูกเชื่อมให้เป็นห้องโล่ง วางหนังสือเอาไว้ทั่วทุกที่
ด้านซ้ายวางโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง ส่วนด้านขวาวางโต๊ะวาดภาพตัวหนึ่ง ตรงกลางวางโอ่งลายครามสำหรับเก็บหนังสือม้วนขนาดใหญ่เท่าสองคนโอบใบหนึ่ง ใต้หน้าต่างฝั่งตะวันตกยังวางพิณไว้ตัวหนึ่ง คันศรที่เฉิงฉือถือในมือวันนั้นถูกแขวนทิ้งไว้บนฉากกั้นห้องฝั่งตะวันตกเสมือนเป็นของประดับชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกฝ่ามือตนเองมีเหงื่อซึมเล็กน้อย
นางค้นพบว่าเฉิงฉือกำลังนั่งชงชาบนเตียงเตาริมหน้าต่างฝั่งตะวันออกอยู่
เขาสวมเสื้อเต้าเผาสีม่วงอ่อนเรียบๆ ตัวหนึ่ง แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านกระจกของหน้าต่างฉลุลายทอดบนตัวเขา ทำให้ดวงหน้าของเขาดูอ่อนโยนและสง่างามยิ่งขึ้น
มีคนที่หน้าตาดูดีขนาดนี้ได้อย่างไร!
โจวเสาจิ่นละสายตาไม่ได้เล็กน้อย
เฉิงฉืออดหัวเราะคิกขึ้นมาไม่ได้ ล้างจอกน้ำชาอย่างคล่องแคล่วไปด้วย พลางกล่าวเย้าแหย่นางไปด้วยว่า “ในที่สุดก็มาหาข้าจนได้!”
โจวเสาจิ่นดึงสติกลับมา ก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย
“มานั่งเร็ว!” เฉิงฉือยิ้มพลางชี้เตียงเตาตรงกันข้าม
โจวเสาจิ่นเดินไปหาอย่างขัดเขินเล็กน้อย แล้วเห็นบนเตียงเตามีหมอนอิงใบใหญ่สองใบ
นางก็รู้แก่ใจว่า ที่ของท่านน้าฉือดีที่สุด!
นางถอดรองเท้าขึ้นเตียงเตาไปอย่างเริงร่า
เฉิงฉือลูบผมนางอย่างทะนุถนอม
ความชื่นชมที่ไม่ปิดบังในดวงตาของเด็กน้อยนั้นทำให้คนเห็นแล้วทั้งรู้สึกอิ่มเอมเปรมใจและรักใคร่เอ็นดู
ยังดีที่เด็กน้อยตกในมือของตน… หากตามผู้อื่นไป เกรงว่าคงจะถูกแทะกินจนถึงกระดูกไม่เหลือเศษซากเป็นแน่
เขากลับรู้สึกสนใจหลินซื่อเซิ่งขึ้นมาเล็กน้อย
ต้องเป็นบุรุษเช่นไรถึงได้ไม่หวั่นไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าความงดงามพริ้มเพราของเด็กน้อย
บางทีคงจะเป็นคนที่น่าอัศจรรย์คนหนึ่งก็ได้
หากมีโอกาสต้องพบคนผู้นี้สักหน่อยถึงจะถูก
เขายื่นจอกชาให้โจวเสาจิ่น เอ่ยว่า “ลองชิมดู เป็นชามะลิที่ใต้เท้าเจิงมอบให้”
โจวเสาจิ่นสูดกลิ่นเข้าไป หอมกลิ่นดอกมะลิอบอวลโพรงจมูกจริงๆ
จู่ๆ นางก็บังเกิดความสนใจขึ้นมา กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ท่านก็ปลูกต้นกุ้ยฮวาในเรือนสักหน่อยสิเจ้าคะ ทั้งทำเป็นน้ำกลั่นดอกกุ้ยฮวา เหล้าดอกกุ้ยฮวา หรือใช้เป็นชากลิ่นดอกกุ้ยฮวาก็ได้นะเจ้าคะ”
“หากเจ้าคิดว่าดีก็ทำตามนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ในดวงตาแฝงรอยพะเน้าพะนอตามใจอย่างปิดไม่มิด กล่าวอีกว่า “ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อให้เจ้าดูว่าในเรือนควรปลูกอะไรดี ประเดี๋ยวช่างจัดสวนจะเอาแผนผังมา เจ้าดูว่าต้องลดหรือเพิ่มอะไรหรือไม่ ตัดสินใจแล้วก็บอกให้พวกเขาลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ได้เลย!”
แต่นี่มิใช่บ้านของนางนะ!
โจวเสาจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย
เฉิงฉือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ตบหมอนอิงข้างตัวเองพลางกล่าวว่า “มานี่สิ!”
อยากให้นางไปนั่นตรงนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นลังเลเล็กน้อย
เฉิงฉือก็กล่าวอีกว่า “มานี่เร็ว!”
โจวเสาจิ่นเป็นเด็กที่เชื่อฟังว่าง่ายและไม่คิดอะไรมากเสมอมา จึงไปนั่งข้างๆ
เฉิงฉือกางแขนออกแล้วโอบตัวนางในอ้อมแขน ให้นางนั่งลงบนตักตนเอง
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ ดิ้นขลุกขลักอยากลงมา
วงแขนของเฉิงฉือแข็งแกร่งทว่าอ่อนโยนยิ่ง แม้ไม่ง่ายที่นางจะดิ้นหลุดไปได้แต่ก็มิได้ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกโอบรัดจนแน่น
เขาซุกหน้าตรงซอกคอของนาง กระซิบเสียงทุ้มต่ำว่า “เสาจิ่น”
ความอบอุ่นเฉพาะกายของบุรุษทำให้แม้แต่คอของโจวเสาจิ่นก็ซับสีแดงเรื่อไปหมด
เฉิงฉือเลียติ่งหูของนางแล้วขบเม้มเบาๆ
โจวเสาจิ่นอ่อนระทวย ลอบเกลียดตนเองที่ใช้ไม่ได้ น้ำตาใกล้จะเอ่อไหลออกมา
ทว่าเฉิงฉือกลับปล่อยนางอย่างไม่เต็มใจนัก กระซิบว่า “เจ้าเด็กโง่! คิดจะอยู่กับข้าแบบเล่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ!” ขณะที่กล่าวก็งับติ่งหูของนางแรงๆ แล้วกล่าวอีกว่า “บอกแล้วว่าให้รอข้าสองปี ภายในสองปีจะต้อนรับเจ้าเข้ามาจากประตูหน้าอย่างผ่าเผยแน่นอน เจ้าทำเป็นหูทวนลมกับถ้อยคำของข้าได้อย่างไร… หากมิใช่เพื่อแต่งงานกับเจ้า ข้าจะทุ่มทุนทุ่มแรงมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อซื้อเรือนหลังหนึ่งในย่านประตูเฉาหยางไปทำไม”
นี่คือ…เรือนที่ตระเตรียมไว้ให้นางอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือมิได้มอบเรือนที่ซอยอวี๋เฉียนให้นางแล้วหรอกหรือ
เขายังฝังของมากมายไว้ที่นั่น
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ ถูกเฉิงฉือกัดจนตัวสั่นสะท้าน ในหัวสับสนมึนงง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแม้แต่น้อย
เฉิงฉือหัวเราะเสียงต่ำ
เสาจิ่น ละม้ายคล้ายกระต่ายน้อยตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
ความอ่อนหวานเอ่อท้นในใจเขาเสมือนคลื่นน้ำที่ซัดกระเพื่อม
เขาจุมพิตโจวเสาจิ่น
ปากของนางล้วนเต็มไปด้วยลมหายใจหอมหวานของเขา ราวกับสุราหวานก็ไม่ปาน ทำให้นางเคลิบเคลิ้ม หัวสมองก็พร่าเลือนยิ่งขึ้น
ทันทีที่เขาปล่อยนาง ก็ระบายยิ้มพลางช่วยนางจัดปิ่นบนผมให้เรียบร้อย นางถึงตั้งสติขึ้นมาได้ ผินหน้าหนีด้วยดวงหน้าแดงก่ำ
ทว่าเฉิงฉือยังคงกล่าวอย่างกระเซ้าเย้าแหย่ต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมอยู่ที่จินหลิง และไม่ชอบซอยซิ่งหลิน ดังนั้นจึงหาทางซื้อเรือนหลังนี้ เจ้าไม่รู้ว่าข้าทุ่มเงินมากมายเพียงใด ยังทำท่าเหมือนมิใช่เรื่องของตนเองอีก... ต่อไปถ้าหากยังกล้าไม่ใส่ใจเรื่องของพวกเรา จะต้องลงโทษเจ้าอย่างนี้!”
โจวเสาจิ่นกระบึงกระบอน ค้อนตามองเฉิงฉืออย่างขุ่นเคือง
หญิงงามโกรธขึ้งมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ
เจ้าคนนี้ ทำไมถึงเปลี่ยนไปอย่างนี้ไปได้!
โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมาอย่างกระฟัดกระเฟียด กล่าวว่า “ข้าจะกลับบ้าน!”
เฉิงฉือหยุดหัวเราะไม่ได้
โจวเสาจิ่นโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก นางทำเรื่องที่ตนก็ไม่อยากเชื่อว่าจะทำลงไปได้ ยื่นขาออกไปเตะเฉิงฉือเบาๆ สองที
เตะเสร็จแล้ว นอกจากนางจะอึ้งงัน เฉิงฉือก็เผยสีหน้าตะลึงเต็มใบหน้า
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วน้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจก็เอ่อคลอระริกเต็มเบ้าตา
ทั้งหมดเป็นเพราะเขา…หาไม่แล้วตนจะเหมือนหญิงอารมณ์ร้ายคนหนึ่งได้อย่างไรเล่า…
ต่อไปนางจะเป็นคนต่อหน้าท่านน้าฉือได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
นางกระโดดลงมาจากเตียงเตาประหนึ่งจะหนีออกไปข้างนอก
ทว่าเพิ่งจะวิ่งได้สองก้าวก็ถูกเฉิงฉือกระหวัดรัดจากข้างหลัง
“เสาจิ่น เป็นข้าที่ไม่ดีเองๆ!” เฉิงฉือง้อนางด้วยเสียงทุ้มต่ำออดอ้อน “เจ้าอย่าโกรธเลยนะ อย่าร้องไห้เลย…หืม…ต่อไปหากเจ้าจะเตะข้าอีก ข้าจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นโมโหโทโสยิ่งนัก น้ำตายิ่งร่วงเผาะๆ ลงมา สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “ข้า…ข้า…ข้ามิใช่คนอารมณ์ร้ายเช่นนั้นนะเจ้าคะ…”
“ข้ารู้ๆ” เฉิงฉือรีบกล่าว “เป็นข้าที่ยั่วโทสะเจ้าเอง… เจ้าจึงฉุนโกรธ…” เขากล่าวพลางหมุนตัวนางให้หันมา แล้วเอาคางเกยศีรษะของนางพลางกระซิบว่า “แต่เจ้าก็คิดดูสิ หากมิใช่เพราะคิดว่าข้าเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อที่สุดละก็ เจ้าจะปฏิบัติกับข้าอย่างนี้หรือ เจ้าไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ข้าเห็นท่าทางหวาดระแวงของเจ้าแล้วเจ็บปวดใจมากเพียงใด ข้าเพียงจินตนาการว่าได้เอาใจเจ้า ตามใจเจ้า เอ็นดูเจ้าอย่างนี้เท่านั้น… เจ้ามีอุปนิสัยเช่นไร ข้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ!”
น้ำเสียงของเฉิงฉือค่อยๆ เศร้าสร้อยลง
ไม่เหมือนน้ำเสียงหยอกเย้าหรือผ่อนคลายเมื่อครู่เลย ค่อนข้างร้อนรนเล็กน้อย
……………………………………………………………………
[1] ลื่อ คือ ลูกของเหลน