ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 420 ท่าที
จู่ๆ โจวเสาจิ่นที่ถูกโอบกอด อดอุทานเสียงเบาคำหนึ่งไม่ได้ จับแขนของเฉิงฉือไว้แน่น ริมฝีปากอุ่นผะผ่าวก็แนบบนริมฝีปากของนาง
นางเอ่ยขึ้นอย่างตกใจว่า “รีบปล่อยข้าลงมาเร็วเจ้าคะ!”
เฉิงฉือไม่ปล่อย
รู้สึกว่าการที่โจวเสาจิ่นพึ่งพาเขาหมดทั้งกายและใจเช่นนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นโกรธขึ้งยิ่งนัก
เฉิงฉือยกยิ้มแล้ววางนางบนเตียงเตา ส่วนตนเองก็นั่งลงตาม แล้วเริ่มชงชากาใหม่
โจวเสาจิ่นจัดเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เรียบร้อย สีหน้าลังเลเล็กน้อย
เฉิงฉือหยักมุมปากขึ้นยิ้มๆ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “มีอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีกจึงกล่าวว่า “จะต้องแยกตระกูลให้ได้หรือเจ้าคะ”
จะต้องแยกตระกูลให้สำเร็จนางจึงจะแต่งงานกับเขาได้อย่างนั้นหรือ
บุตรสาวที่แต่งงานเสมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป
ในระเบียนประวัติตระกูลของตระกูลเดิมเพียงบันทึกวันเกิดและวันออกเรือนของบุตรสาวเท่านั้น
บุตรสาวที่แต่งงานก็เพียงดูว่าสามีเป็นคนเช่นไรเท่านั้น!
อย่างไรก็ตามเพราะว่านางเติบโตในซอยจิ่วหรูตั้งแต่เล็ก หากแต่งงานกับท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือจะถูกประณามได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากท่านน้าฉือเดินบนเส้นทางขุนนาง ก็ยิ่งมีความผิดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
เห็นได้ว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้ล้วนยากจะสมดั่งใจหวังทั้งสองทาง
ถ้าหากนางมิได้เติบโตในซอยจิ่วหรู ก็คงมิได้พบกับท่านน้าฉือ แต่เนื่องจากนางเติบโตในซอยจิ่วหรู จึงกลายเป็นสาเหตุที่ขวางกั้นไม่ให้นางได้แต่งงานกับท่านน้าฉือ
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นหดหู่ลงเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือลูบศีรษะของนางพลางกล่าวว่า “การแยกตระกูลเป็นทางออกที่ดีที่สุด…หรือว่าเจ้าอยากจะตามข้ากลับไปกราบไหว้บรรพชนที่ซอยจิ่วหรูทุกปี”
เขาเป็นคนที่เข้าใจนางที่สุดจริงๆ
หรือว่าความทรงจำจากชาติก่อนจะฝังใจเกินไป นางจึงหวั่นกลัวสายตาจับจ้องของคนอื่นเป็นที่สุด การตกเป็นที่ซุบซิบนินทาของผู้อื่น ไม่ว่าจะพูดถึงนางในแง่ดีหรือไม่ดีก็ตาม นางไม่ชอบฟังเลยทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นพึมพำขึ้นว่า “เพียงรู้สึกเป็นกังวลเท่านั้นเจ้าค่ะ… เดิมทีไม่ต้องถึงกับแยกตระกูลก็ได้… แค่คิดว่าเพราะตัวข้าเป็นสาเหตุทำให้ซอยจิ่วหรูแตกแยกกัน… บรรดาผู้อาวุโสและผู้นำตระกูลทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว จะต้องกล่าวโทษข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ…”
“เสาจิ่น!” เฉิงฉือเรียกนางอย่างอาทร รู้สึกทอดถอนใจขณะโอบกอดนางในอ้อมแขน
โจวเสาจิ่นชอบอ้อมกอดเช่นนี้ ทั้งรู้สึกสงบใจและฟังเสียงหัวใจเต้นของเฉิงฉือได้ด้วย ราวกับนางอยู่ในใจของเขาก็ไม่ปาน
นางมิได้ดิ้นขัดขืน อิงแอบแผงอกของเขาอย่างว่าง่าย
เขาจุมพิตบนกระหม่อมของนาง กระซิบว่า “เมื่อครู่พี่ชายรองมาหาข้า เขาเห็นด้วยกับการแยกตระกูล...”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ริมฝีปากเฉียดแตะริมฝีปากของเขา
ดวงหน้าของนางซับสีแดงเรื่อจางๆ
ทว่าเฉิงฉือกลับฉวยจังหวะไล่ประกบปากตาม ประคองดวงหน้าของนางในมือ บดจูบริมฝีปากกับนางอย่างดูดดื่ม
ฉลุลายหน้าต่างติดกระจกใส
หางตาของโจวเสาจิ่นเห็นฉินฟางเล่นกับซ่งหมิงที่ลานข้างนอกได้
นางเบิกตาโพลง ดิ้นขลุกขลักผลักเฉิงฉือออกไป
เฉิงฉือปล่อยนางทันที
นางหอบหายใจ พลางกล่าวว่า “ข้างนอกๆ มีคนเจ้าค่ะ…”
มิได้ขัดขืนเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่กังวลว่าข้างนอกมีคนอยู่!
ในรอยยิ้มของเฉิงฉือมีความอ่อนโยนสายหนึ่งที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัววาบผ่าน ยิ้มละไมพลางกอดนางขณะเอนอิงบนหมอนอิงใบใหญ่
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
นึกถึงแต่ก่อนเวลาที่เขาช่วยนางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยอย่างว่องไวก่อนที่คนอื่นจะเข้ามา และนึกถึงว่าขอเพียงนางดิ้นขัดขืนขึ้นมาเขาก็ปล่อยนางทันที… ในใจของนางพลันรู้สึกอ่อนยวบและมั่นใจ
ความจริงแล้วท่านน้าฉือไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ไม่ว่าเมื่อไรก็ปกป้องนาง
ต่อให้หยอกเย้ากลั่นแกล้งเกินไปบ้างแต่ก็ทำเมื่ออยู่ตามลำพังเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปล่อยให้นางถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเลยสักครั้ง
นางมัวแต่หวาดกลัว มิได้รับรู้ถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างกายที่เดิมแข็งเกร็งเล็กน้อยก็ผ่อนคลายลงมา… ซุกอิงอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างว่าง่าย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ในวงแขน หนำซ้ำยังเป็นหญิงสาวที่ตนชื่นชอบ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มเอมใจได้มากไปกว่านี้
เฉิงฉือลูบไล้เรือนผมของโจวเสาจิ่นขณะหาเรื่องชวนคุย กล่าวขึ้นว่า “ความตั้งใจของพี่ชายรองของข้า คือถือโอกาสปล่อยพรรคเจ็ดดาราออกไป…”
โจวเสาจิ่นหยัดกายขึ้นนั่งอย่างประหลาดใจแกมยินดีในทันที รู้สึกดีต่อเฉิงเว่ยผู้ที่ไม่มีภาพจำอะไรมาโดยตลอดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตบมือพลางกล่าวว่า “ดีจริงเจ้าค่ะๆ ข้าคิดว่านายท่านรองเว่ยกล่าวได้อย่างมีเหตุผล การแยกตระกูลอะไรนั้นเป็นเรื่องเล็ก การหาทางทิ้งพรรคเจ็ดดาราออกไปต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
เฉิงฉือมองดวงตาวาววับและท่าทางปลาบปลื้มยินดีของนางแล้ว ก็คลี่ยิ้มพลางดึงนางเข้าสู่อ้อมอกของตนอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “แต่พวกเรายังมิได้สืบหาว่าตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์สินไปได้อย่างไร ถ้าหากข้าทิ้งพรรคเจ็ดดาราไป จะมีใครที่ไหนช่วยพวกเราสืบค้นเรื่องพวกนี้เล่า”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ!” แววตาของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง “ไม่รู้เมื่อไรจึงจะสืบพบความจริงได้นะเจ้าคะ ล้วนต้องโทษข้าที่วันๆ เอาแต่มองพื้นดินหนึ่งหมู่สามเฟินใต้เท้าตนเอง ไม่รู้จักสนใจเรื่องของตระกูลเฉิงให้มาก หาไม่แล้วก็คงไม่ถูกลงโทษเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือยกยิ้มขึ้นมา ถามว่า “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเฉิง เจิงเจี่ยเอ๋อร์ทำอะไรบ้าง”
จริงด้วย!
เฉิงเจิงฉลาดหลักแหลมกว่านางมาก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรือไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน!
โจวเสาจิ่นรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงฉือถามอีกว่า “สามีพี่สาวของเจ้าก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกันว่าตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์ได้อย่างไรมิใช่หรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
เฉิงฉือก็จูบแก้มของนางอีกที เอ่ยว่า “ยังดีที่เจ้าไม่รู้อะไรเลย หากได้ยินเพียงเศษเสี้ยวแต่คาดเดาไปเองแล้วมาบอกข้า ข้าเกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางรู้สถานการณ์จริงที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์แล้ว!”
โจวเสาจิ่นแย้มรอยยิ้มน้อยๆ คิ้วโค้งมนราวพระจันทร์เสี้ยว
เฉิงฉือก็ลูบดวงหน้าของนาง กระซิบว่า “อย่างไรก็ตาม หากว่าสุดท้ายข้าก็มิอาจยับยั้งไม่ให้ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์ได้ละก็…”
โจวเสาจิ่นไม่เคยกังวลถึงเรื่องนี้มาก่อน
นางมักจะคิดว่าถ้าหากเฉิงฉือตั้งใจจริง จะต้องรอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน
สำหรับตัวนางนั้น…
โจวเสาจิ่นระบายยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “ชาติก่อนข้ามีชีวิตเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ชีวิตนี้ได้พบเขา ต่อให้มีชีวิตเพียงยี่สิบห้าปี ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาสักสิบปี นางก็ไม่เสียใจอีกแล้ว
เฉิงฉือประทับริมฝีปากบนหน้าผากของโจวเสาจิ่น จุมพิตนางอยู่นาน
ไม่มีหญิงสาวคนใดที่ให้ความสำคัญกับเขาเช่นเสาจิ่นอีกแล้ว… นางทำให้เขารู้สึกว่าตนมีค่ายิ่งนัก!
“เสาจิ่น เจ้าวางใจเถอะ เรื่องแยกตระกูลจะเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่ง” เฉิงฉือกระซิบบอกนาง “หยวนซื่อให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับตระกูลหมิ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งในนั้นมีทั้งปรารถนาที่จะให้ตระกูลหมิ่นกับตระกูลเฉิงเฝ้าระวังให้กันและกัน และก็มีความทะนงที่ไม่ยอมถูกตระกูลหมิ่นอยู่เหนือกว่าตน ข้าบอกหยวนซื่อเป็นนัยๆ ว่า ถ้าหากเรื่องของเจียซ่านถูกตระกูลหมิ่นล่วงรู้เข้า ก็หนีไม่พ้นที่จะตกเป็นรอง และครั้นตกเป็นรอง จะต้องสูญเสียอำนาจไปอย่างแน่นอน ต่อให้ภายหลังเจียซ่านรับราชการได้อย่างราบรื่น เมื่อถึงเวลาที่ต้องการให้ตระกูลหมิ่นช่วยเกื้อหนุน เกรงว่าตระกูลหมิ่นจะต้องไตร่ตรองดูอย่างละเอียดก่อนเป็นแน่ คุณธรรมนำการกระทำ หากไร้ซึ่งคุณธรรมอันดี จะกระทำการใดๆ ได้อย่างไรเล่า…
…ตอนนี้หยวนซื่อกำลังทะเลาะกับท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองมิใช่หรือ…
…ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองก็รู้ดีว่าหยวนซื่อกำลังทำเรื่องให้ยุ่งยากอยู่…
…ทุกคนเพียงหยั่งเชิงกันและกันดูว่าเส้นใต้สุดของอีกฝ่ายอยู่ที่ใดก็เท่านั้น!…
…เจ้าก็รู้อุปนิสัยของท่านแม่ดี จะต้องดูแคลนการโต้เถียงกับคนจากจวนรอง จึงให้หยวนซื่อไปทะเลาะกับพวกเขาแทนเสีย ยิ่งกว่านั้นนายท่านตระกูลหยวนยังพาที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสามท่านไปด้วย ถึงเวลานั้นย่อมต้องทำให้ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองสับสนวุ่นวายเป็นแน่”
กล่าวถึงตรงนี้ เฉิงฉือยิ้มเย็นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอย่างละล้าละลังว่า “ถ้าเกิดท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองครองเหนือลมเล่า พวกเราต้องมอบเงินสามล้านเหลี่ยงให้พวกเขาจริงๆ หรือ ในบ้านมีเงินมากมายขนาดนั้นเชียวหรือเจ้าคะ”
นางคิดอยู่เสมอว่าท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองคงไม่ยินยอมแยกตระกูลไปง่ายๆ อย่างนั้นเป็นแน่
เฉิงฉือชอบใจที่ได้ยินนางกล่าวถ้อยคำเช่น ‘พวกเรา’ และ ‘ในบ้าน’
เขากระเซ้าเย้าแหย่โจวเสาจิ่นว่า “ทำไมหรือ เสียดายเงินกระมัง”
“อะไรกันเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างไม่พอใจ “เงินสามร้อยเหลี่ยง มิใช่เงินจำนวนน้อยๆ นะเจ้าคะ คนของจวนหลักล้วนมิได้ทำการเกษตร เงินสามล้านเหลี่ยงนี้ท้ายที่สุดยังคงต้องให้ท่านออกให้ ท่านต้องรอนานเพียงใดถึงจะได้รับเงินคืน นี่ก็ลำบากท่านเกินไปแล้วนะเจ้าคะ!”
ทว่าเฉิงฉือกลับยิ้มน้อยๆ “นี่เป็นเรื่องของจวนหลัก บอกให้ข้าออกเงินเพียงคนเดียวไม่ได้กระมัง อีกอย่างจวนรองยืนกรานขนาดนี้แล้ว จวนหลักก็ไม่มีทางเลือก คงได้แต่ทำอะไรได้ก็ทำไป ขายอะไรได้ก็ขายไป ให้ทั่วเมืองจินหลิงทราบว่าเพื่อแยกตระกูลออกมา จวนหลักต้องขัดสนแร้นแค้นเพียงใด…”
นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นลุกวาบขึ้นมา นางกล่าวว่า “ความคิดนี้ดียิ่งเจ้าค่ะ ถึงเวลานั้นคนทั้งเมืองจินหลิงย่อมรู้ว่าจวนหลักจ่ายเงินไปเท่าใด… ถึงตอนนั้นคนอื่นจะต้องคิดว่า ที่จวนหลักยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนมากก็เพื่อต้องการขีดเส้นแบ่งกับจวนรองและจวนสามอย่างชัดเจน... เห็นได้ว่าจวนหลักต้องการแยกตระกูลอาจมิได้มีสาเหตุมาจากการที่ท่านลุงใหญ่จิงเป็นขุนนางใหญ่แล้วดูหมิ่นดูแคลนจวนอื่นๆ…” ขอเพียงนางนึกถึงสีหน้าตอนที่เฉิงซวี่ของจวนรองได้ยินข่าวลือนี้แล้วโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก็หัวเราะร่วนออกมาในทันใด คิดว่าผู้ที่คิดแผนนี้ออกมาได้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก จึงเอ่ยถามเฉิงฉือว่า “แผนนี้ผู้ใดเป็นคนคิดเจ้าคะ ช่างฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ! ต่อให้แยกตระกูล ก็ยังทำให้จวนรองต้องเสียหน้า…”
เฉิงฉือยกยิ้มขึ้นมาทันที “เช่นนั้นเจ้าคิดจะตกรางวัลให้ผู้ที่คิดแผนนี้อย่างไร”
“หา!” โจวเสาจิ่นงงงัน
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “ข้าเป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้นมาเอง…”
โจวเสาจิ่นเบิกตากว้าง
เฉิงฉือโน้มกายลงละเลียดริมฝีปากของนาง… ลมหายใจร้อนผ่าวนั้นห่อหุ้มนางไว้ ทำให้นางรู้สึกวิงเวียนคล้ายหายใจไม่ออก ทว่าในใจกลับขบคิดว่า ทำไมท่านน้าฉือถึงชอบจูบนางขนาดนี้นะ…
ทั้งสองคนคลอเคลียกันบนเตียงเตาอยู่นาน
นอกจากโอบกอดโจวเสาจิ่นในอ้อมแขนและจูบแล้ว เฉิงฉือมิได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่านั้น
เขาสะกดกลั้นใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
รู้สึกว่าทำเช่นนี้…ดีกว่าถูกเฉิงฉือทำตัวเหลวไหลกับตน
เมื่อกลับถึงซอยอวี๋เฉียน โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ถามเฉิงฉือว่าทำไมจึงชื่นชอบนาง…ตอนนี้ข้อนี้ดูจะสำคัญกว่า…
ทว่าพอนางเดินเข้าประตูชั้นในก็เห็นเสวี่ยฉิววิ่งปรี่เข้ามาปานเงาขาวสายหนึ่งพลางเห่า “โฮ่งๆ ๆ”
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็ลืมทุกอย่างไปหมด อุ้มเสวี่ยฉิวที่กระโจนใส่นางขึ้นมา พลางเอ่ยถามจี๋เสียงที่เฝ้ายามในบ้านอย่างประหลาดใจระคนยินดีว่า “เสวี่ยฉิวมาได้อย่างไรหรือ”
เสี่ยวเชวี่ยวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ตอบว่า “คุณหนูรอง ตอนที่นายท่านสี่เดินทางผ่านเมืองเป่าติ้งได้พูดคุยกับนายท่าน บอกว่าท่านอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเหงายิ่งนัก ให้นายท่านสี่ช่วยเอาเสวี่ยฉิว เสี่ยวหวงกับเสี่ยวชุ่ยมาให้ท่าน นายท่านสี่ขี่ม้าเร็ว ส่วนบ่าวเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ขอรับ”
เสวี่ยฉิวอยู่ที่จวนเป่าติ้งมาระยะหนึ่งแล้ว ทุกคนทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยล้วนรู้ว่านี่เป็นสัตว์เลี้ยงของโจวเสาจิ่น จึงเป็นมิตรและชมชอบมันมาก นอกจากนี้เด็กมักจะชื่นชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เหล่านี้เป็นพิเศษ ไม่รอให้โจวเสาจิ่นเอ่ยปาก โจวโย่วจิ่นที่ถูกแม่นมอุ้มเข้ามาพร้อมกับหลี่ซื่อก็เรียกอย่างดีใจขึ้นว่า “เสวี่ยฉิวๆ”
เสวี่ยฉิวก็ชอบเล่นกับโจวโย่วจิ่นเหมือนกัน วิ่งเข้าไปหาพลางเห่า “โฮ่งๆ ๆ” ขณะหมุนตัวรอบโจวโย่วจิ่น
โจวโย่วจิ่นหัวเราะเริงร่า ดิ้นขลุกขลักลงพื้น แล้วนั่งยองๆ บนพื้นกอดเสวี่ยฉิว
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าบรรยากาศพลันสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมา
หลี่มามากระซิบกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “ไม่สู้ท่านให้คุณหนูสามเลี้ยงสุนัขสักตัวเช่นกันเถอะนะเจ้าคะ”
หลี่ซื่อกลอกตาให้นางครั้งหนึ่ง ตอบว่า “นี่มิใช่เป็นการชิงดีชิงเด่นกับคุณหนูรองหรอกหรือ ก่อนอื่น รอให้คุณหนูรองออกเรือนไปแล้วเอาเสวี่ยฉิวไปด้วย ค่อยให้คุณหนูสามเลี้ยงสุนัขสักตัวดีกว่า”
ขณะที่กล่าวอยู่นั้น มีบ่าวเด็กวิ่งเข้ามาแจ้งว่า “ฮูหยิน นายท่านจากเมืองจิ่วเจียงที่เจียงซีส่งคนมามอบเทียบให้ พรุ่งนี้จะมาถึงจิงเฉิงขอรับ”
………………………………………………………………….