ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 421 รวดเร็วฉับไว
ครั้นได้ยินว่าพี่ชายตนเองจะมา หลี่ซื่อย่อมลิงโลดดีใจเป็นธรรมดา ด้านหนึ่งรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูเรือน อีกด้านหนึ่งก็ให้ครัวจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับสำหรับวันพรุ่งนี้ ทว่าเมื่อคิดว่าเพื่อดูแลเรื่องอาหารการกินให้ถูกปากโจวเสาจิ่นคนครัวในบ้านจึงมาจากทางตอนใต้ ส่วนพี่ชายแม้ว่ามาจิงเฉิงบ่อยครั้งเนื่องด้วยการค้าขาย แต่ครั้งนี้นางเป็นเจ้าบ้าน จะต้องให้พี่ชายได้ลิ้มลองรสชาติดั้งเดิมของจิงเฉิง น่าเสียดายที่ในบ้านมีแต่อิสตรี ไม่มีผู้ใดช่วยรับรองแขกได้ จึงได้แต่หาทางจ้างภัตตาคารที่มีชื่อเสียงเข้ามาจัดโต๊ะรับรอง ตอนที่รอพวกบ่าวไพร่ทำความสะอาดเรือน นางก็บอกหลี่มามาให้บอกพ่อบ้านเซี่ยงว่า ขอให้พ่อบ้านเซี่ยงช่วยแนะนำภัตตาคารชื่อดังสักสองสามแห่ง แล้วหมุนกายไปเปิดหีบหับ หยิบชุดเครื่องนอนเช่นผ้าปูและหมอนของตนเองชุดหนึ่งส่งไปที่ห้องพักแขก… วิ่งวุ่นทำงานจนตัวหมุน
โจวเสาจิ่นนอนเอกเขนกบนเตียงเตาริมหน้าต่างขณะมองดูนกขมิ้นสองตัวที่ขับร้องเสียงอ่อนหวานใต้ระเบียงทางเดินอย่างเหม่อลอย
เรือนที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นกว้างใหญ่จริงๆ
หากต้องการให้มีชีวิตชีวาเหมือนเรือนที่ซอยจิ่วหรูล่ะก็ เกรงว่าถ้าไม่ให้เวลาสักสองสามปีคงจะเป็นไปไม่ได้
ท่านน้าฉืออยู่ที่นั่นคนเดียว ช่างเงียบเหงายิ่งนัก…
จู่ๆ นางก็คิดถึงเฉิงฉือเหลือแสน
โจวเสาจิ่นกอดหมอนใบใหญ่โดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือกำลังทำอะไรอยู่
ฮูหยินกลัวว่าถ้ากลับดึกเกินไปจะทำให้โย่วจิ่นหวาดกลัว แม้มื้อเย็นที่โน่นตระเตรียมไว้เสร็จแล้วก็ยังปฏิเสธอย่างนุ่มนวลอยู่ดี
นอกจากนี้ห้องครัวยังทำอาหารเมืองหังโจวไว้มากมายตามความชอบของโจวเสาจิ่นอีกด้วย
นางจินตนาการว่าใต้แสงตะเกียงสลัวๆ ในห้องโถงที่กว้างใหญ่และอ้างว้าง เฉิงฉือรับประทานมื้อเย็นหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมากมายอย่างเงียบๆ ตามลำพัง… ในใจเสมือนซ่อนนกน้อยไว้ตัวหนึ่งมิอาจสะกดกลั้นความรู้สึกได้
โจวเสาจิ่นให้คนไปเรียกซางมามาเข้ามา กล่าวเสียงค่อยด้วยดวงหน้าแดงเรื่อว่า “มามา เจ้าช่วยข้าส่งจดหมายให้ท่านน้าฉือสักฉบับได้หรือไม่”
ซางมามาเห็นนางดูขัดเขินระคนขลาดกลัวละม้ายคล้ายดอกไม้ที่สั่นไหวยามผลิบานดอกหนึ่ง เสมือนท่าทางของสาวน้อยในห้วงความรักอย่างไรอย่างนั้น ในใจไหนเลยจะไม่เข้าใจ! ทันทีที่นึกถึงอุปนิสัยเหนียมอายของโจวเสาจิ่น แม้แต่รอยยิ้มสายหนึ่งในดวงตาก็มิกล้าเผยออกมา ในทางกลับกันนางตอบอย่างนอบน้อมเหมือนไม่เห็นอะไรผิดปกติว่า “ขอเพียงคุณหนูรองบอกมาก็พอเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกวางใจลงได้ เขียนจดหมายอยู่ในห้องหนังสือครู่หนึ่ง แล้วจึงมอบจดหมายที่ผนึกซองไว้ฉบับหนึ่งแก่ซางมามาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ซางมามาไม่รอให้นางเอ่ยปากก็กล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรองโปรดวางใจ ข้าจะส่งจดหมายถึงนายท่านสี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ซ้ำยังเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่อนอื่นแทนนางว่า “เห็นว่ากวนเกอใกล้จัดพิธีครบร้อยวันแล้ว ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองจินหลิงจะมีคนมาหรือไม่นะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเบาใจ ยิ้มพลางพูดคุยกับซางมามาสองสามประโยค แล้วจึงให้นางถอยออกไป
เฉิงฉือกำลังสนทนากับเซียวเจิ้นไห่ “…ข้ามิได้ต้องการให้เขายอมศิโรราบต่อพวกข้า จะเปลืองแรงมากมายขนาดนั้นไปทำไม”
เขาเอนพิงพนักเก้าอี้มีเท้าแขนข้างหลังโต๊ะวาดภาพ ท่าทางผ่อนคลายระคนเกียจคร้าน บนโต๊ะวาดภาพยังวางภาพไก่ฟ้าสีทองที่เขาระบายสีได้ครึ่งรูปไว้ด้วย ร่างเส้นออกมาแล้ว ดอกโบตั๋นลงสีเสร็จแล้ว ตัวไก่ฟ้าสีทองเหลือหงอนสีแดงจ้ากับขนหลากสีคล้ายเสื้อคลุมอันทรงเกียรติที่ยังไม่ได้ลงสี
เซียวเจิ้นไห่อดวิพากษ์ในใจไม่ได้ว่า ข้าตรากตรำวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก แต่เจ้าเด็กนี่กลับใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญไร้เภทภัยอยู่ในบ้าน ซ้ำยังจู้จี้จุกจิกอีกด้วย… ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนงามผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เห็นนางดูนุ่มนวลอ่อนหวาน คาดไม่ถึงว่าจะห้ามปรามเฉิงจื่อชวนเจ้าเด็กคนนี้ได้ ต้องหาโอกาสพูดคุยกับแม่นางน้อยคนงามผู้นั้นสักหน่อยถึงจะถูก... แม่นางน้อยคนงามผู้นั้นดูท่าทางหลอกง่ายเหลือเกิน…
เขากลอกลูกตาไปมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้าแล้ว ในเมื่อแค่ต้องหาจังหวะให้พวกเขากระจายข่าวออกไป เช่นนั้นข้าก็รู้ว่าควรจะใช้ลูกไม้อะไร” กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแข็งค้าง ลังเลครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จะให้แพร่ข่าวออกไปจริงๆ หรือ”
จิงเฉิงเป็นเมืองใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ เป็นส่วนกลางของหน่วยลิ่วซ่านเหมิน พวกนักเลงอันธพาลล้วนไม่กล้าซ่องสุมกำลังพล พรรคต่างๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องม้วนหางหนีบไว้เมื่อกระทำการใดๆ เพียงแต่เฉิงฉือกลับทำตรงกันข้าม ในเวลาเพียงสองเดือน คนของเขาก็ซื้อใจพวกนักเลงอันธพาลน้อยใหญ่ในจิงเฉิง ปรากฏว่าเฉิงฉือกลับบอกเขาว่า เขาทำเช่นนี้เพียงเพื่อจะได้รับรู้ข่าวสารน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นในจิงเฉิงเท่านั้น
ทำไมเขาไม่ไปอยู่ที่หน่วยลิ่วซ่านเหมินเสียเองเล่า!
ตอนนี้เซียวเจิ้นไห่รู้ชื่อจริงของเฉิงฉือแล้ว
เขามักจะเรียกชื่อเฉิงฉือตรงๆ ในใจ
เฉิงฉือคร้านจะพูดอะไรมากกับเซียวเจิ้นไห่
ตั้งแต่เกิดเรื่องของฉินจื่อหนิง เขาก็เรียนรู้ที่จะไม่วางไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว
ตอนนี้ฉินจื่อผิงไปแทรกซึมอยู่ในหน่วยลิ่วซ่านเหมิน เมื่อเวลาผ่านไป ก็คงจะได้รับข่าวคราวอะไรบ้างจากในหน่วยลิ่วซ่านเหมิน
ส่วนฉินจื่ออัน ให้ไปที่ค่ายหุบเขาตะวันตกดีกว่า
ในค่ายหุบเขาตะวันตกมีลูกหลานของตระกูลที่ทรงอำนาจมากมาย เมื่อรวมกับหน่วยราชองครักษ์ข้างนอกหน่วยหนึ่งข้างในหน่วยหนึ่ง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในพระราชวังต้องห้าม ทั้งค่ายหุบเขาตะวันตกกับหน่วยราชองครักษ์ก็จะผลัดเปลี่ยนกองทัพกัน
อีกทั้งยังฟังความลับมากมายของตระกูลที่ทรงอำนาจเหล่านั้นได้ด้วย
เฉิงฉือนึกถึงตอนบ่ายเพียงเขาหอมแก้มและจุมพิตที่หน้าผากของโจวเสาจิ่น นางก็หน้าแดงและหลุบตาลง เขินอายราวบุปผา แล้วซุกตัวในอ้อมอกของเขานิ่งๆ อย่างว่าง่าย
จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดียิ่ง ลุกขึ้นมาหยิบพู่กัน แล้วผสมสีทองอ่อนที่ประเดี๋ยวจะต้องใช้
เซียวเจิ้นไห่รู้สึกหดหู่
สมกับเป็นบุตรหลานของตระกูลเก่าแก่ที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้คงแก่เรียนจริงๆ ไล่คนอื่นออกไปทั้งทีก็ยังกระทำอย่างสุภาพถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กนี่สังหารคนราวกับตัดหญ้าตัดไม้ ซ้ำยังเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมเป็นที่สุด!
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกปวดฟันเล็กน้อย หากตาไม่เห็นใจก็เป็นสุขจึงประสานมือให้เฉิงฉือ แล้วเดินออกไปข้างนอก
ไหวซานเดินสวนเขาเข้ามา
ไอ้คนผู้นี้ร้อยวันพันปีหน้าตายไม่เคยเปลี่ยนตอนนี้มองดูแล้วกลับแต้มรอยยินดีปรีดารางๆ
เซียวเจิ้นไห่อดชะลอฝีเท้าลงไม่ได้
ตอนที่เขาเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นไหวซานหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมามอบให้เฉิงฉืออย่างพินอบพิเทา กล่าวเสียงค่อยว่า “นายท่านสี่ คุณหนูรองเขียนจดหมายแล้วให้คนส่งมาขอรับ!”
เวลานี้หรือ
เฉิงฉือมองออกไปนอกหน้าต่าง
เซียวเจิ้นไห่หดศีรษะอย่างห้ามไม่อยู่ รีบสาวเท้าออกจากห้องหนังสือไป
เฉิงฉือไม่ได้สังเกตเลยสักนิด
สำหรับเขาแล้ว เขามีวิธีเป็นพันที่จะทำให้เซียวเจิ้นไห่หายสาบสูญไปได้ เพียงแต่เพราะเห็นแก่โจวเสาจิ่นจึงปล่อยเขาไป หากเขากล้าหือ แม้ว่าต้องลงมือสั่งสอนและแก้ไขปรับปรุง แต่เขาก็ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่ง
“คนที่ส่งจดหมายมามิได้กล่าวอะไรเลยหรือ” เฉิงฉือเปิดจดหมายไปด้วย พลางเอ่ยถามไปด้วย
พวกเขาแยกจากกันไม่ถึงสองชั่วยาม ทางด้านโจวเสาจิ่นเกิดอะไรขึ้นหรือ
ไหวซานตอบว่า “คนที่ส่งจดหมายมาถามอะไรก็ไม่ทราบสักอย่างขอรับ เรื่องในเรือนทางด้านโน้นยังมีฮูหยินโจวจับตาดูอยู่ ดังนั้นข้าเลยมิได้ซักถามมากนักขอรับ”
เขากลัวจะดึงความสนใจของคนที่ซอยอวี๋เฉียนขึ้นมา
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วอ่านจดหมายอย่างผ่านๆ จนจบ สายตาก็อ่อนโยนลงอย่างยากจะระงับ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นนุ่มนวล
“ไม่มีอะไร” เขาบอกไหวซาน “คุณหนูรองเพียงถามอะไรข้าบางอย่าง!”
เกรงว่าคุณหนูรองไม่ได้ถามนายท่านสี่แค่บางอย่างเท่านั้นกระมัง!
หาไม่แล้วเหตุใดนายท่านสี่จะต้องอธิบายให้เขาฟังด้วย
นัยน์ตาของไหวซานมีรอยยิ้มสายหนึ่งวาบผ่าน แล้วถอยออกไป
เฉิงฉืออ่านจดหมายที่โจวเสาจิ่นเขียนถึงเขาอีกรอบหนึ่ง
เพียงถามไถ่เรื่องทั่วไป
ถามเขาว่ารับประทานมื้อเย็นแล้วหรือยัง กำลังทำอะไรอยู่ ยังบอกว่าอากาศตอนกลางคืนในจิงเฉิงเย็นสบาย ให้เขาระวังอย่าต้องไอเย็น
จากนั้นก็เล่าให้เขาฟังว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นเสี่ยวเชวี่ยกับเสวี่ยฉิวและนกขมิ้นสองตัว ถามเขาว่าอีกไม่นานก็จะเป็นวันครบร้อยวันของกวนเกอ เหตุใดบิดาถึงยอมให้นำสัตว์เลี้ยงของนางมาจิงเฉิงหรือ ยอมให้นางรั้งอยู่ที่จิงเฉิงไม่ต้องกลับไปแล้วใช่หรือไม่
สุดท้ายแจ้งว่าวันพรุ่งนี้นายท่านตระกูลหลี่จะมา นางกลัวว่าจะต้องอยู่บ้านช่วยดูโย่วจิ่น
จู่ๆ จดหมายก็ตัดจบไปอย่างนั้น
กลับทำให้อ่านแล้วรู้สึกยังไม่จุใจ
เด็กน้อยคงคิดถึงเขากระมัง
ยังบอกเขาอีกว่าพรุ่งนี้นางไม่ว่าง ให้เขาไปเล่นเอง
รอยยิ้มในดวงตาของเฉิงฉือยิ่งลึกซึ้งขึ้น
เด็กน้อยของเขา คิดถึงเขาสินะ
ทันใดนั้นเฉิงฉือก็อยากจะเขียนจดหมายถึงโจวเสาจิ่นเหมือนกัน ถามนางว่ามื้อเย็นกินอะไร กินกับใคร ตอนนี้ทำอะไรอยู่ เร่งทำเสื้อผ้าให้เขาใต้แสงตะเกียงอยู่ใช่หรือไม่ อยากให้นางไม่ต้องเร่งทำจนเหนื่อยล้าขนาดนั้น หากมีเวลาว่างก็ไปเตะลูกขนไก่หรือไม่ก็เล่นกระโดดเชือกกับพวกสาวใช้เด็กสักหน่อย อย่าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน... ทว่ากลับคิดว่าหากเขาไม่คอยคุมต่อหน้านาง กลัวว่าต่อให้เขาพร่ำพูดพร่ำบอกนางก็จะไม่ออกไปข้างนอกอยู่ดี
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าให้โจวเสาจิ่นอยู่ข้างกายตนจึงจะวางใจได้ที่สุด ต้องรีบแต่งงานกับนางถึงจะถูก
เขาตะโกนเรียกไหวซาน
ไหวซานเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง
เฉิงฉือเอ่ยถามว่า “ตอนนี้จื่ออันอยู่ที่ใด”
“พรุ่งนี้ก็จะกลับถึงเมืองจินหลิงแล้วขอรับ” ไหวซานคาดคะเน
เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้จื่ออัน หลังจากกลับถึงจินหลินแล้วให้เขาอย่าลืมย้ำเตือนพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นของข้า อย่าเอาเครื่องเคลือบไปกระทบเครื่องปั้นดินเผาเลย วันนี้เฉิงโหย่วอี้ไม่ลงสนามสอบ ในการสอบครั้งถัดไป เขาจะต้องลงสนามสอบพร้อมกับเฉิงเจียซ่าน ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูในตอนนี้ยังใช้ได้อยู่ นางอย่าได้ทิ้งแตงโมแล้วเก็บเม็ดงา”
ขอเพียงซอยจิ่วหรูไม่แยกตระกูลกัน ในสายตาของคนข้างนอก เฉิงสือก็คือหลานชายของเฉิงจิง เป็นบุตรหลานของซอยจิ่วหรู เส้นสายและเนื้อหาความรู้ที่ตระกูลเฉิงทิ้งเอาไว้ให้ขอเพียงเขามีความสามารถสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว มิหนำซ้ำเฉิงจิงยังได้แต่มองดูอย่างไม่มีทางเลือก เขามิอาจกระโดดออกมาบอกผู้อื่นว่าข้าไม่ชอบหลานชายคนนี้ พวกเจ้าอย่าช่วยเหลือเขา เช่นนั้นมิใช่ว่าจะเป็นการยืนยันชื่อเสียงที่ว่าเฉิงจิงเนรคุณหรอกหรือ
ในทางกลับกัน หากจวนหลักกับจวนรองแยกตระกูลในตอนนี้ รอให้ถึงการสอบขุนนางครั้งใหญ่ ขอเพียงหยวนซื่อเดินสายทั่วจิงเฉิงรอบหนึ่ง ทั้งได้กุมเส้นสายและเนื้อหาความรู้ของจวนหลักไว้ในมือตนเองอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้เฉิงสือได้ใช้ และยังทำให้คนอื่นรับรู้ว่าตระกูลเฉิงในจิงเฉิงสายนี้กับตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูมิใช่ตระกูลเดียวกันอีกแล้ว ฉวยโอกาสนี้ประกาศให้ทุกคนทราบกันทั่วหน้า
สำหรับเส้นสายความสัมพันธ์เก่าแก่คร่ำครึเหล่านั้นของเฉิงซวี่ ตอนนี้ก็คล้ายตะวันอ่อนแสงที่ภูเขาประจิมแล้ว ใช้ประโยชน์อะไรได้น้อยนิดเสียแล้ว หากเฉิงสือไม่ได้รับความช่วยเหลือจากจวนหลัก เพียงแค่อาศัยเฉิงซวี่ผู้เดียว ก็อยู่เหนือกว่าแค่พวกบัณฑิตจากตระกูลยากจนข้นแค้นเท่านั้น
สามปีสอบหนึ่งครั้ง
ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นคู่แข่ง
คู่แข่งมีตัวช่วยน้อยลงส่วนหนึ่งฉันใด ตนเองก็มั่นใจมากขึ้นส่วนหนึ่งฉันนั้น
บัญชีเช่นนี้ หยวนซื่อจะต้องคำนวณให้รอบคอบ
ทว่าหยวนซื่อกลับรีบร้อนมากกว่าที่เฉิงฉือคาดไว้
ครั้นนางตระหนักถึงผลได้ผลเสียในนั้นแล้ว ก็ใช้อำนาจของเฉิงจิงในทันที ส่งคนเร่งรุดเดินทางแปดร้อยหลี่มาส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้เฉิงฉือ พร่ำพรูถ้อยคำออกมามากมาย ในทำนองว่าให้เฉิงฉือเห็นด้วยกับการแยกตระกูลเพื่อเห็นแก่ส่วนรวม ไม่ว่าเฉิงจิงหรือนาง รวมทั้งเฉิงสวี่และเฉิงเจิงต่างก็จะจดจำคุณงามความดีของเขา ยังสัญญาอีกว่าครั้นแยกตระกูลแล้ว เฉิงจิงก็จะเป็นประมุขของตระกูล นอกจากจะก่อตั้งศาลบรรพชนใหม่ ยังจะตั้งระเบียนประวัติตระกูลใหม่อีกด้วย เขาที่เป็นจิ้นซื่อขั้นสองก็ไม่ต้องถูกคำสั่งเสียของผู้อาวุโสเหนี่ยวรั้งให้ทำแต่การค้าขาย ขอเพียงแต่เขาปรารถนา นางก็จะโน้มน้าวเฉิงจิงให้สนับสนุนเขารับราชการ… สรุปแล้ว ก็แค่หลอกล่อให้เขาหยิบเงินออกมาเพื่อแยกตระกูลนั่นเอง
เฉิงฉือกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
บอกไหวซานว่า “เจ้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าทางด้านโน้นโดยปิดผนึกเอาไว้เหมือนเดิม”
ถ้าหากไม่มีเด็กน้อยของเขา การแยกตระกูลก็เพียงเท่านั้น เขาแค่ทำตัวเป็นบุตรชายคนเล็กที่ไม่เป็นที่สนใจของผู้อื่นของเขาต่อไปก็พอแล้ว
แต่สถานะของเสาจิ่นนั้นพิเศษ อยากจะแต่งงานและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เขาก็ต้องยืนหยัดแบกท้องฟ้าทั้งผืนเพื่อนางให้จงได้
ตอนนี้จะแยกตระกูลก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามแผนการของเขา!
………………………………………………………………….