ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 422 เจรจาต่อรอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่อยู่ห่างไกลในเมืองจินหลิงอ่านจดหมายที่บุตรชายคนเล็กส่งคนมามอบให้จบแล้ว ก็หัวเราะขึ้นมา เรียกสื่อมามาเข้ามา แล้วกล่าวว่า “ส่งไปให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองที”
อยากได้เงินแล้วทำให้จวนหลักขุ่นเคือง หรือว่าอยากปกป้องอนาคตของบุตรหลาน เก็บสายสัมพันธ์เส้นหนึ่งไว้เพื่อให้มองหน้ากันได้อยู่ ให้จวนรองไปเลือกเอาเอง
นึกถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดยิ้มเย็นไม่ได้
ช่างเป็นสามสิบปีอยู่ฝั่งน้ำตะวันออก อีกสามสิบปีอยู่ฝั่งน้ำตะวันตกจริงๆ!
นึกถึงตอนแรก เฉิงซวี่ตาเฒ่าผู้นั้นใช้อนาคตของบุตรหลานจวนหลักบีบบังคับให้นายท่านโยนเจ้าสี่ออกไปเป็นเครื่องสังเวย ด้วยเหตุนี้ แม้แต่หลุมศพของนายท่านนางก็ไม่อยากไปเยี่ยม
ตอนนี้ก็ให้ตาเฒ่าผู้นั้นลิ้มลองรสนี้คืน!
ขอบตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวรื้นชื้นเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายคนเล็กหรือหลานชายคนโตล้วนเป็นชีวิตจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่า
แต่นางจะไม่เอนเอียงไปหาเจ้าสี่ได้อย่างไร
แผนการนี้ สุดท้ายยังคงเป็นเจ้าสี่ที่ช่วยนางคิด
ในบรรดาบุตรชายทั้งสามคน ผู้ที่เอาใจใส่นางที่สุดก็คือเขา
รู้ว่านางคิดอะไร กังวลใจเรื่องอะไร… และเป็นคนหนึ่งที่กตัญญูกตเวทีที่สุด… แต่ก็เป็นบุตรที่นางรู้สึกผิดด้วยมากที่สุดเช่นกัน…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช็ดน้ำตา
ดูทีแล้ว เกรงว่าเจ้าสี่คงจะตัดสินใจอยากแต่งงานกับเสาจิ่นแล้วเป็นแน่
นี่จึงทำให้นางรู้สึกปวดหัว
หากเป็นคนข้างนอกก็ยังดี มีวิธีหลอกลวงได้เสมอ แต่คนในตระกูลนี้…ไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังไม่ได้… เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาของผู้อื่น กลับถูกบุตรชายของตนฉกชิงตัวไป นางจะมีหน้าไปพบใต้เท้าโจวผู้นั้นได้อย่างไร… ยิ่งกว่านั้น อุปนิสัยของเด็กน้อยอ่อนแอถึงเพียงนั้น เจ้าสี่ทุ่มเทกำลังมากขนาดนี้เพื่อแต่งงานกับนาง นางจะทราบความคิดของเจ้าสี่หรือเปล่า จะให้ความสำคัญกับเจ้าสี่เหมือนที่เจ้าสี่ให้ความสำคัญกับนางหรือไม่
ถ้าหากเพียงเพราะเจ้าสี่อยากจะแต่งงานกับนาง นางจึงแต่งงานด้วย… ก็ทำร้ายจิตใจเจ้าสี่ของพวกเขาเกินไปแล้ว!
ในสายตาของผู้เป็นมารดา บุตรชายของตนล้วนยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่งในปฐพี
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เช่นเดียวกัน
นางคิดว่าถ้าหากความสัมพันธ์ที่โจวเสาจิ่นมีต่อบุตรชายคนเล็กของตนเป็นเพียงความเคารพระหว่างสามีภรรยาเสมือนเป็นแขกเหรื่อเท่านั้น ในใจของนางก็คงคล้ายกับถูกปุยฝ้ายอุดอยู่ก็ไม่ปาน จะหายใจออกได้อย่างไร
ไม่ได้!
นางจักต้องไปดูเองถึงจะถูก
ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไปแล้ว
นางเรียกหลี่ว์มามาเข้ามา เอ่ยถามว่า “วันแต่งงานของเจียซ่านกำหนดไว้เมื่อใดหรือ”
หลี่ว์มามาตอบยิ้มๆ ว่า “วันที่หกเดือนสองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเก็บจอนผมของตนเองพลางกล่าวว่า “ข้าว่าข้าไปด้วยดีกว่า! หยวนซื่อทะเลาะกับจวนรองอย่างนี้ หากท่านผู้นำตระกูลมีเรื่องอะไรก็ต้องมาหาข้า เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรได้ ไม่สู้ฉวยโอกาสนี้ไปจิงเฉิงเสียดีกว่า ยังไปดูการตระเตรียมงานแต่งงานในเรือนที่จิงเฉิงว่าเป็นอย่างไรได้ด้วย”
หลี่ว์มามาคิดว่าตนเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านควรจะทำเช่นนี้นานแล้วเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่สวี่แต่งงานทั้งที หากท่านไม่ไป เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร ยิ่งกว่านั้นมิตรสหายเก่าแก่สมัยที่นายท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่ต่างทราบกันว่าคุณชายใหญ่สวี่จะแต่งงานที่จิงเฉิง แต่ละคนถามว่าท่านจะไปจิงเฉิงเมื่อใด ถ้าหากท่านไม่ไป เวลาตอบคำถามฮูหยินก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะมีสีหน้าน่าดูได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบทอดถอนใจ
หลี่ว์มามาติดตามนางมาหลายปีขนาดนี้ แต่จนบัดนี้กลับไม่มีความคิดอ่านมากเท่าสื่อมามา
นางไม่ไปจิงเฉิง ประการแรกเป็นเพราะนางเป็นหญิงหม้าย ตอนที่ทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ก็ต้องหลบออกไป นางเองก็ไม่อยากรบกวนพวกลูกๆ ทำให้ลูกๆ รู้สึกลำบากใจ ประการที่สองไม่อยากเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลหมิ่นนั่น ราวกับว่าตระกูลเฉิงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างต้องไล่ตามหางของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น วันหลังจะพูดหรือทำอะไรก็เสียไพ่ที่เหนือกว่าแล้ว ไม่เหลืออำนาจต่อรองอะไรเลยทั้งสิ้น
ทว่าตอนนี้ ขอเพียงนางนึกถึงโจวเสาจิ่น ก็นั่งไม่ติดที่แม้ชั่วเสี้ยวเดียวเสียแล้ว
อย่างไรก็ก็ต้องให้เด็กคนนั้นหลงรักเจ้าสี่จนหัวปักหัวปำถึงจะถูก
ไม่เช่นนั้นนางคงจะรู้สึกกลัดกลุ้มใจจริงๆ
นางเรียกพ่อบ้านใหญ่ฉินมาสอบถาม “บ้านที่ประตูเฉาหยางของเจ้าสี่กว้างใหญ่หรือไม่ หากว่าข้าไปอยู่ที่นั่นกับเขา จะมีที่หรือไม่”
พ่อบ้านใหญ่ฉินตอบยิ้มๆ ว่า “ทั้งหมดมีขนาดห้าวงสามส่วนยังมีสวนดอกไม้ที่มีสระน้ำไหลรินสองสวนอีกด้วยขอรับ ท่านว่าพอมีที่ให้ท่านอยู่หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ซื้อบ้านใหญ่โตขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ทางนี้ยังจัดการเรื่องแยกตระกูลอยู่เลย”
พ่อบ้านใหญ่ฉินระบายยิ้มพลางตอบว่า “เขาใช้เงินส่วนตัวของท่านซื้อขอรับ เป็นไปได้ว่านายท่านสี่คงจะเตรียมไว้ให้ตนเองใช้”
เงินส่วนตัวส่วนนั้นของนาง มิใช่เป็นเงินที่เฉิงฉือให้หรอกหรือ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “เขาก็ควรจะวางแผนสำหรับตนเองได้แล้ว!”
พ่อบ้านใหญ่ฉินจึงลองหยั่งเชิงถามดูว่า “หรือว่านายท่านสี่อยากจะแต่งงานแล้วขอรับ”
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีรอยภาคภูมิใจน้อยๆ วาบผ่าน กระซิบว่า “หรือไม่เจ้าก็ตามข้าไปดูที่จิงเฉิง”
พ่อบ้านใหญ่ฉินสนใจยิ่งนัก
วิทยายุทธ์ของเฉิงฉือเป็นบิดาของเขาที่ฝึกฝนให้ตั้งแต่เล็ก ต่อมาแม้ว่าวิชาที่ฝึกฝนคือคัมภีร์ลับที่เลี่ยกงนำกลับมา แต่วิชาที่สืบทอดของตระกูลฉินเฉิงฉือก็ฝึกฝนไปไม่น้อยเช่นกัน หากเรียงลำดับความอาวุโส เฉิงฉือควรจะเป็นศิษย์น้องของเขา แม้แต่ตอนที่บิดาของเขาจากไป ก็เป็นเฉิงฉือที่ช่วยจัดพิธีศพให้ ความผูกพันที่พ่อบ้านใหญ่ฉินมีต่อเฉิงฉือย่อมแน่นแฟ้นกว่านายท่านคนอื่นๆ ของตระกูลเฉิงเป็นธรรมดา
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยขึ้นมา เขาก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเรื่องแยกตระกูลนี้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เงินสามล้านเหลี่ยง นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก ต่อให้เจ้าสี่ยอมจ่าย หยวนซื่อก็คงคิดว่านี่ล้วนเป็นเงินกองกลางของจวนหลัก หากแบ่งตามครอบครัว บุตรชายของนางก็ควรครอบครองหนึ่งในสามส่วน หากมีเงินหนึ่งล้านเหลี่ยงที่เป็นของบุตรชายของนาง การเอาเงินที่อยู่ในถุงของบุตรชายตนเองไปมอบให้ถึงอ้อมอกของผู้อื่น เกรงว่านางคงจะยอมแล่เนื้อของตนเองแทนที่จะหยิบเงินนั้นออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนายท่านใหญ่ตระกูลหยวนอยู่ด้วยมิใช่หรือ สำหรับทางด้านเฉิงซวี่ เจ๋อกงสร้างความวุ่นวายในช่วงหลายปีนั้น หากพูดถึงเรื่องเงิน สิ่งที่จวนรองไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเงิน เพียงแต่ในบรรดาบุตรหลานไม่มีผู้ใดที่พึ่งพาได้ ตอนที่คิดจะแยกตระกูลก็เพียงได้เงินเพิ่มข้างกายเท่านั้น ถ้าหากปกป้องอนาคตของเฉิงสือได้ เงินทองอะไร ไม่อยู่ในสายตาเฉิงซวี่หรอก…
…พวกเราอยู่ที่นี่ไปก็เพียงฟังพวกเขาเจรจาต่อรองกัน ไม่สู้ไปดูเจ้าสี่ที่จิงเฉิงเสียยังจะดีกว่า…
…ช่วงนี้เขาวิ่งไปวิ่งมา ในใจคงจะรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าบุตรชายทำอะไรอยู่ข้างนอก แต่นางหาใช่อิสตรีในห้องหอที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน พรรคเจ็ดดาราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อลอบค้าเกลือ เช่นนั้นก็ต้องสมาคมกับพวกโจรในยุทธภพที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเหล่านั้น หาไม่แล้วเฉิงซวี่ก็คงไม่ให้เฉิงฉือเริ่มฝึกทักษะวิทยายุทธ์ตั้งแต่เล็กหรอก เฉิงลี่ผู้นั้นก็คงไม่ถูกคนสังหารแล้วเฉิงซวี่ที่เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักยังคงล้างแค้นให้บุตรชายไม่ได้เช่นกัน
พ่อบ้านใหญ่ฉินรู้ดีว่าเฉิงฉือกำลังทำอะไร แต่มิอาจบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้
เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่… พึงใจคุณหนูรองตระกูลโจวใช่หรือไม่ขอรับ”
“เรื่องนี้เจ้าก็รู้แล้วเหมือนกันสินะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าตระกูลฉินมิใช่ตระกูลที่ธรรมดา อีกอย่าง คนของตระกูลฉินล้วนรับใช้อยู่ข้างกายเฉิงฉือ หากรู้เรื่องอะไรบ้างก็ไม่น่าแปลกใจ “เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะลงเอยด้วยดีหรือไม่ ข้าค่อนข้างเป็นห่วง”
พ่อบ้านใหญ่ฉินคลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านสี่มากความสามารถเสมอมา ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำไม่สำเร็จ ท่านโปรดวางใจเถิดขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ถ้าไม่เห็นกับตา ข้าก็ไม่รู้จะวางใจได้อย่างไร”
พ่อบ้านใหญ่ฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็จะตามท่านไปดูด้วยนะขอรับ”
เขายังไม่เคยพินิจดูโจวเสาจิ่นอย่างละเอียดเลยสักครั้ง
จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เริ่มเก็บข้าวของอย่างกระตือรือร้น คิดว่าถ้าหากเรื่องนี้สำเร็จจริงๆ ละก็ โจวเสาจิ่นผู้นั้นก็ใกล้ถึงวัยปักปิ่นแล้ว ทางที่ดีก็ควรเร่งจัดงานแต่งงานในปีนี้ บางทีปีหน้าอาจจะอุ้มหลานได้สักคน
นางอายุมากแล้ว ทนรอไม่ไหวแล้ว
แต่ก่อนตอนที่โจวเสาจิ่นเป็นคุณหนูในเรือนก็เป็นเด็กที่มีความประพฤติดีและสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง แต่หากเป็นลูกสะใภ้ของนาง กลับไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบหน้าที่ดูแลเหย้าเรือนได้หรือไม่… ท่าท่างอ่อนแอบอบบางเช่นนั้น…ยังดีที่ตระกูลเฉิงมิใช่ตระกูลเล็กตระกูลน้อย ภายในตระกูลไม่ขาดพ่อบ้านหรือมามาที่มากประสบการณ์และจงรักภักดี ถึงเวลานั้นค่อยชี้แนะอยู่ข้างๆ ก็น่าจะจัดการให้ผ่านไปได้ อีกทั้งนางมิใช่นายหญิงใหญ่… ดูแลจัดการงานในเรือนได้ก็พอแล้ว ขอเพียงนางดูแลเจ้าสี่ดีๆ ได้ก็เป็นอันใช้ได้…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขบคิดว่าจะจัดเตรียมคนงานที่เรือนประตูเฉาหยางอย่างไรดี ประเดี๋ยวก็บอกเจินจูไปเปิดห้องเก็บของเอาเครื่องประดับเงินและทองของนางออกมาให้หมด ประเดี๋ยวก็สั่งหลี่ว์มามาจัดเก็บของใช้ประจำวันเหล่านั้นที่ตนชื่นชอบเอาไว้ถึงเวลาก็นำไปด้วย ประเดี๋ยวก็ให้สื่อมามาไปหาสัญญาซื้อขายตัวของคนที่เป็นลูกหลานบ่าวไพร่ของตระกูลและพวกหญิงรับใช้ชั้นหนึ่งที่ดูแลการเรื่องต่างๆ ข้างกายนางออกมา อีกทั้งครุ่นคิดว่าตนจะไปจิงเฉิง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลกัว ตระกูลกู้หรือจวนเหลียงกั๋วกงล้วนต้องส่งคนนำจดหมายไปแจ้ง ย่อมมิอาจให้บ่าวหญิงทั่วไปเป็นผู้แจ้ง ยังคงต้องให้หลี่ว์มามาหรือไม่ก็สื่อมามาไปเอง… จากนั้นก็พบว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหยวนซื่อเลย แต่คนข้างกายต่างยุ่งกันจนตัวเป็นเกลียว นางจึงสั่งสาวใช้คนหนึ่งอย่างลวกๆ ให้นางไปเชิญหยวนซื่อมา
หยวนซื่อกำลังหารือกับพี่ชายร่วมอุทรของนาง “…หลายปีมานี้น้องสี่ทำมาค้าขายได้ดีจริงๆ แต่เงินสามล้านเหลี่ยงนี้ ข้าคิดว่าจวนหลักจ่ายไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเพียงกำลังทำให้พวกเราลำบากใจเท่านั้น ไม่ปรารถนาจะแยกตระกูลนี้แต่อย่างใดหรอกเจ้าค่ะ”
“จื่อชวนผู้นั้นออกเงินได้เท่าไร” พี่ชายร่วมอุทรของหยวนซื่ออายุมากกว่านางเกือบยี่สิบปี รูปร่างสูงปานกลาง ค่อนข้างอ้วนท้วน ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับคมปลาบยิ่งยวด หน้าตาไม่ละม้ายคล้ายหยวนซื่อสักเท่าใด แต่นิสัยกลับเหมือนกันยิ่ง เขาเอามือไพล่หลังขณะเดินไปมาอยู่ในห้อง พึมพำว่า “ต่อให้จวนหลักจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่ไหว เรียกร้องราคาสูงเท่าผืนฟ้า ต่อราคาต่ำเท่าพื้นดิน จะต้องเจรจาต่อรองราคาหนึ่งออกมาให้ได้ หรือไม่ก็ทำอย่างนี้” กล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดฝีเท้าลง พลางกล่าวด้วยสายตาเคร่งขรึมเล็กน้อยว่า “พวกเราสัญญาว่า ขอเพียงเฉิงสือสอบได้เป็นจิ้นซื่อ พวกเราจะไม่ขัดขวางอนาคตของเขาอย่างแน่นอน...”
นัยน์ตาของหยวนซื่อลุกวาบ กล่าวขึ้นว่า “ท่านหมายความว่า ลอบกัดในเงามืด…”
“เพ้ย!” นายท่านใหญ่ตระกูลหยวนสบถใส่หยวนซื่อคำหนึ่ง กล่าวว่า “พวกเราเป็นปัญญาชน ถ้อยคำมีน้ำหนักดั่งเตาหลอมเก้าเตา ในเมื่อสัญญาว่าจะไม่ขัดขวางอนาคตของเขาก็ไม่ขัดขวางอนาคตของเขาสิ…”
“แต่ว่า…” หยวนซื่อหน้าแดงก่ำ ทว่ายังไม่ยอมถอยพลางกล่าวว่า “พวกข้าทำเช่นนี้ ทั้งสองจวนก็ถือเป็นศัตรูกันแล้ว คงมิอาจปล่อยให้ศัตรูคนหนึ่งรุ่งโรจน์ต่อหน้าข้าอยู่เรื่อยไปได้หรอกกระมังเจ้าคะ”
“เจ้านะเจ้า!” นายท่านใหญ่ตระกูลหยวนกล่าวอย่างรังเกียจว่า “เจ้าคิดว่าการเป็นขุนนางนั้นง่ายดายขนาดนั้นเชียว ขอเพียงตอนที่พวกเจ้าสองจวนแยกตระกูลกันจวนรองก็เป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผลแล้ว ต่อให้เฉิงสือเขาสอบได้ยศจิ้นซื่อและเข้าสู่สำนักฮั่นหลิน ใครยังจะกล้าผูกสัมพันธ์กับเขาอีกเล่า ตอนนี้มิใช่เวลาที่เจ้าต้องมากังวลว่าจวนรองจะยื่นเงื่อนไขอะไร แต่หาทางให้จวนรองเป็นฝ่ายผิดต่างหาก!”
หยวนซื่อดึงสติกลับมาอีกครั้ง กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะให้คนไปปล่อยข่าวลือ..”
นายท่านใหญ่ตระกูลหยวนทนดูไม่ได้เอามือปิดหน้า กล่าวว่า “สมกับที่เจ้าแต่งงานให้ตระกูลเฉิงจริงๆ ทั้งยังมีน้องเขยปกป้อง หากแต่งงานกับผู้อื่น เกรงว่าคงจะถูกคนอื่นแทะกินจนถึงกระดูกไม่เหลือเศษซากนานแล้ว พ่อบ้านคนนั้นของตระกูลเจ้าก็รู้ดี หากไม่ได้จริงๆ ก็ขายที่ดินมรดกของส่วนกลางให้หมด ทำไมเจ้าถึงคิดไม่ได้”
“พ่อบ้าน? ท่านหมายถึงพ่อบ้านใหญ่ฉินหรือเจ้าคะ” หยวนซื่อยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
นายท่านใหญ่ตระกูลหยวนก็คร้านจะสนใจนาง กล่าวว่า “เจ้าใคร่ครวญดู หากจวนหลักแยกตระกูล ก็ต้องเป็นฝ่ายที่จ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้จวนรอง ก่อนหน้านี้จวนรองไม่ยอมให้แยกตระกูล เป็นเพราะว่าให้เงินไม่พอกระมัง”
หยวนซื่อกระจ่างแล้ว อดปรบมือไม่ได้พลางเอ่ยว่า “ยอดเยี่ยมๆ!”
นายท่านใหญ่ตระกูลหยวนคำรามเสียงเย็นอย่างพึงพอใจขณะเงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า “เพียงแต่กลัวว่าแม่สามีของเจ้าจะไม่ยินยอม! เจ้าต้องหาทางปิดบังแม่สามีของเจ้าให้ได้ถึงจะถูก”
………………………………………………………………….