ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 424 ขอบคุณ
หลี่ซื่อย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา นอกจากจะมอบลิ่มเงินสิบกว่าก้อนให้นางตกเป็นรางวัลแก่คนข้างกายของเฉิงฉือแล้ว ยังหยิบกล่องไม้สนสองกล่องให้โจวเสาจิ่นอีกด้วย กล่าวว่า “ในกล่องนี้มีโสมร้อยปีสองราก ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปก็มอบให้ท่านน้าฉือของเจ้า ข้าก็รู้ดีว่า ที่ท่านน้าฉือของเจ้าช่วยพี่ชายใหญ่ของข้ามิใช่เพื่อสิ่งนี้ ของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะแสดงความซาบซึ้งใจที่ตระกูลหลี่มีต่อท่านน้าฉือของเจ้าเลย แต่นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจเล็กน้อยของตระกูลหลี่ ข้าก็เพียงยืมดอกไม้มาถวายพระ ไม่ว่าอย่างไรต้องให้ท่านน้าฉือของเจ้ารับไว้”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฉิงฉือถึงช่วยพี่ชายของหลี่ซื่อ
ของขวัญที่ตระกูลหลี่มอบให้ย่อมแล้วแต่ท่านน้าฉือจะจัดการ
นางเพียงช่วยนำไปมอบให้เท่านั้น
โจวเสาจิ่นรับคำแล้วพาซางมามานั่งเกี้ยวไปที่ประตูเฉาหยาง
เฉิงฉือไม่ได้เจอนางมาหลายวันเช่นกัน พอได้ยินว่านางจะมา ก็เลื่อนงานสังสรรค์ต่างๆ ออกไปแล้วรอนางอยู่ที่บ้าน
โจวเสาจิ่นรู้สึกขวยเขินในใจ ไม่กล้าบอกว่าตนเองคิดถึงคนเบื้องหน้าผู้นี้เหลือเกิน ถ้อยคำขอบคุณเหล่านั้นล้วนเป็นข้ออ้าง ความจริงก็แค่อยากมาเจอเขา ด้วยเหตุนี้พอได้พบเฉิงฉือจึงตื่นเต้นเล็กน้อย หยิบกล่องไม้สนที่หลี่ซื่อฝากนางมาให้ออกมายัดใส่มือของเฉิงฉือ กล่าวว่า “นี่เป็นของที่ฮูหยินฝากข้าเอามาให้เจ้าค่ะ บอกว่าขอบคุณที่ท่านแนะนำหลิวหย่งให้ท่านลุงตระกูลหลี่รู้จักเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเห็นนางดูขัดเขินระคนขลาดกลัว งดงามราวดอกไม้ ดวงตาคู่โตสุกใสวาววามหลุบลงมองเท้า มุมปากก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจพลันนึกสนุกขึ้นมา ค่อยๆ ค้อมกายลง เป่าลมหายใจร้อนรดใบหูของนางพลางกล่าวว่า “นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่นั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเพียงอยากจะเอาใจเสาจิ่นของข้าสักหน่อยเท่านั้น… ใครจะรู้ว่าเมื่อพบหน้ากันนางกลับไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแม้ประโยคเดียว แต่ยัดเยียดกล่องสองใบมาให้ข้า…ข้ารอคอยอยู่ที่บ้านมาตั้งนานเสียเปล่า…”
ลมหายใจที่คุ้นเคยนั้น อ่อนหวานอย่างน่าประหลาด ทำให้โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือก ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี นานครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นโกรธจนผลักเฉิงฉือออกไป
เฉิงฉือระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน ทว่าในใจกลับเหม่อลอย
ในที่สุดเด็กน้อยของเขาก็รู้จักผลักเขาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปเวลาที่ไม่พอใจเล็กน้อยจะชักสีหน้าให้เขาเห็นหรือไม่กันนะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความสุขชั่วครู่ชั่วคราว ไม่สู้ให้โจวเสาจิ่นแสดงอารมณ์ของตนออกมาได้อย่างง่ายดายเสียยังจะดีกว่า ต่อจากนี้ไปเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันยังมีอีกยาวไกล เขามิอาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของนางได้เสมอ นางก็มิอาจรอให้เขามาช่วยเหลือนางได้อยู่เรื่อยเช่นกัน ปฏิเสธหรือยืนยันอย่างพอเหมาะพอดี จึงจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยิ่งยืนยาว
เขาฉวยโอกาสถอยไปสองก้าวพลางดึงมือของโจวเสาจิ่น กล่าวว่า “เจ้ามาได้พอดี ช่วงก่อนข้าวาดรูปไก่ฟ้าสีทองรูปหนึ่ง อยากจะมอบให้กวนเกอในพิธีครบร้อยวันของเขา เจ้าช่วยข้าดูทีว่าเป็นอย่างไร”
โจวเสาจิ่นถูกเขาจูงไปที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
บนกระดาษเซวียนจื่อที่ไม่ใหญ่นักมีภาพดอกโบตั๋นเบ่งบานสองดอกและไก่ฟ้าสีทองยื่นหัวออกมาจากใต้ดอกโบตั๋น ชูคอระหงมองผีเสื้อร่ายระบำคู่หนึ่งที่มุมซ้ายบน ท่าทางสนอกสนใจ ดูน่ารักงดงาม
โจวเสาจิ่นนึกไม่ถึงว่าภาพของเฉิงฉือก็วาดได้สวยงามถึงเพียงนี้
นางยืนอึ้งงันไปชั่วเสี้ยวหนึ่ง แล้วถึงได้คืนสติกลับมา กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่า ผู้ที่มีทักษะวิทยายุทธ์ดี ปกติมักจะต้องทุ่มเทเวลาในการฝึกฝนมาก ไฉนท่านถึงยังมีเวลาอ่านตำรา วาดภาพ และสอบจิ้นซื่อด้วยเล่า…”
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือตาปริบๆ
นี่ยังจะทำให้คนซาบซึ้งใจมากกว่าชมภาพวาดของเขาตรงๆ ว่าสวยเสียอีก
เฉิงฉือหัวเราะเริงร่า กล่าวว่า “หากว่าเจ้าอยากทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ย่อมหาเวลามาได้เสมอ”
ถ้าหากไม่ฉลาดปราดเปรื่อง ต่อให้หาเวลามาได้ก็คงมิอาจเก่งกาจเท่าท่านน้าฉือกระมัง
สายตาที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือเปี่ยมไปด้วยความยกย่องชื่นชมอย่างไม่ปกปิด
เฉิงฉือยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ กล่าวว่า “ถึงเวลานั้นก็มอบภาพนี้ให้แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ เห็นบนโต๊ะเขียนหนังสือวางแปรงทาสี แป้งเปียกและเครื่องมืออื่นๆ ก็อดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านต้องการ...เข้าม้วนภาพวาดเองหรือเจ้าคะ”
ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ความงดงามของภาพขึ้นอยู่กับภาพวาดสามส่วน การเข้าม้วนภาพเจ็ดส่วน ภาพเช่นไรเข้ากับแกนไม้ ผ้าไหมหรือกระดาษที่เข้าม้วนเช่นไร ล้วนเป็นทักษะฝีมือชั้นสูง ปกติยอดฝีมือการเข้าม้วนภาพหายากยิ่งยวด บางครั้งต้องรอนานกว่าครึ่งปีถึงจะเข้าม้วนภาพของเจ้า
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ภาพที่ข้าวาดเอง ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น ข้าเข้าม้วนภาพเองดีกว่า!”
แต่หากไม่มีฝีมือ ก็คงไม่กล้าทำเองหรอกกระมัง
หาไม่แล้วหากมิได้เข้าม้วนภาพให้ดี ภาพที่เข้าม้วนปีนี้ ก็อาจเสียปีหน้า เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็อยากลองดูสักหน่อยอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ให้ข้าช่วยท่านเข้าม้วนภาพเถอะนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นดวงหน้าน้อยๆ ของโจวเสาจิ่นที่เปล่งปลั่งเพราะมีความสุข เขาก็พลันรู้สึกว่าอย่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน วันหลังเขาวาดภาพแล้ว ก็ให้นางเข้าม้วนภาพได้ นอกจากนี้เขายังชื่นชอบพวกงานหินและโลหะเป็นอย่างมากอยู่แล้ว เสาจิ่นเป็นคนที่ละเอียดลออ ถ้าหากนางสนใจการเข้าม้วนภาพ พวกเขายังซ่อมแซมตำราโบราณที่มีอยู่เล่มเดียวด้วยกันได้
ครั้นนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว เฉิงฉือก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา
ทั้งสองคนเลือกวัตถุดิบ ทาแป้งเปียก ตัดขอบ ติดภาพด้วยกัน เฉิงฉือด้านหนึ่งอธิบายข้อควรระวังให้แก่โจวเสาจิ่น อีกด้านหนึ่งก็บอกให้นางหยิบมีดกดกระดาษ ระหว่างนี้ยังโอบโจวเสาจิ่นในวงแขน จับมือสอนนางฝึกใช้เศษขอบติดกระดาษอย่างไร
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว ทว่ากลิ่นที่แนบติดเสื้อของนางกลับสะอาดสะอ้าน อุณหภูมิร่างกายก็อบอุ่นถึงเพียงนั้น ทำให้นางมึนเมาเสมือนดื่มด่ำสุราขาวดอกสาลี่ที่เก็บมานานหลายปี ดวงหน้าแดงเรื่อ ไอร้อนพลุ่งขึ้นหน้าโดยตรง
ส่วนเฉิงฉือมองดูโจวเสาจิ่นที่หลุบเปลือกตาลง ดูคล้ายดวงหน้าน้อยๆ ที่ว่าง่ายและสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง เขาแทบอยากจะโอบกอดนางแล้วจุมพิตสักสองที นวดเคล้นนางแนบติดกับร่างของตนเองแรงๆ
มีเด็กสาวที่เชื่อฟังและรู้ความขนาดนี้ได้อย่างไร
เขาหักห้ามใจถึงได้ไม่จูบโจวเสาจิ่น แต่ระบายยิ้มพลางปล่อยนาง เดินไปข้างหนึ่งแล้วเข้าม้วนภาพไก่ฟ้าสีทองที่ตนวาดภาพนั้นต่อ และให้โจวเสาจิ่นฝึกติดภาพด้วยตนเอง
ต้นไผ่เขียวชอุ่มข้างนอกห้องโยกไหว ร่มรื่นและเงียบสงบ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเสมือนเวลาหยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น ผ่อนคลายและสงบสุขยิ่ง
โจวเสาจิ่นลอบเงยหน้ามองเฉิงฉือเขากำลังเข้าม้วนภาพวาดอย่างตั้งใจ
แขนเสื้อผ้าไหมซงเจียงสีขาวพระจันทร์ถลกขึ้นเหนือศอก เผยให้เห็นแขนขาวหมดจดกำยำของเขา ยิ่งทำให้นิ้วเรียวยาวของเขาดูมั่นคงแข็งแกร่ง
เปลือกตาของโจวเสาจิ่นซับสีแดงจางๆ รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวเล็กน้อย
ท่านน้าฉือมักจะหาข้ออ้าง ‘กลั่นแกล้ง’ นางเสมอ ทำไมวันนี้ถึงได้…เงียบเช่นนี้เล่า
เป็นเพราะวันนี้เขามีงานยุ่ง หรือว่าเพราะนางผลักเขาออกไปทำให้เขารู้สึกเก้อกระดากเล็กน้อยกันนะ
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดแย้งในตัวเองเป็นอย่างมาก
ทั้งอยากให้เฉิงฉือปฏิบัติต่อนางดังเก่า และคิดว่าถ้าหากในอนาคตอยู่เป็นเพื่อนท่านน้าฉืออย่างเงียบๆ เฉกเช่นตอนนี้ได้ก็คงดี… ขณะที่ใจลอยอยู่นั้น ก็ทำกระดาษที่ต้องติดยับ
โจวเสาจิ่นกระดากอายเหลือแสน ไม่กล้าเงยหน้ามองเฉิงฉือ
เฉิงฉือเข้ามากอดนางพลางหอมแก้มอมชมพูของนางอย่างรักใคร่ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ไม่เลวๆ จะดีจะร้ายก็ติดกระดาษเป็นแล้ว ดีกว่าที่ข้าคาดไว้มาก!” ขณะที่กล่าวก็ตัดกระดาษเซวียนจื่อให้นางอย่างคล่องแคล่ว กล่าวว่า “ฝึกต่อไปอีก ข้ายังคาดหวังว่าเมื่อถึงเวลาเจ้าจะช่วยข้าเข้าม้วนภาพ จะได้ประหยัดเงินทอง!”
ท่านน้าฉือเริ่มพูดจาเลื่อนเปื้อนกับนางอีกแล้ว
โจวเสาจิ่นมุ่ยปากพลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือขาดแม้กระทั่งเงินเพียงเล็กน้อยเชียวหรือเจ้าคะ แค่อยากลากข้ามาใช้แรงงานเท่านั้นต่างหาก!”
เฉิงฉือก็เย้าแหย่นางว่า “ไม่เลวเลย! ในที่สุดก็คิดบัญชีคืนเป็นแล้ว รู้ด้วยว่าข้าลากเจ้ามาใช้แรงงาน!”
โจวเสาจิ่นจึงต่อปากต่อคำกับเขาว่า “ข้าคิดบัญชีไม่เป็นตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ เพียงแค่เมื่อก่อนยอมให้ท่าน หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างญาติเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
“ตอนนี้ไม่กลัวทำลายความสัมพันธ์แล้วอย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เห็นได้ว่าขงจื่อกล่าวได้ถูกต้อง มีเพียงอิสตรีกับคนถ่อยที่เข้าด้วยได้ยาก เข้าใกล้เกินไปก็ไม่เกรงใจ ทว่าพอตีตัวออกห่างกลับขุ่นเคือง”
พูดเหมือนกับว่านางยโสโอหังอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นจึงแอบซ่อนมีดตัดกระดาษใต้กองกระดาษเซวียนจื่อเสียเลย
เฉิงฉือแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ผ่านไปสักพักก็ค้นหาไปทั่ว “มีดตัดกระดาษของข้าไปไหนแล้ว”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลง เม้มปากกลั้นยิ้ม
เฉิงฉือจึงสั่งนางว่า “เสาจิ่น เจ้าไปที่ห้องหนังสือเล็กในเรือนชั้นในแล้วช่วยเอามีดตัดกระดาษมาให้ข้าที”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
เฉิงฉือกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “รีบไปเร็ว! ประเดี๋ยวข้าต้องใช้! คลับคล้ายคลับคลาว่าวางไว้บนชั้นวางของมีค่าในห้องหนังสือเล็กของเรือนชั้นใน ถ้าไม่มี เจ้าก็หาดูในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ ถ้าไม่มีอีก อาจจะวางไว้ที่หัวเตียงห้องชั้นใน ข้าเหมือนจะใช้เมื่อคืน…”
โจวเสาจิ่นลอบถลึงตาใส่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องหนังสือไป
เฉิงฉือกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ หัวร่อออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
โจวเสาจิ่นเดินออกไปที่ป่าไผ่
แสงแดดต้นฤดูร้อนที่สาดส่องบนเรือนร่างทำให้คนเหงื่อซึมออกมาได้
ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์กำลังยืนคุยอะไรกันอยู่ที่ปากประตู
รูปร่างของทั้งสองคนเปลี่ยนไปแล้ว ชิงเฟิงสูงกว่าหลั่งเย่ว์หนึ่งช่วงศีรษะ เครื่องหน้าเด่นชัด สีหน้าดูเคร่งขรึม ส่วนดวงหน้ากลมมนของหลั่งเย่ว์ ยิ้มแย้มนำก่อนจะเอ่ยปากพูด เห็นแล้วดูสุภาพน่ารัก
โจวเสาจิ่นกลอกตาไปมา ยิ้มพลางเรียก “ชิงเฟิง” แล้วกล่าวว่า “ท่านน้าฉือไม่รู้ว่าเก็บมีดตัดกระดาษไว้ที่ไหน เจ้าช่วยไปหาให้หน่อย!”
ชิงเฟิงขานรับว่า “ขอรับ” แล้วหมุนกายออกลานไป
หลั่งเย่ว์จึงเอ่ยทักยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง” ขณะก้าวไปทำความเคารพให้นาง
นางนั่งลงข้างโต๊ะหินในป่าไผ่
เพียงแต่นางยังไม่ทันนั่งลงไป หลั่งเย่ว์ก็ตะโกนขึ้นมาในทันใดว่า “คุณหนูรอง เก้าอี้หินเย็นยิ่งนัก ข้าจะให้คนไปเอาเบาะรองนั่งสักเบาะหนึ่งมาให้ท่านนะขอรับ”
จะได้ให้เฉิงฉือรออยู่ที่นี่ได้พอดี!
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก พลางกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยชงชาจอกหนึ่งให้ข้าด้วย ข้าจะรอชิงเฟิงเอามีดตัดกระดาษมาให้แล้วค่อยเข้าไป”
หลั่งเย่ว์มิได้สงสัยอะไร ไม่เพียงหยิบเบาะรองนั่งมา ยังยกจอกชาเข้ามาตามที่นางสั่งไว้ และคุยสัพเพเหระอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นอีกด้วย
เฉิงฉือไหนเลยจะให้โจวเสาจิ่นไปหามีดตัดกระดาษจริงๆ รอให้นางออกจากห้องหนังสือไปก็ตั้งใจจะทำทีว่าหาเจอโดยบังเอิญ ใครจะรู้ว่าพอเงยหน้าขึ้นมา โจวเสาจิ่นก็เลี้ยวออกไปที่ป่าไผ่เสียแล้ว ตอนที่เขาเดินไปตามออกไป กลับเห็นโจวเสาจิ่นกำลังบอกให้ชิงเฟิงช่วยไปหามีดตัดกระดาษให้นางอย่างยิ้มแย้ม
เขาเห็นรอยยิ้มเบิกบานของโจวเสาจิ่นแล้วก็คลี่ยิ้มตามไปด้วย ลอบส่ายศีรษะ ปล่อยให้นางเล่นสนุกไป แล้วหมุนกายกลับห้องหนังสือ
ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็กลับมาแล้ว ร้องบ่นว่า “ร้อนจริงๆ” ไปด้วย พลางยื่นมีดตัดกระดาษให้เฉิงฉือไปด้วย
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ ยื่นมือไปแตะหน้าผากนาง พลางกล่าวว่า “ร้อนตรงไหนหรือ ข้าจะช่วยซับเหงื่อให้เจ้า!”
โจวเสาจิ่นรู้ตัวว่าเผยพิรุธออกมาเสียแล้ว หัวเราะพลางวิ่งหนีไปข้างหนึ่ง
เฉิงฉือก็เจอมีดตัดกระดาษเล่มนั้นในกองกระดาษเซวียนจื่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไอ้โหยว ทำไมในห้องนี้ถึงมีมีดตัดกระดาษอีกเล่ม!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่หยุด
เฉิงฉือจึงแย้มรอยยิ้มขณะจับนาง ละเลียดจูบนางอย่างร้อนแรงทีหนึ่ง แล้วจึงกดนางนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ กล่าวว่า “รีบฝึกติดกระดาษเร็ว ไม่อย่างนั้นคืนนี้ไม่ต้องกินข้าว!”
ริมฝีปากของโจวเสาจิ่นเปล่งปลั่งสดใส จ้องมองเขาอย่างแง่งอน
ราวกับดอกไม้ที่บรรจงวาดอย่างประณีตและลงสีอย่างสวยงามดอกนั้นพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เฉิงฉือใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หรือว่าที่ลองหยั่งดูท่าทีและทะนุถนอมไว้เช่นนั้น ล้วนเพื่อให้นางผลิบานได้ในชั่วขณะนี้กระมัง
เขาผลิยิ้มน้อยๆ ออกมา