ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 428 ไม่รับฟัง
โจวเสาจิ่นและจี๋อิ๋งต่างเอามือปิดปากหัวเราะ จี๋อิ๋งยิ่งแล้วใหญ่ชอบกลั่นแกล้งจึงทำหน้าเคร่งพลางกล่าวว่า “เจ้าเฝ้าเวรยามภาษาอะไรกัน ข้าคนเป็นๆ ตัวออกจะใหญ่ปานนี้เดินเข้ามาผู้หนึ่งเจ้าก็มองไม่เห็น หากมีครั้งหน้าอีก จะย้ายเจ้าไปกวาดพื้นที่ลานชั้นนอกเสีย!”
สาวใช้เด็กตกใจจนตัวสั่นเทา น้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูรอง บ่าวคอยจ้องมองตาไม่กะพริบอยู่ตลอด แต่ไม่เห็นคุณหนูท่านนี้เดินเข้ามาเลยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นเห็นสาวใช้เด็กคิดเป็นจริงเป็นจัง จึงรีบกล่าวว่า “ผู้นี้คือคุณหนูจี้ นางเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น! นางเดินเข้ามาตอนที่เจ้าไปชงชา ก็เลยคลาดกัน ไม่ต้องกลัว มิใช่เรื่องใหญ่อะไร!”
สาวใช้เด็กได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งใจดั่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป มองโจวเสาจิ่นด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวรับประกันย้ำๆ ว่า “คุณหนูรอง ต่อไปเวลาเฝ้าเวรยามข้าจะเบิกดวงตากว้างไม่กะพริบเลยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหยิบลูกกวาดให้นางกำมือหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับกล่าวปลอบโยนนางหลายประโยค ถึงได้ให้นางถอยออกไป
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างไร้อารมณ์ว่า “ช่างไม่สนุกเอาเสียเลยจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ
บางทีอาจเป็นเพราะจี๋อิ๋งเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์มาโดยตลอดกระมัง
นางคิด ชาติก่อนตนก็ไม่ต่างจากสาวใช้เด็กผู้นี้ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกของพวกนางเป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้เช่นกันนางถึงได้เห็นใจและปฏิบัติต่อสาวใช้และป้ารับใช้ข้างกายด้วยความเอื้ออารี
โจวเสาสจิ่นเดินนำจี๋อิ๋งไปพบหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อได้ยินว่าจี๋อิ๋งเป็นสหายของโจวเสาจิ่น เดินทางจากชังโจวเพื่อมาเยี่ยมโจวเสาจิ่นเป็นพิเศษ แม้นจะประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกนางอายุห่างกัน แต่ก็ยังคงให้การต้อนรับจี๋อิ๋งด้วยความกระตือรือร้นและใส่ใจ และรั้งให้จี๋อิ๋งอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วย
จี๋อิ๋งปฏิเสธอย่างสุภาพ กลับไปที่เรือนหลักพร้อมกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พ่อครัวของพวกข้ามาจากเจียงหนาน ทำอาหารหังโจวได้รสชาติดียิ่งนัก เจ้าเข้ามาถึงเป่าซานแต่กลับกลับไปมือเปล่า หลังจากนี้อย่าได้รู้สึกเสียดายเชียว”
จี๋อิ๋งอาศัยอยู่ที่จินหลิงมานานหลายปี จึงชื่นชอบอาหารเลิศรสของเจียงหนานเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินแล้วก็น้ำลายไหลอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ข้ามาคราวหน้าเจ้าค่อยรั้งให้ข้าอยู่กินข้าวด้วยเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้าต้องตามหาฉินจื่อผิงให้เจอ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องแต่งกับเขาจริงๆ เสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “มิใช่ว่าครอบครัวของพวกเจ้าทั้งสองครอบครัววางของหมั้นกันแล้วหรอกหรือ เจ้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะทำอย่างไร”
จี๋อิ๋งดูฉุนเฉียวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “แต่ข้าก็ไม่อาจแต่งกับเขาไปเฉยๆ เช่นนี้ได้!”
โจวเสาจิ่นกล่าว “หากเจ้ามิได้รังเกียจที่เขาเคยเป็นบ่าวข้างกายของท่านน้าฉือมาก่อน ข้าก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เป็นคนละเอียดเอาใจใส่ อีกทั้งยังรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังเขาเป็นอย่างดี…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงซ่งมู่ขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเจ้าไม่ชอบเขาจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ เนื่องจากเป็นคนที่จะต้องใช้ชีวิตกับเจ้าไปตลอดชีวิต เจ้าลองค่อยๆ พูดกับบิดาของเจ้าและท่านน้าฉือดู ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางบีบบังคับเจ้าอย่างแน่นอน”
“ชอบเขาอย่างนั้นหรือ!” จี๋อิ๋งขมวดคิ้วมุ่น
“ใช่!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักฉินจื่อผิง ถ้าเจ้าเข้ากับเขาไม่ได้จริงๆ หากว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จะต้องเป็นทุกข์มากเป็นแน่…”
จี๋อิ๋งดูยุ่งยากใจเล็กน้อย ลังเลอยู่กว่าครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนของน้าฉือของเจ้า…แน่นอนว่าเป็นคนมีความสามารถมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกไม่ชอบ…”
เป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนทั้งสองคนคงเป็นคู่ปรับกัน ต่อให้คนผู้นั้นดีเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้นางรู้สึกดีด้วยได้
โจวเสาจิ่นยิ้มอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเลย! รู้จักคนรู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าดูอย่างเจียวจื่อหยางผู้นั้น หากมิใช่เพราะเจ้าต้องไปอยู่ซอยจิ่วหรูกะทันหัน เจ้าจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรจริงๆ ได้หรือ เรื่องนี้เจ้าเอาไปคิดให้ถี่ถ้วนก่อนดีกว่า!” จากนั้นกล่าวว่า “อยากให้ข้าไปถามท่านน้าฉือว่าเขาไปไหนหรือไม่”
จี๋อิ๋งพยักหน้าด้วยจิตใจเลื่อนลอย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยไปถามนายท่านสี่ให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นพยายามรั้งนางอีกครั้ง “เจ้าพักอยู่กับข้าที่นี่เถิด! ในบ้านมีเพียงข้า ฮูหยินแล้วก็น้องสาวคนเล็กเท่านั้น”
“ข้าอยากจะลองไปตามหาฉินจื่อผิงดูก่อน” จี๋อิ๋งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลจี้มีร้านค้าอยู่ในจิงเฉิงเช่นกัน ข้าไปพักที่นั่นดีกว่า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน!
โจวเสาจิ่นให้ซางมามาไปส่งจี๋อิ๋งที่ร้านค้าของตระกูลจี้
ทว่าซางมามากลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ให้ข้าติดตามท่านมิให้ห่างแม้เพียงก้าวเดียว ฝีมือของแม่นางจี้นั้นดียิ่ง ข้าว่าไปเรียกคนคุ้มกันจากสำนักคุ้มกันไปส่งนางที่ร้านค้าของตระกูลจี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
จี๋อิ๋งไม่ต้องใช้คนคุ้มกันแม้แต่คนเดียว
ท้ายที่สุดยังคงนั่งเกี้ยวไปยังร้านค้าของตระกูลจี้ตามคำคะยั้นคะยอของโจวเสาจิ่น
ได้มีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ อารมณ์ของนางจึงดีขึ้นมาก
ซางมามาเข้ามากล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องหนังสือ ในเรือนชั้นนอก บอกว่ามีเรื่องต้องการคุยกับท่านเจ้าค่ะ!”
“จริงหรือ!” หัวใจของโจวเสาจิ่นเปี่ยมไปด้วยความลิงโลดยินดี
มิใช่บอกว่าวันนี้มีธุระต้องออกไปข้างนอกหรอกหรือ
นางยกกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ไปยังห้องหนังสือ
เฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวลายน้ำสีม่วงอ่อน บริเวณห้อยตราประทับหยกเอาไว้ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางห้องหนังสือ เห็นนางวิ่งหอบเข้ามาด้วยดวงหน้าแดงปลั่ง คล้ายนกนางแอ่นตัวหนึ่งที่เริงระบำอยู่ในป่าอย่างมีความสุข
รอยยิ้มบนดวงหน้าของเขาจึงยิ่งสุกใสมากขึ้น
ก้าวออกไปกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “วันนี้ทำอะไรบ้าง ได้ตั้งใจกินข้าวดีๆ หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย
เดิมทีวันนี้นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะเย็บชุดฤดูหนาวที่ทำให้ท่านน้าฉือค้างไว้เนิ่นนานตัวนั้นให้เสร็จ ผลปรากฏว่ามัวแต่ชักช้าพิรี้พิไร จนถึงตอนนี้เย็บไปได้เพียงไม่กี่ฝีเข็มเท่านั้น
“ทำงานเย็บปักอยู่ในบ้านเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นงึมงำกล่าว นึกถึงจี๋อิ๋งขึ้นมา รีบกล่าวต่อว่า “ท่านน้าฉือได้เจอจี๋อิ๋งหรือไม่ นางเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ บอกว่าต้องการหาตัวฉินจื่อผิง ท่านทราบหรือไม่เจ้าคะว่าฉินจื่อผิงอยู่ที่ใด”
เขารู้อยู่แล้วว่าตอนที่เขาไม่อยู่ เด็กน้อยไม่แม้แต่จะออกจากประตูบ้าน
เฉิงฉือถูจมูกโด่งงดงามของนางเบาๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉินจื่อผิงออกไปทำธุระให้ข้า อีกสักระยะหนึ่งถึงจะกลับมา ข้าเห็นนางนั่งอยู่ในเกี้ยว จึงไม่ได้กล่าวทักทายนาง”
ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าเป็นโจวเสาจิ่น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านน้าฉือมองจี๋อิ๋งจากไปเฉยๆ!
นี่ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก…
แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาท่านน้าฉือมักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ตัวเองต้องการมาโดยตลอด…โจวเสาจิ่นจึงมิได้กล่าวอะไรให้มากความอีก
เฉิงฉือหยิบห่อกระดาษออกมาจากอกเสื้อห่อหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เห็นว่าเป็นสกุลบัวสายที่ดอกมีขนาดใหญ่เท่าปากชามชนิดหนึ่ง เริ่มปลูกในเวลานี้จะบานในฤดูใบไม้ร่วง กระทั่งบานในฤดูหนาวด้วย เจ้าอยากลองปลูกดูหรือไม่”
“อยากเจ้าค่ะๆๆ” โจวเสาจิ่นดีใจยิ่ง
เฉิงฉือส่งห่อกระดาษให้โจวเสาจิ่น กล่าวเสียงเบาว่า “เดิมทีข้าอยากให้พี่สาวของเจ้ารั้งเจ้าไว้ที่จิงเฉิง ตอนนี้พอดีเลย ท่านแม่ของข้ามาจิงเฉิง ถึงเวลานั้นเจ้าก็อยู่จิงเฉิงเป็นเพื่อนท่านแม่ของข้า ไม่ว่าจะเป็นด้วยน้ำใจหรือเหตุผลก็สมควรทั้งสิ้น!”
“ฮูหยินผู้เฒ่ามาจิงเฉิงหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ยังให้พ่อบ้านใหญ่ฉินช่วยปิดข่าว แม้แต่ข้าก็ปิดเอาไว้ได้ บอกว่าพรุ่งนี้จะย้ายไปอยู่ที่บ้านของข้าที่ประตูเฉาหยาง รั่งเกอเอ๋อร์และพี่สะใภ้รองก็ตามไปด้วยพร้อมกัน ช่วงนี้ข้าอาจจะมีธุระยุ่งมาก คงไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้ารู้สึกเบื่อก็ให้พ่อบ้านเซี่ยงและซางมามาพาเจ้าออกไปเดินเล่น อยากซื้ออะไรก็ซื้อ พ่อบ้านเซี่ยงจะนำใบเสร็จไปให้ข้าเอง อย่าเอาแต่ขังตัวเองทำงานเย็บปักอยู่ในบ้านผู้เดียว ต้องถนอมดวงตาด้วย รู้หรือไม่”
เขาย้ำกำชับอย่างอ่อนโยน ทั้งรอบคอบและเอาใจใส่ หัวใจของโจวเสาจิ่นแทบจะถูกความรักอันแสนหวานท่วมจนมิดอยู่แล้ว
นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นท่านเองก็ต้องเอาใจใส่เรื่องพักผ่อน อย่าปล่อยให้เหนื่อยล้า หากมีเรื่องอะไรที่ข้าช่วยเหลือได้ ท่านก็บอกข้าสักคำ…” กล่าวถึงตรงนี้ นางเอ่ยถามเฉิงฉืออย่างลังเลว่า “ข้าควรจะไปโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งหรือไม่เจ้าคะ”
พอมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับท่านน้าฉือแล้ว เพียงนางนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่มองความคิดของข้าออก เพียงแต่ว่ายังมิใช่เวลาเปิดเผยเรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรกับนางมาก ในเมื่อนางมาแล้ว เจ้าก็ควรจะไปโขกศีรษะให้นางสักครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ไม่ต้องหวาดกลัว นางเองก็มิใช่คนไม่รู้จักหนักเบาประเภทนั้น ยังมิได้แยกตระกูล นางไม่มีทางพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าเพียงไปเยี่ยมเยียนนางกับพี่สาวของเจ้าและฮูหยินเหมือนกับเมื่อก่อนก็พอ ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าพูดอะไรคลุมเครือ เจ้าก็เพียงแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจก็พอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยังมีข้าอยู่”
คนที่เก็บความรู้สึกเก่งอย่างท่านน้าฉือ เหตุใดถึงถูกฮูหยินผู้เฒ่ามองความคิดได้ทะลุปรุโปร่งได้นะ?
ที่เขาดึงเอาเรื่องทุกอย่างไปไว้กับตัวเองเช่นนี้ ก็เพราะไม่อยากให้นางต้องลำบากก็เท่านั้น
ต่อให้ไม่มีความสบการณ์ของชาติก่อน การที่มีบุรุษผู้หนึ่งเอาใจใส่นางมากเช่นนี้ ทั้งยังเป็นคนที่ใจของนางชื่นชอบด้วย แค่นี้ก็ทำให้นางไม่รับรู้ถึงความทุกข์ใจไปตลอดทั้งชีวิตแล้ว ตอนนี้เมื่อมีเรื่องในชาติก่อนให้เปรียบเทียบแล้ว โจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้น
นางกอดเฉิงฉือเอาไว้เป็นครั้งแรก เอ่ยเสียงค่อยว่า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!”
แม้จะเป็นเพียงการจับเสื้อทั้งสองข้างตรงบริเวณเอวของเฉิงฉือเอาไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้น แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นเป็นคนเริ่มก่อน
เฉิงฉือลิงโลดด้วยความปีติยินดี
แต่เขาไม่กล้าวู่วามรีบร้อน
เสาจิ่นก็คล้ายกับลูกกระต่ายที่ขลาดกลัวและขี้อายตัวหนึ่ง จำต้องค่อยๆ เข้าหาอย่างช้าๆ
เขาต้องฝืนเอาไว้ถึงได้ควบคุมความคิดต่างๆ นานาที่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกในใจตัวเองได้ ทำเพียงลูบศีรษะของนางเบาๆ อย่างรักใคร่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน!”
โจวเสาจิ่นไปส่งเฉิงฉือที่ประตูอย่างแสนอาลัยอาวรณ์ หลังจากกลับถึงเรือนชั้นในแล้วก็รีบไปพบหลี่ซื่อในทันที เล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาจิงเฉิงให้หลี่ซื่อฟัง
หลี่ซื่อทั้งประหลาดใจทั้งยินดี ด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “พวกเราควรจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อไรกันดี ควรจะไปตัดชุดใหม่ที่ร้านตัดชุดใกล้กับประตูซีจื๋อสักสองสามชุดหรือไม่” อีกด้านหนึ่งก็ลุกขึ้นจัดปิ่นปักผมอย่างกระวนกระวายไปด้วย คล้ายกับว่าประเดี๋ยวจะต้องไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็ไม่ปาน “ข้าคิดว่าควรจะต้องทำเครื่องประดับอีกสักสองสามชิ้นด้วย” จากนั้นก็นึกถึงพี่ชายของตัวเองขึ้นมา สั่งการสาวใช้อย่างร้อนรนว่า “รีบไปแจ้งเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาจิงเฉิงให้พี่ชายข้าทราบ ให้เขาอย่าเพิ่งรีบร้อนออกเดินทาง อย่างไรก็ต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งหนึ่งก่อน” กล่าวจบ ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม จึงถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าว่าพี่ชายของข้าควรจะตามพวกเราไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสักครั้งหนึ่งหรือว่าควรจะหาโอกาสอื่นแล้วค่อยไปอีกครั้งดี”
โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่านางจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากถึงเพียงนี้ ก็เลยระมัดระวังตามขึ้นมาด้วยเล็กน้อย กล่าวว่า “หรือว่ารอข้าไปถามท่านพี่แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่ซื่อพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ข้าจะให้ป้ารับใช้ไปส่งข่าวให้ต้ากูไหน่ไนเดี๋ยวนี้”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เมื่อกลับมาถึงเรือนหลักแล้วก็สั่งให้จี๋เสียงและหรูอี้ทั้งสองคนไปหยิบโถใส่น้ำขนาดเล็กมาหนึ่งโถ ใช้มีดตัดกระดาษปอกเปลือกเม็ดบัว
จี๋เสียงถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “คุณหนูรอง นี่ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เม็ดบัวนั้นต้องทำเช่นนี้ถึงจะงอกต้นอ่อนได้”
จี๋เสียงพาดตัวอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นไม่ยอมจากไป ถามขึ้นว่า “คุณหนูรอง นี่จะออกดอกได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ได้!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างแน่วแน่และมั่นใจ “แต่ว่า ถ้าข้าทำให้เม็ดบัวนี้ช้ำ มันก็อาจจะงอกต้นอ่อนออกมาไม่ได้แล้ว”
จี๋เสียงหายใจเบาอย่างระแวดระวังขึ้นมา
โจวเสาจิ่นถามนางยิ้มๆ ว่า “ชอบต้นไม้ดอกไม้หรือ”
จี๋เสียงพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี ต่อไปเจ้าก็ช่วยดูแลต้นไม้ดอกไม้ให้ข้าก็แล้วกัน”
จี๋เสียงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
สาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง ต้ากูไหน่ไนส่งคนมาแจ้งว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมท่านและฮูหยินแต่เช้าตรู่เจ้าค่ะ”
………………………………………………………………