ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 432 ไม่จากไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองโจวเสาจิ่นที่ดวงตาแดงก่ำ งดงามอ่อนหวานดุจดอกไม้กำลังมองขึ้นมาหาตนจากปลายเท้านั่นแล้วกลับหัวเราะอย่างดูแคลนครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยขึ้นว่า “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามเจ้าสี่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง กล่าวขึ้นว่า “ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดสนับสนุนข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากข้าไม่สนับสนุนเจ้าเล่า!”
โจวเสาจิ่นไม่กล่าวคำใด
ยังคงก้มศีรษะดังเดิม ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้นดินเหนียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ”
“มิได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนโยน ยังเจือไว้ด้วยความอ่อนหวานหยดย้อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนาง กล่าวขึ้นว่า “เป็นท่านที่ให้ข้าไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน และเป็นท่านที่พาข้าไปสักการะพระพุทธองค์ที่วัดผู่ถัว ท่านยังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหลายให้ข้าฟัง สอนข้าเรื่องหลักของการเป็นคน ที่ท่านไม่ยอมสนับสนุนข้า อาจเป็นเพราะข้ายังไม่ดีพอ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านน้าฉือเสียใจนั้นมีมากกว่า…เนื่องจากเพื่อข้าเขาถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้ ด้านหน้าเป็นภูเขามีดและทะเลเพลิง ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตกลงไปคนเดียวได้ ท่านเป็นคนที่ท่านน้าฉือให้ความเคารพรักที่สุด หากมิใช่เพราะท่านอยู่จินหลิง ท่านน้าฉือก็คงไม่อยู่จินหลิงนาน! ท่านมีความสุข ท่านน้าฉือถึงจะมีความสุข หากท่านไม่มีความสุข ท่านน้าฉือก็ไม่อาจมีความสุขได้…
…ท่านช่วยสนับสนุนพวกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!…
…ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนอ่อนแอ มีหลายเรื่องที่ยังทำได้ไม่ดี แม้แต่เรื่องดูแลเรือนก็อาจจะทำไม่ได้ แต่ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ ให้เป็นคนที่ดีพอและเหมาะสมกับท่านน้าฉือให้ได้…
…ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!” นางดึงชายกระโปรงของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางเงียบๆ แววตาเย็นชาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นมิได้ถอยหนีหรือหลบสายตา
นางกลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างมากมาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้ นางเผชิญหน้ากับสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองสำรวจนาง
ถึงแม้จะรู้สึกว่าสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเสมือนกับกระจกบานหนึ่ง ทำให้ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องเปิดเผยทุกสิ่งออกมา ไม่มีที่ให้หลบซ่อนก็ตาม นางก็ยังคงไม่หลบเลี่ยงเช่นเดิม
นางถึงกับคิดว่า ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจของนางได้จะดีเพียงไร เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะได้รู้ว่าตนมีความรู้สึกต่อท่านน้าฉือลึกซึ้งมากเพียงใดแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น จะดีร้ายเจ้าก็เคยอยู่ข้างกายข้ามาสองถึงสามปี ต่อให้เป็นเพียงการเลี้ยงลูกแมวลูกสุนัขก็ยังมีความรู้สึกผูกพันเลย นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่อ่อนหวาน เอาใจใส่ และอ่อนโยนเช่นเจ้ากันเล่า เพียงแต่ว่าบุรุษและสตรีนั้นไม่เหมือนกัน สตรีนั้นโดยมากล้วนอยู่แต่ในครัว ให้กำเนิดบุตรชายหญิง สนับสนุนสามีและให้การอบรมสั่งสอนบุตร แต่ตลอดทั้งชีวิตล้วนไม่ออกจากประตูใหญ่ไม่ก้าวข้ามประตูรอง ทว่าบุรุษนั้นกลับไม่เหมือนกัน พวกเขาต้องเลี้ยงดูครอบครัว ต้องคบค้าสมาคมกับสหาย ต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ชื่อเสียง อำนาจ เงินทอง ล้วนมิอาจขาดได้แม้แต่อย่างเดียว เรือนชั้นในก็เป็นเพียงสถานที่ที่เขาจะไปในยามว่างเท่านั้น แต่เพื่อเจ้าแล้วแม้แต่ชื่อเสียงเจ้าสี่ก็ไม่ต้องการ พวกเจ้านั้นตอนที่ต่างยังรักกันอย่างเหนียวแน่นก็ย่อมดีอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่เมื่อเวลาล่วงเลยเนิ่นนานไป ถ้าหากเขาเกิดรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร ถ้าหากเขาเอาความโกรธมาระบายลงที่เจ้าจะทำอย่างไร ถ้าหากเขาไปมีคนรักใหม่เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่”
“ข้าเคยคิดแล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบเสียงขรึม
นางไม่เพียงเคยคิดมาก่อนเท่านั้น ยังเคยสงสัยมาก่อนด้วยว่าเฉิงฉือเพียงชอบนางที่หน้าตา ฉะนั้นเมื่อก่อนนางจึงไม่กล้าก้าวออกจากขอบเขตที่กำหนดเอาไว้แม้แต่ก้าวเดียว
แต่เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้เพียงว่าตอนนี้เวลานี้ ท่านน้าฉือจริงใจกับข้า ต่อให้วันข้างหน้าเขารู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา แต่เวลานี้ก็ยังคงเป็นเรื่องจริง ท่านไม่รู้หรอกว่าการจะหาคนที่จริงใจสักคนหนึ่งบนโลกใบนี้ได้นั้นยากเย็นเพียงใด…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วหรี่ดวงตาลง กล่าวเสียงเคร่งว่า “กล่าวเช่นนี้แสดงว่า ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไร เจ้าก็ยังตัดสินใจจะติดตามเจ้าสี่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ขอเพียงท่านน้าฉือไม่ปล่อยมือ ข้าก็จะไม่ปล่อยมือเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองนางเงียบๆ สีหน้าดูอ่านยากเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระวนกระวายใจ หมอบกายลงไปอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสะบัดชายเสื้อเดินจากไป มีเสียงเยียบเย็นดังขึ้นมาจากเฉลียงทางเดินที่พ้นจากแสงแดดจ้าว่า “เสาจิ่น ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะจดจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าไปตลอดชีวิต”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหมุนกายเดินผ่านไปหลายเลี้ยวแล้ว
ชายเสื้อสีครามถูกลมพัดให้โบยบินขึ้นมา ลายเมฆมงคลสีเงินสะท้อนแสงระยิบระยับงดงาม
นี่ฮูหยินผู้เฒ่า…ตอบตกลงแล้ว หรือว่ายังไม่ตกลงกันแน่นะ?
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับลอบถอนหายใจยาวอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
ตอนอายุยังน้อยมักจะรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรทำให้คนหวาดกลัวได้ พออายุค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นถึงได้รู้ว่า มีเรื่องมากมายบนโลกใบนี้ที่อยู่เหนือการควบคุม
ได้ใช้ชีวิตตามใจชอบสักครั้งหนึ่งเช่นนี้ ก็คุ้มค่ากับการเดินทางมายังโลกใบนี้สักครั้งหนึ่งแล้ว!
แต่การทำตามใจนั้น ก็มีราคาที่ต้องจ่าย!
นางอายุมากแล้ว ยุ่งเรื่องพวกนี้มากไม่ไหวแล้ว ตามใจพวกเขาก็แล้วกัน!
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว แขกเหรื่อในบ้านทยอยกันกลับไป มีเพียงเฉิงเซิงที่ยืนกรานจะรั้งอยู่ด้วย คล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้กล่าวยิ้มๆ อย่างออดอ้อนว่า “ข้าบอกแม่สามีและสามีของข้าเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าสักสองสามวัน ท่านย่าห้ามไล่ข้ากลับเด็ดขาด คืนนี้ข้าจะนอนกับท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ดีเลย! ขอเพียงเจ้าไม่กลัวว่าแม่สามีของเจ้าจะตำหนิ ข้ามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยคนหนึ่ง ย่อมต้องยินดีอยู่แล้ว!”
“แม่สามีของข้าเป็นคนดียิ่งเจ้าค่ะ!” เฉิงเซิงออดอ้อน “พอรู้ว่าข้ากลับมาเยี่ยมท่าน เดิมทีแล้วอยากจะมาพร้อมกับข้าด้วย ต่อมาเมื่อได้รับเทียบของพี่ใหญ่ เห็นว่าพี่ใหญ่และพี่รองต่างมาเพียงคนเดียว ก็เลยไม่ตามข้ามาด้วย ยังบอกด้วยว่า พวกข้าพี่สาวน้องสาวจะได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวกันและได้สร้างความสำราญให้ท่านดีๆ สักครั้ง อีกสองสามวันนางค่อยมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อรู้ว่าแม่สามีของเจ้าดี ก็ยิ่งต้องกตัญญูต่อนางให้มากถึงจะถูก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตีมือของนางอย่างเอาใจ พลางกล่าว “อย่าเอาแต่คิดจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกทั้งวัน อยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่สามีของเจ้าให้มาก หัวใจของคนเราล้วนเจริญขึ้นมาจากก้อนเนื้อ เจ้าดีต่อนาง นางถึงจะดีต่อเจ้า…”
เสียงอบรมสั่งสอนนั่นค่อยๆ เลือนหายไปจากการได้ยิน โจวเสาจิ่นใจลอย
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไม่สนใจนาง
บางทีอาจเป็นเพราะไร้ทางเลือกถึงได้ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งและยอมรับเสีย
นางคงได้แต่ต้องกตัญญูต่อนางให้มากในภายภาคหน้าเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเองมิใช่หรือว่าหัวใจของคนเราล้วนเจริญขึ้นมาจากก้อนเนื้อ
นึกถึงตรงนี้แล้ว โจวเสาจิ่นก็เม้มปากยิ้มออกมา
โจวชูจิ่นที่เดินอยู่เคียงข้างกับนางรู้สึกแปลกใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่าเจ้าชอบอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวมากหรอกหรือ เหตุใดวันนี้นอกจากจะไม่พูดไม่จามาโดยตลอดแล้ว ตอนใกล้จะกลับกลับมีอาการดีใจราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปเช่นนี้อีก เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“จะมีเรื่องอะไรได้เจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เพียงรู้สึกว่าพี่สาวเซิงแต่งงานแล้วทว่ายังร้องจะนอนกับฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนเป็นเด็กผู้หนึ่งอยู่เลยก็เท่านั้น…”
พวกนางสองพี่น้องล้วนไม่มีวาสนาให้ได้ทำตัวเป็นเด็กออดอ้อนผู้ใดเช่นนี้
โจวชูจิ่นโอบไหล่น้องสาวเอาไว้เบาๆ กระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราทำตัวเป็นเด็กออดอ้อนผู้ใดไม่ได้ แต่ลูกๆ ของพวกเราทำได้ก็พอ”
ลูกอย่างนั้นหรือ
เด็กตัวเล็กๆ ที่เหมือนกับท่านน้าฉือย่อส่วนเช่นนั้นผู้หนึ่งน่ะหรือ
เพียงแค่คิด ไอร้อนก็พุ่งขึ้นหน้าของโจวเสาจิ่นแล้ว
โชคดีที่ท้องฟ้ามืดแล้ว โจวชูจิ่นจึงมิได้สังเกตเห็น
โจวเสาจิ่นกลับมาถึงซอยอวี๋เฉียนแล้ว รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองยังคงร้อนผ่าวอยู่
ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นหลังจากจุดตะเกียงไฟแล้วก็ไล่ให้เฉิงเซิงไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองกลับนั่งค้นเครื่องประดับในหีบสมบัติของตัวเองอยู่ใต้ตะเกียงไฟ
อัญมณีแต่ละชิ้นล้วนไม่เลวเลย แต่ถ้ามิใช่แกะสลักอักษรความสุขคู่ก็สลักลายน้ำเต้าหรือไม่ก็ลายคนโท ล้วนเป็นของที่คนมีอายุใช้กันทั้งสิ้น ไม่เหมาะสมสำหรับมอบให้ผู้อื่นสักเท่าไรนัก พรุ่งนี้ลองไปดูร้านขายเครื่องประดับว่าจะมีเครื่องประดับที่ดีสักหน่อยหรือไม่ดีกว่า อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ก็เทียบมิได้กับเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้เป็นของที่ขายอยู่ในร้านขายเครื่องประดับก็ไม่ได้ดีเท่าของเมื่อก่อนแล้ว อยากจะหาซื้อของดีๆ สักสองชิ้น ยังต้องขึ้นอยู่กับโชคด้วย
นางตะโกนเรียกให้หลี่ว์มามาเข้ามาหา กล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงไปที่ซอยซิ่งหลินตั้งแต่เช้าตรู่ ไปขนหีบที่บรรจุของมีค่ามาให้หมด ข้าจะดูว่ามีเครื่องประดับดีๆ บ้างหรือไม่”
หากใช้การไม่ได้ค่อยไปสั่งทำใหม่
หลี่ว์มามาขานรับคำยิ้มๆ
มีสาวใช้เด็กเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า พ่อบ้านใหญ่ฉินมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ดึกป่านนี้แล้ว เขามาทำอะไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ยังคงเปลี่ยนอาภรณ์และหวีผมใหม่แล้วออกไปต้อนรับแขก
พ่อบ้านใหญ่ฉินส่งสัญญาณให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไล่บ่าวไพร่ในห้องออกไป จากนั้นก็ก้าวสองสามก้าวจนถึงเบื้องหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันที เอ่ยถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพบคุณหนูรองแล้วเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองดวงตาเป็นประกายประหนึ่งเด็กของเขาแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าดึกดื่นขนาดนี้ก็เพื่อเรื่องนี้น่ะหรือ”
พ่อบ้านใหญ่ฉินหัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด! หากว่าท่านไม่พึงใจคุณหนูรอง ทำให้คุณหนูรองตกใจกลัวจนเดินจากไป เรื่องของนายท่านสี่ก็คงต้องล่าช้าไปอีกหลายปีมากกว่านี้ ข้าเองก็ล่วงเลยวัยหกสิบปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี เพียงแค่นึกถึงคำสั่งเสียของบิดาข้าก่อนที่จะจากไปขึ้นมา หัวใจดวงนี้ของข้าก็รู้สึกไม่ดีแล้ว คิดอยู่เสมอว่าต้องได้เห็นนายท่านสี่ให้กำเนิดคุณชายตัวน้อยๆ ก่อน หัวใจดวงนี้ถึงจะวางลงได้ แต่ละวันที่เขายังไม่แต่งงาน แต่ละวันที่ยังไม่ได้เป็นพ่อคน ล้วนเป็นความเจ็บปวดใจของข้าในทุกๆ วัน ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร นอกจากนี้อีกไม่กี่วันข้าก็จะต้องเกษียณอายุแล้ว ได้ช่วยจัดการเรื่องแต่งงานให้นายท่านสี่ก่อนเกษียณอายุได้ ชีวิตนี้ของข้าก็ถือว่าได้ทำงานจนครบสมบูรณ์แล้ว จะไม่เป็นกังวลได้อย่างไรขอรับ!”
จวนหลักและจวนรองต้องการแยกตระกูล หลังจากแยกตระกูลแล้วนายท่านสี่ฉือตัดสินใจจะล้างพรรคเจ็ดดาราให้ขาวสะอาดอย่างช้าๆ ทำให้เป็นสำนักคุ้มกันหรือไม่ก็ร้านตั๋วแลกเงินสักแห่ง คนของตระกูลฉินช่วยเหลือตระกูลเฉิงมายาวนานขนาดนี้แล้ว ก็ควรจะปรับปรุงหอบรรพชนของตัวเองใหม่ กำหนดกฎเกณฑ์ของตระกูล ซื้อที่สำหรับสร้างที่กราบไหว้สักการะบรรพชนขึ้นมาถึงจะถูก
ตระกูลฉินยังมีญาติพี่น้องที่ตามกลับมาได้หลังผ่านศึกสงครามแล้วเหลืออยู่ที่บ้านเดิมอยู่ พ่อบ้านใหญ่ฉินเองก็หวังว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นี้จะได้กลับไปเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง หลังจากปรึกษาหารือกับหลานชายหลายคนแล้ว นอกจากสายของเขาแล้ว คนรุ่นหลังจากอีกสองสายของตระกูลกลับไม่อยากไปจากตระกูลเฉิง ยินดีจะมีชีวิตอยู่กับตระกูลเฉิงเช่นนี้ดังเดิม
พ่อบ้านใหญ่ฉินกำลังเป็นกังวลอยู่พอดีว่าเมื่อคนของตระกูลฉินจากไปแล้วจะไม่มีคนช่วยปกป้องดูแลตระกูลเฉิง เมื่อคิดทบทวนแล้วจึงตอบตกลงในทันที
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลานชายและเหลนชายของพ่อบ้านใหญ่ฉินเริ่มแสดงฝีมือและความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ในตระกูลเฉิง เริ่มรับตำแหน่งเป็นพ่อบ้านของตระกูลเฉิง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องหาคำพูดมาหยุดยั้งข้า วันนี้ข้าลองหยั่งเชิงเด็กผู้นั้นดูแล้ว นับได้ว่านางยังมีสติรู้สำนึกอยู่ รู้ว่าเจ้าสี่ทำอะไรเพื่อนางบ้าง” นางเล่าเรื่องทั้งหมดที่ทั้งสองพูดคุยกันให้พ่อบ้านใหญ่ฉินฟัง พอพูดไปเรื่อยๆ น้ำเสียงของนางก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้นมา กล่าวทอดถอนใจว่า “ข้าดูท่าทางว่าง่ายของนางในยามปกติแล้ว คิดว่ากล่าวเพียงสองสามคำก็คงจะทำให้นางร้องไห้แล้ว ไม่คิดว่านางจะพูดออกมาว่าขอเพียงเจ้าสี่ไม่ปล่อยมือ นางก็จะไม่ปล่อยมือ…ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก ต่อให้ไม่เห็นด้วยก็คงได้แต่ต้องเห็นด้วยแล้ว”
พ่อบ้านใหญ่ฉินได้แต่หัวเราะ พลางกล่าว “ข้าดูท่านแล้วนี่คงทั้งกลัวว่าคุณหนูรองจะไม่ปล่อยมือแล้วทำให้นายท่านสี่เหนื่อยไปด้วย แล้วก็ทั้งกลัวว่าคุณหนูรองจะถูกท่านทำให้หวาดกลัวจนสะบั้นความสัมพันธ์กับนายท่านสี่ไปด้วย…”
ทำไมฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่รู้
แต่ใจของนางรู้สึกขัดแย้งกันเหลือเกิน ไม่รู้ว่าแบบไหนถึงจะดี
พ่อบ้านใหญ่ฉินย่อมไม่อาจบีบบังคับให้นางยอมรับในเวลานี้ได้ จึงกล่าวย้ำเตือนนางว่า “ตอนที่นายท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่นั้นเคยกล่าวเอาไว้ว่า เรื่องราวภายใต้โลกหล้านี้ล้วนขึ้นอยู่กับคนทั้งสิ้น ท่านเอาแต่เป็นกังวลว่าหากนายท่านสี่แบกรับชื่อเสียงนี้ไว้จะเป็นการทำลายอนาคตของเขา แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า คู่ครองขึ้นอยู่กับบิดามารดาและพ่อสื่อแม่สื่อ หากคุณหนูรองเป็นคนที่ท่านถูกใจเลือกมาด้วยตัวเอง ผู้อื่นยังจะว่าอะไรได้!”