ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 434 ตัดขาด
เนื่องจากท่านลุงใหญ่ตระกูลหลี่เป็นคนเล่าให้หลี่ซื่อฟัง คาดว่าคงเป็นเพราะเขาอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับซอยจิ่วหรูกันแน่
พ่อค้ามักคำนึงถึงผลกำไร
โจวเสาจิ่นอดที่จะระแวดระวังตัวอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินท่านน้าฉือพูดถึงเหมือนกัน ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลแล้วไม่ดีหรือเจ้าคะ อย่างไรเสียก็แยกจวนกันมาตั้งนานแล้ว ก็เพียงอาศัยอยู่รวมกันก็เท่านั้น ตอนนี้ท่านลุงและท่านน้าทั้งสามคนล้วนอยู่จิงเฉิง ทั้งยังมีบุตรชายบุตรสาวหรือแม้กระทั่งมีเหลนกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านลุงใหญ่จิงทางด้านโน้น ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมแล้ว ทว่าภายในจวนกลับไม่มีคนคอยดูแลเรื่องภายในเรือนเลยแม้แต่คนเดียว แต่ถ้าหากว่าฮูหยินหยวนมาอยู่จิงเฉิง ก็จำต้องทิ้งฮูหยินผู้เฒ่าไว้ที่จินหลิงอย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวหรือไม่ก็ต้องให้พี่ชายสวี่สองสามีภรรยาอยู่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่าที่บ้านเดิม แต่พี่ชายสวี่ก็หวังจะได้รับการแต่งตั้งยศในการสอบครั้งถัดไป สองปีนี้จึงเป็นเวลาที่ต้องเร่งรัดพอดี ข้าคิดว่า พวกฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องไตร่ตรองและพิจารณามาพอสมควรแล้วถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้”
สีหน้าของหลี่ซื่อสงบลงเล็กน้อย พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด เอ่ยขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าจวนหลักนั้นมีสามบุตรชายสามจิ้นซื่อ หนึ่งในนั้นยังเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักอีกด้วย ทว่าจวนรองนั้นไม่มีจิ้นซื่อสักคนมาหลายรุ่นแล้ว เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองครอบครัวแล้ว การแยกตระกูลไม่เป็นผลดีต่อจวนรองมากกว่า และทุกคนต่างก็ชอบเห็นใจคนที่อ่อนแอกว่า ฉะนั้นถึงมีคำกล่าวที่ว่าทุกบ้านต่างมีคัมภีร์ที่อ่านยากเป็นของตัวเอง แม้แต่ครอบครัวที่ดีอย่างจวนหลักเช่นนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น พี่ชายของข้าเพียงเป็นกังวลว่าหากจวนหลักจัดการเรื่องนี้ไม่ดีอาจถูกผู้อื่นหยิบมาเป็นปัญหาไปฟ้องร้องทางการให้มาตรวจสอบได้”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่อให้มีคนคิดจะฟ้องร้อง ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ท่านลุงและท่านน้าทั้งหลายล้วนเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลกันทั้งนั้น พวกเรายังคิดได้ พวกเขาก็ต้องคิดได้อย่างแน่นอน”
หลี่ซื่อคิดๆ ดูแล้วก็เห็นเป็นจริงดังนั้น รู้สึกกระดากอายต่อความวู่วามของตนเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง ยังคงเป็นเจ้ามีปัญญาเห็นแจ้ง!”
ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนกล่าวเช่นนี้กับนางมาก่อน!
โจวเสาจิ่นขัดเขิน
หลี่ซื่อคุยกับโจวเสาจิ่นอีกสองสามประโยคแล้วขอตัวลา
โจวเสาจิ่นเดินไปส่งนางที่ประตู แล้วกลับไปเอนตัวอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างภายในห้อง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
ไม่รู้ว่ามีเรื่องที่นางพอจะช่วยได้บ้างหรือไม่
ยังมีจวนสี่อีก ก่อนหน้านี้นางให้คนนำจดหมายไปส่งให้ ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเอาแต่บอกว่าให้นางไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีผู้ใหญ่คอยออกหน้าอยู่ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรมาอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
นางไปห้องหนังสือ ฝนหมึกพร้อมกับครุ่นคิดว่าจะเขียนจดหมายฉบับนี้อย่างไรดี
ทางด้านของหลี่ซื่อนั้นเมื่อออกมาจากเรือนหลักแล้วก็มีสาวใช้เด็กมาขวางเอาไว้ กล่าวว่า “ฮูหยิน นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ยังรอท่านอยู่ในห้องรับรองแขก บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับท่านเจ้าค่ะ”
บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เฉิงฉือพักอยู่ในห้องหนังสือ โจวเสาจิ่นจึงลอบบอกเป็นนัยให้คนในบ้านรู้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจว่า วันใดวันหนึ่งเฉิงฉืออาจจะมาพักที่ห้องหนังสืออีกก็เป็นได้ หลี่ซื่อจึงจัดแต่งห้องรับรองแขกขึ้นมาใหม่อีกห้องหนึ่งให้พี่ชายของนางได้พักผ่อน
นางได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงไปที่ห้องรับรองแขก
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่กำลังยืนมองภาพเสือลงหุบเขาที่แขวนอยู่ในห้องภาพนั้นอย่างละเอียดด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปมมุ่น เมื่อเห็นน้องสาวเข้ามา คิ้วที่ขมวดมุ่นนั้นยิ่งย่นเข้าหากันแน่นขึ้น เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรองว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่ซื่อบอกเล่าถ้อยคำของโจวเสาจิ่นให้นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ฟัง
สีหน้าของนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่กลับมิได้ดูดีขึ้น กล่าวเสียงเคร่งว่า “เรื่องที่ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันนั้น คนของตระกูลเฉิงต่างมีแผนการของตัวเอง ข้ามิได้เป็นห่วงข้อนี้ ที่ข้าเป็นห่วงคือการค้าของข้า…ไม่ว่าเมื่อก่อนตระกูลเฉิงจะแยกจวนกันหรือไม่ แต่เมื่อออกมาข้างนอกล้วนถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้ากูไหน่ไนเป็นหลานสาวของจวนสี่ ทว่าคุณหนูรองกลับมิใช่หลานสาวแท้ๆ แต่คนที่มีความสัมพันธ์ดีกับเจ้ากลับเป็นคุณหนูรอง ทางด้านของต้ากูไหน่ไนนั้น กลับติดต่อด้วยไม่ง่ายเลย…ไม่รู้ว่าต่อไปตระกูลเฉิงยังจะสนิทสนมกับคุณหนูรองเหมือนก่อนหน้านี้อยู่หรือไม่”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่ท่านกังวลใจจนฟุ้งซ่านไปแล้วจริงๆ! แยกตระกูลเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ เรื่องที่ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันนั้นพวกเราเพิ่งจะรู้ข่าวกันตอนนี้ก็จริง แต่ไม่แน่ว่าผู้อื่นเขาอาจจะมีเรื่องกันมาหลายปีแล้วก็เป็นได้ ท่านดูที่จวนหลักปฏิบัติต่อเสาจิ่น แม้แต่บ้านที่ดีขนาดนี้พอบอกว่าจะยกให้ก็ยกให้จริงๆ ท่านยังไม่ได้เห็นที่ประตูเฉาหยางว่าดีต่อคุณหนูรองอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะมีของกินของใช้ของเล่นอะไร ก็ต้องมีส่วนแบ่งของซอยอวี๋เฉียนด้วยหนึ่งส่วน แม้แต่พ่อบ้าน สาวใช้ ป้ารับใช้ในบ้านก็มาจากบ้านที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้น บ้านหลังนี้ก็เหมือนกับเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของตระกูลเฉิง”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่หลุดหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็ร้อนใจจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ทางด้านสำนักอาหารและเครื่องดื่มได้ส่งใบรายการมาให้พวกเราแล้วหนึ่งใบ จะขนสินค้าขึ้นเรือภายในสองวันนี้แล้ว ข้าก็เลยกลัวว่าหากมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วทางสำนักอาหารและเครื่องดื่มจะไม่รับผิดชอบ เนื่องจากข้าและพวกเขาเพิ่งจะเคยติดต่อค้าขายกัน หากไม่มีตระกูลเฉิงช่วยพูดให้ การค้านี้ของข้าคงไม่มั่นคงเป็นแน่แล้ว!”
หลี่ซื่อปลอบโยนพี่ชายว่า “ข้าเองก็ทราบดี ทำการค้ากับหลวงและทำการค้าทั่วๆ ไปนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องดึงดัน การได้มีชีวิตที่สงบสุขและปลอดภัยนั้นสำคัญที่สุด”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่พยักหน้า
แต่หลี่ซื่อคิดไม่ถึงว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโจวเสาจิ่นจะได้รับจดหมายของโจวเจิ้นที่เร่งส่งมาจากเป่าติ้งกว่าหกร้อยหลี่ เนื้อความในจดหมายถามนางถึงเรื่องการแยกตระกูลของตระกูลเฉิงด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
โจวเสาจิ่นถึงได้สัมผัสได้ถึงผลกระทบของการแยกตระกูลของตระกูลเฉิงขึ้นมาจริงๆ
นางเลือกบางส่วนที่พูดได้เล่าให้บิดาฟัง
ไม่นาน เรื่องของตระกูลเฉิงก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ขุนนางจากเจียงหนาน
จึงมีแขกมาเยี่ยมเยียนที่ซอยซิ่งหลินทุกวัน
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกดีใจอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินรองเว่ยต่างย้ายไปอยู่บ้านทางด้านประตูเฉาหยางกันหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงถูกผู้อื่นมาสืบความเรื่องแยกตระกูลทุกวัน เกรงว่าคงไม่มีเวลาได้อยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่
เฉิงฉือมาหาอย่างกะทันหัน และพักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน
หลี่ซื่อทราบข่าวแล้วก็รีบให้คนไปซื้อผลไม้สดใหม่มีราคาแพงจำนวนมากจากตลาดมาให้การรับรองเฉิงฉือ ทั้งยังกำชับหลี่มามาและคนอื่นๆ ว่าให้ดูแลเขาให้ดี กล่าวว่า “เกรงว่าเรื่องที่บ้านคงทำให้จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุข จึงมาสงบสติอารมณ์ที่นี่ ให้บ่าวไพร่ที่ดูแลเรือนชั้นนอกระวังปากให้ดี อย่าได้พูดเลื่อนเปื้อนไปทั่ว”
หลายวันก่อนนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่สืบได้ความมาว่าการแยกตระกูลของซอยจิ่วหรูในครั้งนี้นั้น จวนหลักรักษาสุสานและระเบียนประวัติของตระกูลเอาไว้ได้ทว่ากลับต้องนำเงินออกมาจ่ายเป็นค่าชดเชยให้จวนรองเป็นจำนวนมาก ตอนนี้จึงสูญทรัพย์สินและกำลังวังชาไปไม่น้อย
หลี่ซื่อนึกถึงภาพทิวทัศน์อันวิจิตรงดงามเมื่อครั้งไปเป็นแขกที่ซอยจิ่วหรูเหล่านั้นขึ้นมา พลางถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
สุดท้ายตระกูลนี้ก็ต้องแบ่งแยกกันแล้ว!
เกรงว่าต่อไปคงยากที่จะได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของซอยจิ่วหรูอีกแล้ว
เนื่องจากโจวเสาจิ่นเติบโตอยู่ที่ตระกูลเฉิง ทุกคนต่างปฏิบัติต่อนางเสมือนเป็นหญิงสาวจากตระกูลเฉิง อีกทั้งพี่สาวยังแต่งงานไปเป็นหลานสะใภ้คนโตของตระกูลใหญ่มีชื่อของเจียงหนานอย่างตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้เรื่องมากกว่าหลี่ซื่อและนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่อยู่บ้างเล็กน้อย
จะว่าไปแล้วหยวนซื่อก็เป็นคนที่เก่งกาจมากผู้หนึ่งเช่นกัน
ทันทีที่ได้รับคำชี้แนะจากนายท่านใหญ่ตระกูลหยวนและจากผู้ช่วยเหลือข้างกาย นางก็เข้าใจเรื่องราวได้ในทันที
ก่อนหน้านี้จวนหลักและจวนรองก็แยกบ้านกันอยู่แล้ว แม้นมิได้ไปทำการแจ้งเรื่องกับทางการ ทว่าก็ได้ทำหนังสือสัญญากันแล้ว นอกจากนี้เนื่องด้วยเป็นตระกูลลำดับต้นๆ ของจินหลิง คนที่มาเป็นพยานให้ในวันลงนามในสัญญานั้นจึงมีทั้งนายท่านใหญ่จากตระกูลภรรยาของหลายๆ จวนและมีท่านเจ้าเมืองผู้ดำรงตำแหน่งเป็นพ่อเมืองของจินหลิงด้วย เพื่อดำรงตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันโดยทั่วไปแล้วจึงมิได้ระบุในสัญญาว่าจะต้องคืนระเบียนประวัติของตระกูลให้ผู้ใดเป็นผู้ครอบครอง แต่ในส่วนของสุสานของตระกูลนั้นระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้คืนให้จวนหลักเป็นผู้ครอบครอง จวนรองไม่ยอมคืนระเบียนประวัติของตระกูลก็ย่อมได้ ตอนนี้จวนหลักยังไม่ได้แยกออกไป หยวนซื่อยังเป็นภรรยาเอกของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูอยู่ เป็นคนรับผิดชอบเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในวันกราบไหว้บรรพชนของตระกูล ซึ่งเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเป็นช่วงเวลาที่ต้องกราบไหว้บรรพชนที่ล่วงลับไปก่อนพอดี หยวนซื่อให้คนเฝ้าหอบรรพชนเอาไว้ ตอนที่จวนรองเข้าไปกราบไหว้ในหอบรรพชนนั้นนอกจากจะโวยวายครั้งหนึ่งแล้ว ยังหาคนมาหารือเพื่อขายสุสานของตระกูลเฉิง แล้วย้ายหลุมศพของจื้อกงกับนายท่านผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ไปที่จิงเฉิงเสีย
เฉิงซวี่เดือดดาลทว่าก็ทำอะไรไม่ได้
เขาคงไม่อาจไปต่อสู้คดีกับจวนหลักในชั้นศาลหรอกกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องต่อสู้คดีในชั้นศาล แม้แต่พูดออกไปก็ทำไม่ได้
หากเป็นเช่นนั้นตระกูลเฉิงก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันของเจียงหนานไปแล้ว!
ไม่ว่าจะแพ้คดีหรือชนะคดี ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูก็ล้วนจบสิ้นอยู่ดี
หากหนึ่งครอบครัวแม้แต่ชื่อเสียงก็ยังไม่มี จะพูดเรื่องมีที่ยืนในสังคมได้อย่างไร!
นอกจากนี้เฉิงสือยังต้องเรียนหนังสือเป็นขุนนางอีก
หากจะกล่าวโทษก็ต้องกล่าวโทษที่ตอนแยกบ้านเขาไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
บางทีในจิตใต้สำนึกส่วนลึกของเขานั้น คงคิดว่าจวนรองไม่น่าจะตกต่ำมาถึงขั้นที่ต้องกดดันจวนหลักถึงจะผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากไปได้เช่นนี้
นี่ก็อาจจะเป็นดังที่ว่าแผนการของมนุษย์มิอาจสู้กำหนดของสวรรค์ได้!
เขาถือครองระเบียนประวัติของตระกูลไว้ก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าหากจวนหลักแยกตัวออกไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ตามหลักแล้วต้องไล่นับย้อนจากรุ่นพ่อขึ้นไปสามรุ่น จื้อกงก็จะเป็นรุ่นเทียดของสายพวกเขาพอดี ที่ตอนนี้เขายังใช้ประโยชน์จากระเบียนประวัติของตระกูลได้อยู่ ก็เพราะชื่อเสียงของจื้อกง
แต่ครั้นปล่อยระเบียนประวัติของตระกูลไปแล้ว ก็จะเป็นจวนรองของพวกเขาที่ต้องแยกออกมา เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับจื้อกงอีกเลยแม้แต่นิดเดียวแล้ว
สุดท้ายแล้วก็เป็นจวนรองที่ไม่มีคนรุ่นหลังคอยค้ำจุนครอบครัว
เฉิงซวี่ไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายจึงใช้ระเบียนประวัติของตระกูลเป็นข้อต่อรองกับตำแหน่งขุนนางยศขั้นสี่เจิ้งให้เฉิงสือ ซึ่งจวนหลักรับปากแล้ว ขอเพียงเฉิงสือสอบผ่านได้รับการแต่งตั้งเป็นจิ้นซื่อ ก็จะให้การสนับสนุนเฉิงสือให้ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่เจิ้งสักหนึ่งตำแหน่งอย่างสุดความสามารถ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรนั้น จวนหลักไม่มีความสามารถไปค้ำจุนเฉิงสือต่อไปได้แล้ว ตำแหน่งขุนนางที่สูงกว่าขั้นสี่เจิ้งนั้น ต่อให้เฉิงจิงจะอยู่ในราชสำนักแล้วแต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าตนจะกระทำให้ได้ อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องดูวาสนาของเฉิงสือเองแล้ว
เงินสามล้านเหลี่ยงจึงลดลงเหลือหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยง
ส่วนพรรคเจ็ดดาราก็เป็นอะไรที่มองไม่เห็นแสงสว่าง
จากความเข้าใจของเฉิงซวี่ที่มีต่อพรรคเจ็ดดารานั้น ตั้งแต่สมัยก่อนรายได้ส่วนใหญ่ของพรรคเจ็ดดาราล้วนส่งคืนให้จวนรอง ที่จวนหลักมีอำนาจก็เป็นเหตุการณ์ที่เฉิงฉือออกมารับช่วงต่อไม่กี่ปีมานี้เท่านั้น เงินสิบสองล้านเหลี่ยงก็เป็นจำนวนที่จวนหลักพอจะมีให้ได้ หากมากไปกว่านี้ จวนหลักหามาให้ไม่ได้ มีแต่จะเป็นการบีบบังคับให้จวนหลักจนตรอก ทุบหม้อให้แตกแล้วหันมาเป็นปฏิปักษ์กับจวนรอง และไม่ให้เงินแม้แต่แดงเดียว…
ผลลัพธ์เช่นนี้หยวนซื่อย่อมพึงพอใจมากอยู่แล้วเป็นธรรมดา
เฉิงสือจะสอบผ่านได้รับการแต่งตั้งเป็นจิ้นซื่อหรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน ต่อให้เขาได้เป็นขุนนางและไต่เต้าจนได้เป็นขุนนางยศขั้นสี่เจิ้งแล้วก็ตาม ขอเพียงเฉิงสวี่เดินตามแผนการที่นางวางเอาไว้ อย่างไรก็ย่อมกดทับเฉิงสือจนหายใจไม่ออกได้ ในมือของนางยังมีหลักฐานที่เฉิงสือทำลายชื่อเสียงของเฉิงสวี่อยู่ มีวิธีที่จะทำให้เขานั่งอยู่ในตำแหน่งขั้นสี่เจิ้งไปจนเกษียณอายุ การกระโดดออกมาคัดค้านในตอนนี้ก็ออกจะโง่เขลาเกินไปสักหน่อย
ประการต่อมาคือเงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงนั้นล้วนเป็นเฉิงฉือที่นำออกมาจ่ายให้ นางไม่เสียอะไรเลยแม้แต่แดงเดียว นอกจากนี้ด้วยเหตุที่ตั้งใจว่าจะขายสินเดิมของตนเพื่อจ่ายเป็นค่าชดเชยนั้นยังทำให้นางได้ชื่อเสียงอันดีงามมาด้วย…
นางรู้สึกว่าเรื่องแยกตระกูลนี้ นางต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะอย่างแท้จริง
เฉิงฉือนอนโอดครวญอยู่บนเตียง จับมือของโจวเสาจิ่นที่มาปลอบโยนเขาเอาไว้ ให้นางนวดหน้าอกให้เขา “นี่ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันที่เจ็บปวดครั้งหนึ่งจริงๆ เงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยง…ข้าคิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกเจ็บปวดใจ! ถ้าหากว่าเรือของสิบสามห้างอับปางลงอีกสักหนึ่งหรือสองลำล่ะก็ ข้าว่าข้ารีบขายบ้านที่ประตูเฉาหยางเสียแต่เนิ่นๆ แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่เสียก็แล้วกัน…โชคดีที่คนจิตใจดีย่อมได้รับสิ่งดีตอบแทน เดิมทีข้าคิดจะมอบให้เจ้าเป็นของติดตัว คิดไม่ถึงว่าเงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงนั่น หยวนซื่อนั่งพูดจึงไม่รู้ความยากลำบากของผู้อื่น พูดว่าจะให้ก็ให้เลย…”
เริ่มแรกโจวเสาจิ่นยังรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้ยินเฉิงฉือเอ่ยถึง ‘เงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยง’ ติดๆ กันสองครั้งแล้ว นางก็ค่อยๆ วางใจลงมาได้
ต่อให้เงินจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเหลี่ยงนี้จะทำให้จวนหลักไม่ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่คนที่สวมชุดเผาจื่อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดทว่าคลุมทับด้วยผ้าคลุมขนหมาไม้ตัวหนึ่งอย่างท่านน้าฉือผู้นี้เคยกังวลใจด้วยหรือ
ที่เขากล่าวเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากำลังเสแสร้งแกล้งทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรอยู่กันแน่!