ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 435 ปลอบโยน
เฉิงฉือเสียใจเรื่องที่ไม่มีเงินนั้นโจวเสาจิ่นไม่เชื่อ แต่เมื่อนางเห็นเฉิงฉือเอามือทาบหน้าอกพร้อมกับร้องโอดครวญอยู่ตรงนั้นแล้ว ในใจยังคงรู้สึกปวดแปลบ จึงตามใจเขาโดยการช่วยนวดหน้าอกให้เขาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือจึงรู้สึกสบายประหนึ่งได้ดื่มน้ำถั่วเขียวเย็นๆ ในช่วงที่ร้อนที่สุดอย่างช่วงสามฝูก็ไม่ปาน
เขาหลับตาพริ้ม ปล่อยให้โจวเสาจิ่นนวดหน้าอกให้เขาเบาๆ อยู่ตรงนั้น
แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่ค่อยถูกต้องนัก…เลือดในกายของเขาต่างไหลพรั่งพรูลงไปเบื้องล่าง…หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เกรงว่าต้องมีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นเป็นแน่…
เฉิงฉือพลิกตัวอย่างกระอักกระอ่วน ตะแคงตัวนอนหันเข้าหาโจวเสาจิ่นอยู่บนตั่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องนวดแล้ว!”
จริงหรือ
แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าท่าทางของเขาในตอนนี้กลับดูเจ็บปวดเล็กน้อยเล่า…
“จริงหรือเจ้าคะ” นางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แต่ข้าดูท่าทางของท่านแล้วดูเหมือนไม่ค่อยสบายเลยนะเจ้าคะ…”
ดวงตาสุกใสเป็นประกายของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง กระทั่งเฉิงฉือเห็นภาพสะท้อนของตัวเองจากดวงตาของนางได้
เขารู้สึกกระดากอายอย่างช่วยไม่ได้ รีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ข้าเพียงรู้สึกว่าเรื่องแยกตระกูลนี้ทำให้ข้ารำคาญใจไม่น้อยจริงๆ เท่านั้น กล่าวคือทุกคนต่างคิดว่าข้าไม่มีเงินแล้ว คนนี้คนนั้นต่างก็เลยมาหาข้าหมายจะทำการค้าร่วมกับข้า แต่ละคนก็ช่างไม่รู้จักประเมินสถานะของตัวเองเลยว่าเป็นเพียงตัวอะไร ถึงกับคิดจะใช้เงินมาล่อข้าไปเป็นคนติดตามของพวกเขา ต่อให้ข้ายากจนข้นแค้นเพียงใด ก็ไม่มีทางตกต่ำจนถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง”
เฉิงฉือแผ่ความหยิ่งทะนงออกมาจากส่วนลึกสายหนึ่ง
ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่
ไม่แปลกที่ท่านน้าฉือจะโมโห!
โจวเสาจิ่นคิด ในใจอ่อนยวบจนเหลวเป็นน้ำ ปลอบโยนเขาเสียงอบอุ่นว่า “ท่านก็อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าทุกคนอาจจะอยากช่วยเหลือท่านก็เป็นได้! อีกอย่าง เมื่อก่อนท่านเก่งกาจยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้ลากท่านลงน้ำสักครั้งหนึ่ง หากปล่อยมันไปเช่นนั้นก็โง่งมแล้ว”
ถ้อยคำของคนรักมักจะลึกซึ้งตราตรึงกว่าคนทั่วไปเสมอ
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้นยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ จึงรีบกล่าวว่า “จริงๆ นะเจ้าคะ! เมื่อก่อนตอนอยู่ซอยจิ่วหรูมักจะได้ยินพวกเขาพูดกันบ่อยๆ ว่าท่านทำการค้าเก่งยิ่งนัก จึงคิดจะหาโอกาสร่วมมือกับท่านอยู่เสมอๆ”
แต่อย่างไรก็ตาม เกรงว่าก็คงพูดด้วยว่าเขาไร้เหตุผล เย่อหยิ่งและเย็นชาด้วยกระมัง
เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจครั้งหนึ่ง กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตระกูลหลี่กับร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่มิได้เป็นหุ้นส่วนกันแล้ว สัดส่วนหุ้นของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็ถูกตีราคาให้เป็นของจวนรองไปสี่แสนเหลี่ยงแล้ว เกรงว่าอนาคตของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่คงไม่ได้ดีนักแล้ว หากข้าเป็นเฉิงเหมี่ยน จะใช้โอกาสนี้ขายหุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ที่ถืออยู่ในมือทิ้งไปเสีย แล้วไปทำการค้าอย่างอื่นแทน”
โจวเสาจิ่นตกใจ กล่าวขึ้นว่า “สถานการณ์จะย่ำแย่ถึงขั้นนั้นเลยหรือเจ้าคะ แต่นั่นเป็นร้านตั๋วแลกเงินที่ท่านสร้างขึ้นมากับมือนะเจ้าคะ!”
นางกำลังรู้สึกเสียดายแทนเขาอยู่!
เฉิงฉือกลับลอบวิพากษ์อยู่ในใจ
แน่นอนว่าสถานการณ์มิได้ย่ำแย่จนถึงขั้นนั้นอย่างกะทันหัน
ต่อให้เป็นการกินบุญเก่า ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็อาจจะอยู่ไปได้อีกสักห้าถึงหกปี
แต่ถ้าเขาสอดมือเข้าไปยุ่ง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
หากจะกล่าวโทษ ก็ต้องโทษที่ตระกูลเฉิงมีญาติที่เกี่ยวดองด้วยตั้งมากมาย แต่เหตุใดตอนนั้นเฉิงสือถึงต้องใช้เสาจิ่นเป็นแพให้ตัวเองข้ามด้วย…
แต่เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องให้เสาจิ่นรู้
เขากล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเริ่มแรกร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่กำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาจากการทำการค้ากับเก้าเหล่าทัพของราชสำนัก วันนี้พวกข้ากับจวนรองแยกตระกูลกันแล้ว พวกข้าย่อมไม่อาจไปช่วยทำการค้าให้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ได้อีกแล้ว นอกจากนี้มีคู่ค้าบางส่วนเลือกที่จะเข้าหาพี่ใหญ่และพี่รองของข้า ฉะนั้นจึงอาจเสียลูกค้าไปส่วนหนึ่งด้วย…”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่หลี่ซื่อได้รับข่าวจากการไปสืบความของนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ขึ้นมา…คาดว่าคนจำนวนมากก็น่าจะคิดเห็นเป็นเช่นเดียวกันกระมัง
นางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเพื่อเตือนท่านลุงใหญ่เหมี่ยนสักครั้งหนึ่ง”
ส่วนเรื่องที่จะขายหุ้นออกจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่หรือไม่นั้น นั่นก็ต้องแล้วแต่การตัดสินใจของจวนสี่เองแล้ว
สถานะเปลี่ยน การตัดสินใจเลือกก็เปลี่ยน
นางเลือกเฉิงฉือ
และจวนสี่ที่หวังจะได้สร้างตระกูลของตัวเองขึ้นมาโดยตลอดนั้น ใช้โอกาสนี้แยกตัวออกไป ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่ง แต่จวนสี่จะเลือกใครนั้น นางไม่อาจรู้ได้
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “หน้าอกของท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่ ให้ข้านวดให้ท่านอีกสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือนึกถึงความรู้สึกอ่อนนุ่มของมือเล็กอันนุ่มนิ่มที่วางอยู่บนหน้าอกของตนนั่นแล้วก็คิดในใจว่า นี่ถ้าหากว่าแต่งงานกันแล้วจะดีมากเพียงใด…แต่เวลานี้เขาจำต้องปฏิเสธไปอย่างแข็งขัน “ไม่ต้องแล้ว ดีขึ้นมากแล้ว” เขาไหนเลยจะกล้าหมุนวนกลับมาที่เรื่องนี้อีก จากนั้นนึกถึงวัตถุประสงค์การมาที่นี่ของตัวเองขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินอยู่บ้านหรือไม่ ข้าอยากหารือกับฮูหยินสักหน่อย จะให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้า”
“ไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงไม่โปรดปรานให้นางไปอยู่เป็นเพื่อนหรอกกระมัง!
นางก้มหน้าก้มตาลงเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นแล้วก็เข้าใจ คาดว่าคำพูดของมารดาในวันนั้นคงยังทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย
เขากุมมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ยิ้มพร้อมกับหันมาขยิบตาให้นาง กล่าวว่า “ตอนนี้คนทั่วทั้งจิงเฉิง ไม่สิ กระทั่งคนทั่วทั้งเจียงหนานต่างรู้ว่ามารดาของข้า ‘ถูกบีบบังคับ’ ให้ย้ายมาอยู่จิงเฉิง คาดว่านางจะต้องรู้สึกเจ็บปวดใจมากเป็นแน่ เมื่อก่อนตอนอยู่จินหลิงเจ้าเคยอยู่ปรนนิบัติรับใช้มารดาของข้ามาก่อน ตอนนี้เจ้าอยู่จิงเฉิงพอดี ตามหลักและน้ำใจแล้วเจ้าก็ควรจะไปเยี่ยมนางสักหน่อยกระมัง เมื่อเห็นนางเศร้าโศกเสียใจ เจ้าทนไม่ได้ ก็เลยอยู่ปรนนิบัติท่านแม่ของข้าสักสองสามวัน ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ จากนั้นพวกเราที่เป็นบุตรชายหญิงเพื่อให้นางมีความสุขแล้ว ก็หวังให้มีใครสักคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนนางสักระยะหนึ่ง เจ้าก็เลยกลายเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดมิใช่หรือ”
เช่นนี้นางก็จะได้รั้งอยู่ที่จิงเฉิงต่อไปได้อย่างชอบธรรมแล้ว
กว่าครู่ใหญ่โจวเสาจิ่นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้า…ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางถามนางเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าไม่อยากไปหรือ”
มิใช่ว่านางไม่อยากไป แต่เพราะถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กล่าวมานั้น ทำให้นางรู้สึกขลาดกลัวอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นมารดาของท่านน้าฉือ
หากนางอยากแต่งกับท่านน้าฉือ ไม่เพียงต้องตั้งใจเข้าหาฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น ยังต้องเอาชนะใจฮูหยินผู้เฒ่าให้ได้ด้วย
“ข้าย่อมอยากไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกุมมือของเฉิงฉือตอบ กล่าวว่า “ข้าเพียงแต่กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี อยากพาฝานหลิวซื่อและซางมามาไปด้วย ท่านว่าได้หรือไม่เจ้าคะ”
มีมามาทั้งสองท่านอยู่ด้วย หากมีอะไรที่นางทำไม่ถูก ก็จะได้มีคนคอยกล่าวเตือนนางสักสองประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งซางมามา ไม่เพียงมีความสามารถ ยังอยู่ซอยจิ่วหรูมาตั้งแต่ต้น จึงเข้าใจเรื่องต่างๆ ของจวนหลักเป็นอย่างดี
เฉิงฉือดึงตัวโจวเสาจิ่นเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นล้มลงไปบนเตียงด้วยความตกใจ ถูกเฉิงฉือกกกอดเอาไว้ในอ้อมแขน
นางดิ้นรนขัดขืนขึ้นมาในทันใด สาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าห้องหนังสือและชุนหว่านอีกหลายคนล้วนรออยู่ด้านนอก นี่ถ้าหากมีเรื่องอะไรแล้วพุ่งเข้ามากะทันหัน เรื่องของนางและท่านน้าฉือก็คงปิดเอาไว้ไม่ได้แล้ว แต่นางก็ยังไม่กล้าส่งเสียงดัง กระซิบกล่าวเสียงเบาอย่างร้อนใจว่า “หากท่านยังซุกซนเช่นนี้อีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว!”
เฉิงฉือหัวเราะเสียงเบา ซุกใบหน้าลงตรงบริเวณลำคอของนาง หลับตาลง ปล่อยให้กลิ่นหอมอ่อนๆ เหล่านั้นโฉบผ่านลมหายใจของเขา กล่าวงึมงำขึ้นว่า “ข้าซุกซนอย่างไร ข้าเพียงอยากจะกอดเจ้าสักหน่อยเท่านั้น เด็กดี…เสาจิ่น ให้ข้ากอดสักหน่อยเถิด! ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวันแล้ว คิดถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว กลัวว่าถ้าตนตอบว่า ‘คิดถึงเขา’ จะเป็นการสมยอมให้เขากระทำตัวซุกซนต่อไป แต่ก็กลัวว่าถ้าตนตอบว่า ‘ไม่คิดถึง’ จะทำให้เขาเสียใจ
ตัวพันกันเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าค้นพบว่าที่เฉิงฉือบอกว่าเพียงอยากกอดนางสักหน่อยนั้นก็เพียงกอดนางเอาไว้อย่างเดียวจริงๆ ไม่ได้กระทำอะไรอย่างอื่น
ร่างของโจวเสาจิ่นค่อยๆ อ่อนยวบลงมา
นางเองก็คิดถึงท่านน้าฉือและอยากเจอเขามากเช่นกัน เพียงแต่ว่านางขี้ขลาด ไม่กล้ากอดเขาเช่นนี้…
อาการระแวดระวังของโจวเสาจิ่นค่อยๆ ผ่อนคลายลง
นางหลับตาลง ดื่มด่ำกับความอบอุ่นที่ถูกเฉิงฉือโอบกอดเอาไว้
เฉิงฉือรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังกอดหยกเนื้อนิ่มเอาไว้ก็ไม่ปาน
เลือดลมของเขาไหลบ่าลงไปยังเบื้องล่างอีกครั้งหนึ่ง…
นี่ช่างเป็นการนำหายนะมาให้ตัวเองอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยจริงๆ!
เฉิงฉือลอบก่นด่าตัวเองอยู่ในใจประโยคหนึ่ง ปล่อยโจวเสาจิ่นแล้วลุกขึ้นมานั่ง
โจวเสาจิ่นตกใจ จากนั้นดวงหน้าแดงก่ำจนคล้ายกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง แล้วกระโดดลงจากเตียงหมายจะเดินไปข้างนอก “ข้า…ข้าไปบอกให้ชุนหว่านยกผลไม้เข้ามาอีกสักหน่อยนะเจ้าคะ ฤดูกาลนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับกินผลไม้พอดี…”
เฉิงฉือยิ้มเฝื่อนพร้อมกับคว้าตัวโจวเสาจิ่นเอาไว้ ทว่าไม่กล้าลงจากเตียง กลัวว่าโจวเสาจิ่นจะเห็นอาการน่ารังเกียจของตน กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “เสาจิ่น อย่าเพิ่งโกรธ! ข้าได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้านนอก...”
สีหน้าของโจวเสาจิ่นถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยตำหนิเขาอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่าน…ต่อไปท่านห้ามทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ!”
“ได้!” เฉิงฉือรู้ซึ้งถึงความขมขื่นนั่นแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าไม่ตอบรับอีก “เดิมทีข้าเองก็มิใช่คนเช่นนี้ เพียงแต่ตั้งแต่ได้พบเจ้าก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้…” อยากจะจุมพิตนาง กอดนางสักหน่อยก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นกล่าวหยอกเย้านางสักสองประโยคก็ช่วยให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
โจวเสาจิ่นเข้าใจได้ในทันที
ที่ผ่านมานางก็มิได้เป็นเช่นนี้!
นับตั้งแต่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แม้แต่เฉิงเจียที่จับมือของนางเอาไว้นางยังรู้สึกอึดอัด ทว่าตอนนี้กลับปล่อยให้ท่านน้าฉือกอดนางได้…
นางขัดเขินมิได้กล่าวอะไร
เฉิงฉือเห็นแล้วถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “ไม่ได้การแล้ว ต้องหาวิธีแต่งกับเจ้าให้เร็วขึ้นสักหน่อยถึงจะใช้การได้ ไม่อย่างนั้นมาหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ ทั้งๆ ที่ข้ารู้ว่าไม่สมควรและยังควบคุมตัวเองไม่ได้อีก ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่…”
ยังจะเกิดเรื่องขึ้นอีก?
โจวเสาจิ่นถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า
เขาตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นี้แล้วจริงๆ
ต่อให้ถลึงตาใส่เขาเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุขต่อให้ต้องเผชิญความยากลำบากก็ตาม
เฉิงฉือสูดลมหายใจเข้ายาวๆ สองสามครั้ง ดื่มน้ำเย็นติดๆ กันหลายจอก ข่มความคิดไม่ปกติไว้ในใจ ถึงได้เอ่ยกับโจวเสาจิ่นว่า “ไปกันเถิด พวกเราไปพบฮูหยินกัน ต้องเร่งจัดการเรื่องของเจ้าให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นหากนางพาเจ้ากลับเมืองเป่าติ้งไป ข้าก็ไม่รู้จะไปร้องไห้ที่ไหนแล้ว!”
ท่าทางอิ่มเอมใจนั่น!
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปากพร้อมกับหยิกเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือร้อง “โอ๊ย” อย่างเกินจริงไปเสียงหนึ่ง หลอกล่อให้โจวเสาจิ่นหอมแก้มเขาด้วยตัวเองไปหนึ่งครั้ง ถึงได้เดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกมาจากห้องหนังสือมาพร้อมกับโจวเสาจิ่น แล้วตรงไปที่เรือนปีกตะวันออก
หลี่ซื่อเห็นโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือมาพร้อมกัน ก็รู้สึกร้อนใจ คิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงรีบเชิญเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นเข้ามา
เฉิงฉือเองก็ไม่เกรงใจ อธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการมาของตนว่า “…อยากให้เสาจิ่นไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาของข้า ทางด้านของใต้เท้าโจวนั้น ข้าได้เขียนจดหมายไปแจ้งแล้ว ส่วนทางด้านของฮูหยิน คงต้องรบกวนให้ท่านช่วยข้าพูดอีกสักสองสามประโยค”
เขารู้ว่าหลี่ซื่อตัดสินใจแทนโจวเจิ้นไม่ได้ ดังนั้นจึงขอให้นางช่วยเหลืออยู่ข้างๆ เท่านั้น
หลี่ซื่อไม่รู้เรื่องของเฉิงฉือ คิดว่าก็แค่ช่วยพูดให้ไม่กี่ประโยคเท่านั้น อย่างอื่นนางช่วยอะไรไม่ได้ ทว่าเรื่องนี้นางพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง
นอกจากนี้ตอนนี้ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ความสัมพันธ์ของตระกูลโจวและจวนหลักก็กลายเป็นบางเบาขึ้นมา หากโจวเสาจิ่นได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่อไปได้ สำหรับตระกูลโจวแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง!
เกรงว่าหากพี่ชายของตนได้ยินแล้ว มีแต่จะช่วยยินดีแทนตระกูลโจว
นางตอบรับซ้ำๆ ว่า “ได้” เฉิงฉือจึงลุกขึ้นขอตัวลา
หลี่ซื่อต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดข้อกังขา โจวเสาจิ่นจึงไปส่งเฉิงฉือแทนนาง
เฉิงฉือกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจ ทางด้านของพี่สาวของเจ้าข้าก็ส่งคนไปแจ้งแล้ว บิดาของเจ้าอาจรู้สึกไม่สบายใจบ้าง แต่เฉิงสวี่มิได้อยู่จิงเฉิง เพื่อเห็นแก่พี่สาวของเจ้าแล้ว เขาน่าจะตอบตกลงเรื่องนี้”
เนื่องจากเขาเป็นคนลงมือจัดการเอง โจวเสาจิ่นจึงไม่กังวลใจเลยแม้แต่นิดเดียว
นางกังวลเพียงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่ชอบนางเท่านั้น