ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 444 ปกป้อง
ได้ยินพี่สาวเอ่ยถึงเฉิงสวี่ โจวเสาจิ่นดูเงียบลงไปเล็กน้อย
โจวชูจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าตนพูดผิดไปแล้ว นางรีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ความหมายของข้าก็คือเจ้าควรจะเลือกคนที่เจ้าชอบ…”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือก็คือคนที่ข้าชอบเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นเอาแต่คิดจะชี้หน้าด่าเฉิงฉือแรงๆ สักคำรบหนึ่งท่าเดียว
“เจ้าอายุยังน้อย จะไปเข้าใจได้อย่างไรว่าอะไรคือชอบหรือไม่ชอบ” นางกล่าวสั่งสอนน้องสาว “ซื้อของให้เจ้า หลอกล่อให้เจ้าหัวเราะมีความสุข อ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ต่อหน้าเจ้า…พวกนี้ล้วนมิใช่ความชอบ! ความชอบเช่นนี้ผู้ใดทำไม่ได้บ้าง เขาก็เพียงอยากจะประจบเอาใจเจ้าเพื่อจะเอาเปรียบเจ้าก็เท่านั้น เขาจะแต่งงานกับเจ้าหรือ เขาจะกล้าพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าชอบเจ้าหรือ เขาจะให้สถานะที่ถูกต้องแก่เจ้าหรือ จะให้เจ้ายืนอยู่ข้างกายเขาอย่างมีเกียรติหรือ เสาจิ่น เจ้าจงฟังคำพูดของพี่สาวสักประโยคหนึ่ง เจ้าชอบเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาชอบเจ้าอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเขาชอบเจ้า จะแอบไปมาหาสู่กับเจ้าอย่างลับๆ ล่อๆ หรือ คนเช่นนี้ เจ้าถือโอกาสลืมเขาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า อีกทั้งเขายังเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเรา อายุมากกว่าเจ้าสิบกว่าปีด้วย!”
“ท่านพี่!” โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวปกป้องเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือบอกว่า เขา…เขาจะแต่งงานกับข้า ท่านไม่ต้องเป็นกังวลใจเจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นได้ยินประโยคนี้แล้วก็ยิ่งโมโหมากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เขาบอกว่าจะแต่งกับเจ้าก็จะแต่งกับเจ้าได้เลยอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดเสียบ้าง เขาเป็นอะไรกับพวกเรา เมื่อครู่เจ้ายังเรียกเขาว่าท่านน้าฉืออยู่เลย เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ทว่ากลับมาทำเรื่องเช่นนี้กับเจ้า พฤติกรรมน่ารังเกียจนี้เพียงพอให้ตั้งคำถามแล้ว คำพูดของเขาจะจริงสักกี่ส่วนกันเชียว!”
“ข้าเชื่อว่าเขาพูดจริงเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเห็นสีหน้าของพี่สาวไม่ดีเอาเสียเลย จึงไม่กล้าต่อปากต่อคำกับพี่สาว กล่าวแย้งไปเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือไม่มีทางโกหกข้า! ท่านพี่ ท่านเชื่อใจข้าสักครั้งได้หรือไม่”
นางอยากบอกพี่สาวเหลือเกินว่าแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็กลัวว่าหลังจากที่พูดออกไปแล้วพี่สาวจะกล่าวโทษฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วย
ท่าทางของโจวเสาจิ่นคล้ายคนตกหลุมรักที่หาทางออกมาไม่ได้ โจวชูจิ่นโกรธจนดวงตาแดงก่ำไปหมด
แต่นี่จะกล่าวโทษเสาจิ่นได้หรือ
นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้นนี่นา
หากมิใช่เพราะเฉิงฉือล่อลวงนาง นางจะต่อต้านตนเช่นนี้หรือ
ครุ่นคิดว่าที่ผ่านมานั้น เวลาเสาจิ่นพูดคุยกับตนไม่เคยแม้แต่จะขึ้นเสียงสูงเลยสักครั้ง
โจวชูจิ่นโกรธจนคล้ายกับจะปวดไปถึงตับ
เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องไปหลายรอบ ไม่ง่ายเลยกว่าอารมณ์จะเย็นลงมาได้หลายส่วน ตัดสินใจจะใช้ไม้อ่อนพูดเกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่นดีๆ ผู้ใดจะรู้ว่าพอหันมาก็เห็นโจวเสาจิ่นมองนางด้วยดวงตารื้นน้ำตา ประหนึ่งเด็กน้อยที่ถูกคนรังแกมาอย่างหนักก็ไม่ปาน
ในใจของโจวชูจิ่นก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางกล่าวขึ้นอย่างไม่อาจระงับความโกรธว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่เสียดีๆ ให้ผ่านไปสักสองสามวันแล้วข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่เมืองเป่าติ้ง ของที่เฉิงจื่อชวนมอบให้เจ้าเหล่านั้น ข้าจะให้ชุนหว่าน…” กล่าวถึงตรงนี้ นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อล้วนเป็นบ่าวคนสนิทของโจวเสาจิ่น เรื่องระหว่างโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือนั้น แค่มองก็รู้แล้วว่ามิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นชั่วข้ามคืน เป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะไม่รู้…สองคนนี้ไม่เคยเผยพิรุธอะไรต่อหน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว…สีหน้าของโจวชูจิ่นจึงเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมา นางตะโกนเรียก “ฉือเซียง” เสียงดัง ถามขึ้นว่า “ชุนหว่านมาถึงหรือยัง ให้คนไปเรียกฝานหลิวซื่อมาด้วย…”
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับนางในชาติก่อนขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ให้คนไปเรียกชุนหว่านและฝานหลิวซื่อมาเช่นนี้เหมือนกัน
นางดีดตัวลุกขึ้นมาจับแขนเสื้อของโจวชูจิ่นเอาไว้ “ท่านพี่ ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้!”
โจวชูจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ สองลมหายใจ กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้าเพียงเรียกพวกนางมาสอบถามดูเท่านั้น ช่วงนี้เจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้างกายไม่อาจไร้คนปรนนิบัติดูแลได้ ซางมามาและเสี่ยวถานล้วนเป็นคนของจวนหลัก ข้าว่าให้พวกนางกลับไปทำงานที่จวนหลักดีกว่า”
ยิ่งนางใช้น้ำเสียงบางเบาพูดกับโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของพี่สาวเอาไว้แน่นไม่ปล่อย แววตาเผยแววขอร้องออกมา
โจวเสาจิ่นทำใจแข็งไม่มองนาง
น้ำตาของโจวเสาจิ่นใกล้จะไหลออกมาแล้ว ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ฝั่งหนึ่งก็เป็นพี่สาวที่มีบุญคุณต่อนางอย่างใหญ่หลวง อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นบ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีต่อนาง
นางทั้งไม่อยากทำให้พี่สาวขุ่นเคืองและไม่อยากทำให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อเสียใจ
โจวชูจิ่นเห็นท่าทางลำบากใจของโจวเสาจิ่นแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน นางนึกถึงความดื้อดึงของโจวเสาจิ่นเมื่อครู่แล้ว ก็พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ไม่จัดการชุนหว่านและฝานหลิวซื่อก็ได้ แต่ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองเป่าติ้งนั้น เจ้าจงอยู่แต่ในนี้ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เจ้าทำได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นทำไม่ได้
นางรู้ว่าหากพี่สาวไม่ยอมอ่อนข้อให้ ต่อให้นางพาชุนหว่านและฝานหลิวซื่อกลับเมืองเป่าติ้งแล้ว ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อก็ไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้อยู่ดี
โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านพี่ ท่านให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อรั้งอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนเถิดเจ้าค่ะ ทางด้านนี้ท่านมีสาวใช้มากมายขนาดนี้ ท่านแบ่งคนมารับใช้ข้าสักสองคนก็ได้แล้ว ให้ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อรั้งอยู่ที่จิงเฉิงเถิดเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าโจวชูจิ่นย่อมไม่เห็นด้วย
เนื่องจากชุนหว่านและฝานหลิวซื่อปล่อยให้เฉิงจื่อชวนล่วงเกินโจวเสาจิ่น จะลงโทษอย่างไรล้วนไม่เกินไปทั้งนั้น นอกจากนี้ต่อให้เป็นการคิดเผื่อชื่อเสียงของโจวเสาจิ่น ก็เก็บคนสองคนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว
สองพี่น้องต่างไม่ยอมถอยให้กันอยู่ตรงนั้น
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่ ซางมามาของซอยอวี๋เฉียนมาเจ้าค่ะ บอกว่านำเสื้อผ้าและของใช้ของคุณหนูรองมาส่งเจ้าค่ะ”
มิใช่บอกว่าให้ชุนหว่านนำเสื้อผ้ามาส่งให้หรอกหรือ
โจวชูจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นกลับผ่อนลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง สีหน้าดูผ่อนคลายลงมา
ต้องเป็นเพราะท่านน้าฉือรู้ว่าชุนหว่านและฝานหลิวซื่อล้วนเป็นคนสนิทของนาง กลัวว่าทั้งสองคนจะถูกพี่สาวลงโทษ ดังนั้นก็เลยให้ซางมามาที่มีฝีมือสูงส่งเอาเสื้อผ้ามาส่งให้นางแทน
โจวชูจิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น
ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อไม่อยู่ด้านนอก เกรงว่าเมื่อเสาจิ่นไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว จะบีบบังคับให้นางไม่ต้องสนใจเฉิงจื่อชวนอีกคงจะยากยิ่งขึ้นแล้ว
สาวใช้เด็กที่มารายงานเห็นว่ากว่าครู่ใหญ่แล้วโจวชูจิ่นก็ยังไม่ได้สั่งการอะไร อีกทั้งนึกถึงหีบสัมภาระกว่าสองคันรถที่จอดอยู่หน้าประตูชั้นในและซางมามาที่กำลังสนทนาอยู่กับจงมามาบ่าวคนสนิทข้างกายฮูหยินใหญ่เลี่ยวอย่างสนิทสนมนั้นขึ้นมา นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงเบาว่า “สะใภ้ใหญ่ จงมามากำลังอยู่สนทนาเป็นเพื่อนซางมามาอยู่เจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
นางลืมไปได้อย่างไรว่าแม่สามีก็อยู่ที่นี่ด้วย…
เรื่องของเสาจิ่นไม่อาจปล่อยให้หลุดออกไปได้แม้แต่นิดเดียว
นางรีบกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเชิญซางมามาเข้ามาเถิด!”
ซางมามามองไปที่โจวเสาจิ่นก่อนเป็นลำดับแรก เห็นโจวเสาจิ่นยังปลอดภัยดี มีเพียงดวงตาที่แดงและบวม คล้ายกับคนร้องไห้มาเท่านั้น จึงรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นถึงได้ยิ้มตาหยีพร้อมกับก้าวออกไปทำความเคารพโจวชูจิ่น พลางกล่าว “คุณหนูรองมาอย่างกะทันหัน แม่นางชุนหว่านเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูรองมากที่สุด เครื่องประดับอัญมณีอะไรต่างๆ เหล่านี้ล้วนให้ชุนหว่านเป็นคนดูแล ทั้งต้องคอยส่งเสมียนของร้านขายข้าวสาร น้ำมันและแป้งบะหมี่ที่มาวางใบเสร็จเหล่านั้น และต้องคอยกำกับสั่งการให้พวกบ่าวไพร่เก็บของใช้ที่คุณหนูรองใช้เป็นประจำทุกวันบรรจุลงหีบสัมภาระเพื่อส่งมาที่นี่ แม่นางชุนหว่านยุ่งมากจริงๆ จึงให้ข้านำหีบสัมภาระของคุณหนูรองส่งมาที่นี่ก่อน จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าประเดี๋ยวมืดแล้ว แม้แต่ผ้าห่มและหมอนคุณหนูรองก็ต้องขอหยิบยืมจากต้ากูไหน่ไน อีกทั้งคิดว่าคุณหนูรองมาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง แม้นในเรือนของต้ากูไหน่ไนจะไม่ขาดเหลือบ่าวรับใช้ แต่ยังมีฮูหยินใหญ่เลี่ยวพักอยู่ด้วย ทั้งยังมีเหล่าญาติพี่น้องของตระกูลเลี่ยวที่มักจะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ จึงไม่อาจให้ผู้อื่นคิดว่าคุณหนูรองเสียมารยาท บ่าวคนสนิทข้างกายล้วนเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลเลี่ยว จึงให้บ่าวนำเสี่ยวถานและปี้เถาที่คุณหนูคุ้นชินมาส่งให้ด้วยเจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นหันไปมองโจวเสาจิ่น
ไม่รู้ว่ามุมปากของโจวเสาจิ่นแย้มรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อใด
โจวชูจิ่นไหนเลยจะยังไม่เข้าใจเรื่องราว
ซางมามาผู้นี้มาส่งของที่ไหนกัน เห็นๆ อยู่ว่ามาหนุนหลังโจวเสาจิ่นต่างหาก
ยังยกเอาฮูหยินใหญ่เลี่ยวแม่สามีของนางมาข่มนางอีก
นางที่เป็นบ่าวเพียงผู้หนึ่ง จะไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากที่ใดกัน
หากมิใช่เพราะได้รับการส่งเสริมจากนายเก่าของนางอย่างเฉิงฉือ
โจวชูจิ่นโกรธจนอยากจะหัวเราะ
โจวเสาจิ่นเป็นน้องสาวของนาง นางทะนุถนอมและรักนางยิ่งกว่าใคร จะต้องการเฉิงฉือมาคอยบงการอยู่ข้างๆ ไปทำไม
นางจะไม่ให้เฉิงฉือได้มีโอกาสเข้าใกล้น้องสาวอีก
โจวชูจิ่นแสยะยิ้มเย็นอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่ให้ของ ย่อมมิกล้าปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจสร้างความลำบากให้แม่นางเสี่ยวถานได้ ข้าว่าเช่นนั้นก็ให้แม่นางเสี่ยวถานพักอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่ก็แล้วกัน ยามปกติจะได้ให้คำชี้แนะสาวใช้และป้ารับใช้ในเรือน มิให้พวกนางขาดมารยาท!”
มิใช่ว่าเจ้าอยากให้เสี่ยวถานปรนนิบัติอยู่ข้างกายเสาจิ่นหรอกหรือ
เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะให้คนรั้งอยู่ที่นี่เสีย จากนั้นเก็บเอาไว้ข้างกาย สาวใช้เข้ามาอยู่ในเรือนของนางแล้ว เฉิงฉือยังจะเข้ามายุ่งถึงข้างในเรือนของนางได้อีกหรือ
ซางมามากล่าวอย่างเกรงใจว่า “ต้ากูไหน่ไนถือกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ตระกูลโต เสี่ยวถานจะกล้าโอ้อวดความสามารถต่อหน้าต้ากูไหน่ไนได้อย่างไร! เพียงแต่ว่าคุณหนูรองนั้นจิตใจโอบอ้อมอารี ให้นางคอยยกน้ำชารินน้ำให้อยู่ข้างๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ!”
คุณหนูรองเป็นคนโอบอ้อมอารี นางก็เลยเป็นคนโหดร้ายใจดำอำมหิตอย่างนั้นหรือ
โจวชูจิ่นเต็มไปด้วยความเดือดดาล ยังอยากจะปะทะกับซางมามาอีกสักสองสามประโยค กลับมีเสียงของจงมามาดังขึ้นมาจากหลังผ้าม่านเสียก่อนว่า “สะใภ้ใหญ่เจ้าคะสะใภ้ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ได้ยินว่าคุณหนูรองมาเยี่ยม จึงสั่งให้บ่าวมาเชิญคุณหนูรองไปพูดคุยด้วยเป็นการเฉพาะ ยังให้บ่าวมาบอกสะใภ้ใหญ่สักคำด้วยว่า ขอให้ท่านไปกำชับให้ในครัวทำอาหารที่คุณหนูรองชื่นชอบเพิ่มอีกสักสองสามอย่าง วันนี้จะรั้งให้คุณหนูรองอยู่รับประทานมื้อเย็นที่เรือนหลักด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ โจวชูจิ่นจึงไม่อาจกักบริเวณโจวเสาจิ่นได้แล้ว
โจวชูจิ่นสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งน้ำสงบนิ่ง
นี่เฉิงจื่อชวนหมายความว่าอย่างไร
กลัวว่านางจะตบตีดุด่าโจวเสาจิ่นอย่างนั้นหรือ
หรือว่ายังคิดจะลอบนัดพบกับโจวเสาจิ่นอีก
ซางมามามองแล้วใจเต้นตึกตักไม่หยุด
นายท่านสี่กลัวว่าคุณหนูรองจะถูกคุณหนูใหญ่ลงโทษ ถึงได้ให้นางมาที่นี่
แต่เนื่องจากต้ากูไหน่ไนเป็นพี่สาวของคุณหนูรอง อีกทั้งที่ผ่านมาคุณหนูรองก็เคารพเทิดทูนต้ากูไหน่ไนมาโดยตลอด หากทำให้ต้ากูไหน่ไนขุ่นเคืองใจขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าในใจของคุณหนูรองก็คงไม่มีความสุขเช่นกัน
นางรีบกล่าวว่า “ต้ากูไหน่ไน หากเจ้านายเป็นดอกไม้ พวกข้าก็เป็นใบไม้ หากเจ้านายเป็นก้อนเมฆ พวกข้าก็เป็นโคลนตม คุณหนูรองต้องการปักลายดอกไม้ ย่อมต้องมีคนคอยช่วยแยกด้าย คุณหนูรองต้องการแต่งกิ่งตัดใบ ย่อมต้องมีคนคอยช่วยส่งผ้าเช็ดมือให้…พวกบ่าวเพียงปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เท่านั้น”
ความหมายโดยนัยก็คือ พวกนางเพียงปกป้องโจวเสาจิ่นเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น
โจวชูจิ่นยิ้มเย็น
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับน้ำตาไหลพรากลงมา
ชาติก่อน เฉิงสวี่พูดว่าชอบนางครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับปล่อยให้หยวนซื่อทรมานนางทั้งเป็น ชาตินี้ ท่านน้าฉือมักจะหยอกเย้านาง ทว่ากลับเอาใจใส่ดูแลนางทุกอย่าง กลัวว่านางจะได้รับความลำบากถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ต่อให้คนที่กักบริเวณนางจะเป็นพี่สาวที่เป็นทั้งแม่และพี่สาวของนาง ก็ต้องส่งคนตามนางมาด้วยถึงจะวางใจ
พี่สาวพูดเองว่า หากบุรุษทำเพียงให้สิ่งของ หลอกล่อให้นางดีใจเล่น ยอมถ่อมตัวเวลาอยู่ต่อหน้านาง ทว่าไม่ยอมแต่งงานกับนาง ไม่ยอมให้สถานะกับนาง ก็ไม่ควรค่าให้เชื่อใจและมิใช่บุรุษที่ดี
เช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านน้าฉือเป็นบุรุษที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว!
โจวเสาจิ่นกอดแขนพี่สาวเอาไว้ กล่าวขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ท่านพี่ ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ท่านให้พวกซางมามาและเสี่ยวถานปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้าเถิดนะเจ้าคะ!”
ไม่ต้องจัดการชุนหว่านและฝานหลิวซื่อ
นางเชื่อว่าท่านน้าฉือจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเขาไม่ได้หลอกลวงตน