ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 445 กระทำการอย่างรวดเร็ว
ช่างเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่เยี่ยมยอดจริงๆ
ไม่แปลกที่จะหลอกล่อจนน้องสาวหัวหมุนได้
เขาคำนวณมาแล้วว่านางไม่กล้ากักบริเวณน้องสาวเอาไว้ในบ้าน?
เขาคำนวณมาแล้วว่าตนไม่กล้าสร้างรอยบาดหมางกับแม่สามี?
ถ้าหากเป็นเรื่องอื่น นางก็คงจะปล่อยผ่านไปแล้ว แต่นี่เกี่ยวข้องกับความสุขในอนาคตของน้องสาว นางจะปล่อยไปง่ายๆ โดยไม่สนและไม่สอบถามเลยเช่นนี้ได้อย่างไร
โจวชูจิ่นมองน้องสาวที่ร้องขอความเมตตาจากนางนั้นแล้วนางก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น กว่าครู่ใหญ่ถึงทำให้ตัวเองสงบอารมณ์ลงมาได้ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่กับข้าชั่วคราวไปก่อน ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองเป่าติ้งนั้น เจ้าห้ามออกจากเรือนของตัวเองเป็นอันขาด หากข้าพบว่าเจ้าลักลอบพบหน้ากับผู้อื่น ข้าจะไปขอสัญญาซื้อขายตัวของชุนหว่านและฝานหลิวซื่อจากท่านพ่อและขายพวกนางไปยังที่ห่างไกลทันที”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเชื่อฟังคล้ายกับลูกแมวตัวหนึ่ง
โจวชูจิ่นมองแล้วก็ห้ามใจไม่อยู่ น้ำเสียงจึงอบอุ่นขึ้นหลายส่วน กล่าวว่า “หากเจ้ารู้สึกเบื่อก็อ่านบทกวีอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็ปักลายดอกไม้ทำงานเย็บปักก็ได้ หากไม่ได้การอีกก็ให้เสี่ยวถานเล่นเตะลูกขนไก่เป็นเพื่อนเจ้า…”
จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพียงไม่อนุญาตให้พบหน้าท่านน้าฉืออีกเท่านั้น
โจวเสาจิ่นเข้าใจเจตนาของพี่สาว กล่าวให้คำมั่นซ้ำๆ โจวชูจิ่นถึงได้มีสีหน้าสงบลงมาเล็กน้อย
ทางด้านของเฉิงฉือเมื่อได้รับข่าวแล้ว รู้ว่าโจวเสาจิ่นสบายดี เพียงแต่ถูกกักบริเวณไม่อนุญาตให้พบเขาเท่านั้น หัวใจที่แขวนอยู่ถึงได้วางลงมาได้
เวลาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนจำนวนมากมักจะโยนความรับผิดชอบไปไว้ที่สตรีโดยตรง กฎที่เบาหน่อยก็ดุด่า กฎที่หนักหน่อยก็โบยตี เขากลัวว่าเสาจิ่นจะได้รับความลำบากเพราะเขา
โชคดีที่โจวชูจิ่นเป็นอย่างที่เสาจิ่นพูดเอาไว้ เป็นทั้งแม่และพี่สาว รักใคร่นางเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ไม่ให้พวกเขาพบหน้ากันเท่านั้น
เฉิงฉือไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…คิดไม่ถึงว่าจะถูกชูจิ่นมองระแคะระคายออก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางจะต้องขอให้ใต้เท้าโจวช่วยตัดสินใจเป็นแน่ ข้าคิดว่าถือโอกาสตอนที่จดหมายของชูจิ่นยังไปไม่ถึงเมืองเป่าติ้งนี้ไปเมืองเป่าติ้งด้วยตัวเอง ไปพบใต้เท้าโจวสักครั้งหนึ่ง ไปพูดเรื่องสู่ขอกับเขา”
เขายังหน้าไม่หนาพอจะพูดต่อหน้ามารดาว่าเขาปรารถนาจะล่วงเกินเสาจิ่นแล้วถูกโจวชูจิ่นมาเจอเข้าโดยไม่ตั้งใจ
บุตรชายของตัวเองตนจะไม่รู้หรือ
หากเขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ย่อมมีวิธีทำให้ผู้อื่นไม่รู้
ต่อให้เป็นการเปิดเผยหน้ากากออกมา โดยมากก็โจวเสาจิ่นที่ปิดไม่มิด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่คิดจะเปิดโปง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากว่าจดหมายของชูจิ่นส่งไปถึงเมืองเป่าติ้งแล้วเล่า”
เฉิงฉือกล่าวอย่างสงบว่า “ไม่มีทางขอรับ ข้าย่อมไปถึงเมืองเป่าติ้งก่อนจดหมายของชูจิ่นอย่างแน่นอน”
ซึ่งก็หมายความว่าต้องใช้กลอุบายแล้ว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วรู้สึกกังวลใจแทนเสาจิ่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เด็กคนนี้ ที่ได้พบกับเจ้าสี่นี้ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือไม่ดีกันแน่
นางกล่าว “เจ้ารีบไปเถิด! หากว่ายังหาของขวัญที่เหมาะสมไม่ได้ในตอนนี้ ก็ไปเอาจากในห้องเก็บของของข้า เมื่อพบใต้เท้าโจวแล้ว ก็ต้องระมัดระวัง ยามใดควรก้มหัวก็ก้มหัว ยามใดควรกล่าวขอโทษก็กล่าวขอโทษ เชิดหน้ายามแต่งบุตรสาว ก้มหน้ายามสู่ขอภรรยา บุตรสาวที่ผู้อื่นเลี้ยงดูขึ้นมาประหนึ่งไข่มุกดุจหยก ต้องมาช่วยดูแลบ้านของพวกเรา ช่วยเจ้าแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส คลอดและให้การอบรมบุตรชายหญิง เจ้าต้องรู้จักซาบซึ้งใจถึงจะถูก อย่าเอานิสัยน่ารังเกียจตอนเจ้าอยู่ข้างนอกนั่นไปใช้ที่ตระกูลโจว ยิ่งไม่ต้องหลงระเริงคิดว่าเสาจิ่นชอบเจ้า เจ้าก็เลยรู้สึกมีความมั่นใจ ยิ่งเป็นเช่นนี้ เจ้ายิ่งต้องให้เกียรติตระกูลโจว ยิ่งต้องดีกับเสาจิ่นให้มากถึงจะถูก คู่สามีภรรยาเช่นนี้ถึงจะครองคู่กันยาว ยิ่งอยู่ก็จะยิ่งดี” กล่าวจบ ก็ทอดถอนใจกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “เสียดายที่ข้ามีเพียงบุตรชายสามคนเท่านั้น หากมีบุตรสาวสักคนหนึ่ง ก็จะได้เป็นดั่งบ้านที่มีบุตรสาวมีคนมาสู่ขอเป็นร้อยนั่น และได้มีช่วงเวลาที่คนต้องมาดูสีหน้าของข้าบ่อยๆ แล้ว!”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า พลางกล่าว “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด! ข้ามิใช่คนไม่รู้จักเข้าหาคนประเภทนั้น ยังพอรู้หลักการนี้ดีขอรับ หากว่าท่านอยากลิ้มลองรสชาติของคนที่มีบุตรสาวแล้วมีคนมาสู่ขอเป็นร้อยนั่น ให้เสาจิ่นแต่งเข้ามาแล้วคลอดหลานสาวให้ท่านสักคน ถึงเวลานั้นให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเรื่องแต่งงานของนางก็ได้แล้วมิใช่หรือ”
“พวกเจ้าก็เพียงพูดไปอย่างนั้นก็เท่านั้น!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่หลงกล “รอให้บุตรชายหญิงถือกำเนิดมาแล้ว คงจะหวงแหนจนไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีแล้ว เจ้าไม่ต้องมาหลอกให้ข้าดีใจเล่นอยู่ตรงนี้ รีบไปโน้มน้าวใต้เท้าผู้เป็นว่าที่พ่อตาให้ได้ก่อนถึงจะมั่นใจ ไม่อย่างนั้นจะไปเอาภรรยาและบุตรชายหญิงมาจากที่ใดกัน”
นึกถึงตอนนั้น นางก็พูดกับบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองเช่นนี้เหมือนกัน
ผลปรากฏว่าหลังจากแต่งงานแล้ว แต่ละคนต่างก็ไปมีครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองกันหมด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็เช่นนี้กันทั้งนั้น
ตอนนางเป็นสาวก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ล้วนนึกถึงครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ
เฉิงฉือกลับกล่าวล่อหลอกฮูหยินผู้เฒ่าว่า “เสาจิ่นไม่เหมือนผู้อื่น เป็นคนที่ท่านดูแลมาจนเติบใหญ่ ต่อไปเมื่อแต่งเข้ามาแล้ว เรื่องภายในเรือนหลังนี้ก็ต้องให้ท่านช่วยชี้แนะอยู่ดี ขอเพียงเมื่อถึงเวลานั้นท่านอย่าได้ปัดความรับผิดชอบทิ้งก่อนก็แล้วกัน!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่ายศีรษะยิ้มๆ กล่าวว่า “ภายใต้โลกหล้านี้เป็นดินแดนของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า ข้าแก่แล้ว บางเรื่องพวกเจ้าก็ต้องตัดสินใจจัดการด้วยตัวเอง”
แต่หลังจากที่เฉิงฉือออกไปแล้ว นางกลับนั่งอยู่หน้ากระจกและมองตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ขยับเข้าใกล้กระจกพลางกล่าวกับสื่อมามาว่า “ดูเหมือนผมขาวของข้าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอีกแล้ว”
นับตั้งแต่นายท่านผู้เฒ่าจากไป ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองอีกเลย ค่อยๆ มีผมขาวงอกขึ้นมา สื่อมามาและคนอื่นๆ เองก็หว่านล้อมให้ฮูหยินผู้เฒ่าย้อมผม ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับโบกมือปฏิเสธ กล่าวว่า ย้อมอะไรกัน อายุเท่าไรควรเป็นเช่นไรก็ให้เป็นไปตามอายุ ข้าย้อมผมแล้วจะกลายเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีได้จริงๆ หรืออย่างไร
เหตุใดเรื่องผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเริ่มมาสนใจเรื่องผมหงอกของตัวเองขึ้นมาเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเป็นนัยว่า “ข้าคิดดูแล้ว เจ้าใหญ่นั้นข้าช่วยเขาเลี้ยงเจิงเจี่ยเอ๋อร์และเซียวเจี่ยเอ๋อร์มาจนเติบใหญ่ ส่วนเจ้ารองข้าช่วยเขาเลี้ยงเซิงเจี่ยเอ๋อร์มาจนโต เมื่อเจ้าสี่แต่งงานแล้ว อย่างไรข้าก็ต้องช่วยเขาเลี้ยงเจี่ยเอ๋อร์ให้ได้สักคนถึงจะใช้ได้!”
ที่แท้ก็เป็นเพราะกลัวว่านายท่านสี่จะหาว่านางอายุมากแล้วนี่เอง!
สื่อมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นท่านต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ต่อไปนายท่านสี่ทางด้านโน้นยังหวังให้ท่านช่วยเป็นคนดูแลบ้านเรือนให้เขาอยู่นะเจ้าคะ!”
นางคิดว่าเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินคำพูดนี้แล้วจะต้องกล่าวถ่อมตนสักครั้งหนึ่งเป็นแน่ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง กล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน บ้านของเจ้าใหญ่และเจ้ารองนั้นไม่มีอะไรให้ข้าต้องเป็นห่วง หากเจ้าสี่แต่งกับเสาจิ่นแล้ว เด็กผู้นั้นยังเด็กออกปานนั้น อย่างไรช่วงปีแรกๆ ก็ต้องช่วยเหลือพวกเขาสักหน่อย!”
สื่อมามาเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินเชิญฮูหยินรองตระกูลฟางและฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปเป็นแขกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มทว่าไม่ได้เอ่ยคำใด
ณ ซอยซิ่งหลิน แม่นมของหยวนซื่อกำลังช่วยหยวนซื่อเลือกผ้าอยู่ในห้องเก็บของ
ไม่ง่ายเลยกว่าหยวนซื่อจะเลือกผ้าสีเขียวเข้มทอลายกลีบดอกไม้และกิ่งไม้ได้พับหนึ่ง สั่งการบอกอวิ๋นปินสาวใช้ใหญ่คนสนิทว่า “เอาไปให้หวังเหนียงจื่อ ให้นางช่วยทำชุดเพ่ยจื่อให้ข้าสักตัวหนึ่ง”
อวิ๋นปินรับคำแล้วถอยออกไป
หยวนซื่อจากเมืองจินหลิงมา พาหวังเหนียงจื่อที่โรงเย็บปักของซอยจิ่วหรูมาด้วย
นางกล่าวกับแม่นมของนางว่า “ตอนนี้ย้ายเข้ามาแล้วถึงรู้ว่า ซอยซิ่งหลินแห่งนี้คับแคบเกินไปจริงๆ แม้แต่จะสร้างเรือนเย็บปักสักเรือนก็ทำไม่ได้…เมื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นแต่งเข้ามา จำนวนคนในบ้านก็จะยิ่งมากขึ้นแล้ว คงไม่อาจมอบเรื่องทุกอย่างให้หวังเหนียงจื่อทำทั้งหมดหรอกกระมัง ข้าว่าต้องเพิ่มคนให้หวังเหนียงจื่อสักคนถึงจะถูก ไม่รู้ว่าสาวใช้ในบ้านมีใครมีฝีมือเย็นปักดีๆ บ้าง”
แม่นมผู้นั้นขานรายชื่อให้หยวนซื่อฟังไปสองสามรายชื่อ หยวนซื่อล้วนไม่พึงพอใจ สุดท้ายกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ซื้อตัวจากข้างนอกเข้ามาสักคนก็แล้วกัน”
แม่นมขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” สีหน้าเผยความลังเลออกมา
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ดูออกว่านางอารมณ์ดียิ่งนัก
แต่แม่นมยังคงลังเลอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “ให้คุณหนูหกตระกูลฟางแต่งเข้ามา…จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
คุณหนูหกตระกูลฟางเพิ่งจะมีอายุสิบหกปี ห่างจากนายท่านสี่ถึงสิบกว่าปี!
นอกจากนี้คุณหนูหกตระกูลฟางผู้นั้นยังเติบโตมาอย่างดวงใจที่ประคองเอาไว้ในอุ้งมือ นายท่านสี่กลับเป็นคนเย็นชาและดุดันมากผู้หนึ่ง ทั้งสองคนแตกต่างกันมากขนาดนี้จะไปด้วยกันได้หรือ
หยวนซื่อเห็นว่าภายในห้องไม่มีคนรับใช้ข้างกายอยู่แล้ว จึงกล่าวอย่างมีนัยว่า “ก็เพราะคุณหนูหกตระกูลฟางเติบโตขึ้นมาอย่างดีประหนึ่งชุบตัวอยู่ในขวดน้ำผึ้ง จิตใจความนึกคิดก็เลยบริสุทธิ์ว่าง่าย ข้าถึงมีความคิดอยากจะช่วยเป็นแม่สื่อให้น้องสี่ เจ้าไม่รู้อะไร ฮูหยินผู้เฒ่านั้นร่ำรวยยิ่งนัก! แค่หีบสัมภาระที่ขนย้ายไปที่ประตูเฉาหยางก็มีถึงสองร้อยหกสิบกว่าหีบแล้ว อีกทั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่านั้นเอนเอียงจนไปถึงรักแร้แล้ว น้องสะใภ้รองเป็นคนไม่สนใจอะไรผู้หนึ่ง หากน้องสะใภ้สามไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับข้า ต่อให้ข้ามีความสามารถที่คดโกงสวรรค์มา ก็ไม่อาจต้านทานคนที่มีคนหนุนหลังอยู่ได้หรอก!”
ที่แท้เป็นเพราะเห็นว่าคุณหนูรองหกตระกูลฟางควบคุมได้ง่ายนี่เอง
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่หลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ
แม่นมอดกล่าวไม่ได้ว่า “ฮูหยิน ข้าว่าเรื่องนี้ควรจะต้องคิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจ หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นด้วย ท่านทำเช่นนี้จะมิทำให้ตระกูลฟางขุ่นเคืองใจหรอกหรือ ท่านมิสู้ลองหารือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูก่อนแล้วค่อยเชิญฮูหยินรองฟางและฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาเป็นแขกที่บ้านก็ไม่ยังไม่สาย”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคงต้องหยั่งเชิงดูทีท่าของฮูหยินรองฟางและฮูหยินใหญ่เลี่ยวก่อนกระมัง อย่าให้กลายเป็นว่าพวกเรากระตือรือร้นอยู่ฝ่ายเดียวถึงจะถูก!” ขณะที่กล่าว หัวคิ้วของนางก็ขมวดมุ่นเล็กน้อย พึมพำกล่าวว่า “แต่ว่าบ้านหลังนี้ก็คับแคบเกินไปจริงๆ…ตอนนี้พวกเราและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว นายท่านใหญ่เป็นบุตรชายคนโต การที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักอยู่ที่ประตูเฉาหยางนานเช่นนี้อย่างไรก็ดูไม่ค่อยดีนัก คนที่รู้ก็จะพูดว่าฮูหยินผู้เฒ่าชอบบ้านที่ประตูเฉาหยางเพราะกว้างขวาง แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าโกรธนายท่านใหญ่เรื่องแยกตระกูล เข้าใจผิดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากแยกตระกูล และคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านใหญ่มีปัญหากัน แต่เจียซ่านกำลังจะแต่งงานแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าย้ายกลับมาแล้วจะพักอยู่ที่ไหน คงไม่อาจให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปพักอยู่ที่เรือนด้านหลังหรอกกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่าร่ำรวยและสุขสบายมาตลอดชีวิต ไม่เคยได้รับความลำบากเช่นนี้มาก่อน! นายท่านใหญ่ยังเป็นกังวลกับข้าอยู่เลย! แต่ข้าจะทำอะไรได้ ข้าจะเสกสถานที่หนึ่งออกมาได้หรืออย่างไร…
…ข้าคิดดูแล้ว ต้องเปลี่ยนบ้านที่หลังใหญ่กว้างขวางกว่านี้สักหลังหนึ่งถึงจะถูก”
เรื่องพวกนี้ แม่นมไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
หยวนซื่อครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าบ้านที่พักอาศัยอยู่ตอนนี้เล็กเกินไป
กระทั่งเฉิงจิงกลับมา นางก็เล่าความคิดของตนให้เฉิงจิงฟัง
ช่วงนี้เฉิงจิงเองก็ไม่ค่อยสบายใจเรื่องที่มารดาพักอยู่ที่ประตูเฉาหยางเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีเงินพอจะเปลี่ยนบ้านหลังที่ใหญ่กว่านี้ได้ ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างห้ามไม่อยู่พลางกล่าว “เรื่องนี้ข้าจะหารือกับท่านแม่เอง เจ้าอย่าทำให้วุ่นวาย บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่จื้อกงสร้างขึ้นมา อายุกว่าร้อยปีแล้ว ตอนที่ผู้อาวุโสทั้งหลายมารับราชการอยู่ที่เมืองหลวงล้วนพักอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น แม้แต่เจ้าสี่เองก็คลอดที่นี่…พอพูดว่าจะขายบ้านหลังนี้ก็จะขายง่ายๆ เลยได้อย่างไร”
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี หยวนซื่อรู้จักนิสัยของสามีดี
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาล้วนไม่สนใจ ปล่อยให้นางจัดการเอง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮูหยินผู้เฒ่าและตระกูลเฉิง เขาจะจัดการด้วยตัวเอง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ นางก็พยักหน้าหงึกๆ ดูเคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับทำให้เฉิงจิงลำบากใจอย่างเหลือล้น “เช่นนั้นหากท่านแม่ย้ายกลับมาแล้วจะอยู่ที่ใด ถ้าหากมิใช่เพราะเจียซ่านกำลังจะแต่งงาน ถึงเวลานั้นต้องจัดพิธีมงคลที่เรือนหลักล่ะก็ ข้าก็คงจะเก็บเรือนหลักเอาไว้ให้ท่านแม่ไปตั้งนานแล้ว แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี นายท่านใหญ่ท่านต้องช่วยข้าตัดสินใจถึงจะถูก”