ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 454 โต้เถียง
หยวนซื่อฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจในน้ำเสียงของบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนที่ตนอุ้มท้องมาสิบเดือนกว่าจะคลอดออกมา เหตุใดนางต้องพูดเข้าข้างฮูหยินผู้เฒ่าด้วย
หรือว่านี่จะเป็นผลร้ายที่ทิ้งนางไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาตั้งแต่เล็กอย่างนั้นหรือ
หยวนซื่อกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “เจ้าเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วจะไปรู้อะไร ข้าตกลงกับฮูหยินรองตระกูลฟางแล้วว่าจะส่งเสริมให้อาเซวียนแต่งกับท่านอาสี่ของเจ้า ตอนนี้ท่านย่าของเจ้ากลับคำพูดของตัวเอง เจ้าจะให้ข้าไปอธิบายกับพวกญาติๆ เหล่านี้ว่าอย่างไร เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าเรื่องนี้จะทำร้ายอาเซวียนและตระกูลฟางมากมายขนาดไหน”
คำกล่าวหานี้ร้ายแรงเกินไปแล้ว
นอกจากนี้นางไม่เชื่อว่าท่านย่าจะทำเรื่องกลับกลอกกลับคำพูดของตัวเองได้!
เฉิงเจิงไม่พูดไม่ได้ “ท่านย่าได้ตอบตกลงเมื่อไรว่าจะให้ท่านอาสี่แต่งกับอาเซวียนกันเจ้าคะ”
คำถามของบุตรสาวทำให้หยวนซื่อโมโหมากยิ่งขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “วันนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยหรืออย่างไร ข้ากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวผลักดันอาเซวียนอยู่ตลอด ฮูหยินรองฟางก็เอ่ยปากอนุญาตเองว่าให้อาเซวียนอยู่ชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนท่านย่าของเจ้า…”
เฉิงเจิงแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจอย่างอดไม่อยู่
ยังมีฮูหยินใหญ่เลี่ยวอีกผู้หนึ่งด้วย!
ทั้งหมดล้วนเป็นหญิงสาวจากตระกูลฟางทั้งสิ้น
เหตุใดมารดามักจะไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือเรื่องหลักสิ่งไหนคือเรื่องรองอยู่ตลอดด้วยเล่า
“ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ!” เฉิงเจิงกล่าว “ข้าเองก็อยู่ด้วย! ข้าเห็นท่าทางของฮูหยินรองฟางมุ่งมาดปรารถนาจะเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงให้ได้ในบัดดล ผู้ใดคิดอยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงก็เกี่ยวดองกันได้ง่ายๆ เลยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตระกูลเฉิงของพวกเราจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว เป็นสวนดอกไม้หลังบ้านที่ใครคิดอยากเข้าก็เข้า คิดอยากออกก็ออกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ตอนนั้นท่านเองก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ ท่านย่าได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ ได้กล่าวคำมั่นหรือรับปากอะไรตระกูลฟางหรือไม่ แล้วท่านมาพูดว่าท่านย่ากลับคำพูดของตัวเองได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านปู่จากไปแล้ว เรื่องแต่งงานของท่านอาสี่จึงควรให้ท่านย่าเป็นผู้ตัดสินใจ ท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะแนะนำคนให้ท่านย่า แต่ท่านย่าและท่านอาสี่จะตอบรับหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว ท่านเข้าไปแทรกแซงเหนือหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร งานแต่งของเจียซ่านท่านย่าสอดมือเข้ามายุ่งหรือไม่ งานแต่งของเซียวเจี่ยเอ๋อร์ท่านย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งหรือไม่…
…ท่านย่าไม่เพียงไม่สอดมือเข้ามายุ่ง แต่ยังบอกท่านหลายครั้งด้วยว่าตระกูลเฉิงไม่จำเป็นต้องดองกับตระกูลหมิ่นเท่านั้น แล้วท่านฟังหรือไม่ แต่ท่านย่าเคยเรียกท่านพ่อไปเพื่อยืนกรานให้พวกท่านหาคู่แต่งงานที่เหมาะสมกว่าให้เจียซ่านหรือไม่ ก็เพราะท่านย่ากลัวว่าเมื่อสะใภ้แต่งเข้ามาแล้วท่านจะไม่โปรดปราน ทำให้บุตรสาวของผู้อื่นต้องอยู่อย่างลำบาก และทำให้เจียซ่านต้องลำบากใจทั้งสองฝั่ง…
…อะไรที่ตัวเองไม่ชอบก็อย่าทำกับผู้อื่น!…
…ท่านแม่ ต่อไปท่านยุ่งเรื่องของประตูเฉาหยางให้น้อยลงจะดีกว่า!”
เฉิงเจิงกล่าวประโยคสุดท้ายด้วยความเคร่งเครียดและจริงจังยิ่ง
หยวนซื่อโกรธจนเกือบจะหลั่งโลหิตออกมาแล้ว
นี่นางช่างเลี้ยงบุตรสาวมาได้ดีจริงๆ!
แม้แต่ความกตัญญูขั้นพื้นฐานยังไม่รู้จัก
ต้องการทำให้นางโมโหตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้ถึงจะพอใจ!
นางชี้ไปที่ประตูพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ออกไป เจ้าไสหัวไปให้ไกลเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ให้ค่าตระกูลฝั่งมารดาคนนี้ ข้าเองก็ไม่ให้ค่าบุตรสาวอย่างเจ้าเช่นกัน!” จากนั้นกล่าวเสียงดังอย่างเดือดดาลว่า “งานแต่งของเจ้ามิใช่ว่าย่าของเจ้าเป็นคนเลือกมาหรอกหรือ หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ข้าคงให้เจ้าแต่งไปที่ตระกูลฟางแล้ว!”
เฉิงเจิงถูกคำพูดของมารดาทิ่มแทงจนเป็นแผลลึก
นางน้ำตาคลอเบ้า กล่าวเสียงขรึมว่า “ท่านแม่ งานแต่งของข้าท่านย่าเป็นคนตัดสินใจให้ ตอนนั้นก็เคยถามท่านแล้ว ท่านบอกว่าต้องการให้ข้าแต่งไปที่ตระกูลฟาง แต่ท่านย่าให้คนไปสืบมาแล้วพบว่าคุณชายของตระกูลฟางผู้นั้นเป็นโรคที่ไม่สมควรเอ่ยถึง ตอนนี้เสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้ว ถ้าหากให้ข้าแต่งออกไปตามความเห็นของท่านล่ะก็ ตอนนี้ข้าคงจะกลายเป็นหม้ายไปแล้วกระมัง”
ดวงหน้าของหยวนซื่อเต็มไปด้วยความตกใจ
บุตรสาวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
นางอ้าปากค้าง กว่าครู่ใหญ่ก็ไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมาได้สักคำ
เฉิงเจิงสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความเสียใจ
เฉิงสวี่ค่อยๆ เดินออกมาจากตรงหัวมุมของเฉลียงทางเดิน
เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเห็นนางในงานวันคล้ายวันเกิดของท่านย่าขึ้นมา
คล้ายกับว่าเรื่องที่สวนดอกไม้นั่นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับนางเลยแม้แต่นิดเดียว
นางดูงดงามมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ยังดูเปล่งปลั่งมีสง่าราศี
ราวกับหยกสลักชิ้นหนึ่ง ที่สุดท้ายก็เปล่งประกายงดงามออกมา
ทว่าตอนนี้นางกำลังจะแต่งกับท่านอาสี่แล้ว
ท่านอาสี่คนที่เขาแหงนหน้ามองด้วยความชื่นชมมาตั้งแต่เด็กผู้นั้น
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
ตกลงว่าระหว่างเรื่องนี้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นกันแน่
เฉิงสวี่ค่อยๆ เดินเข้าไปในเรือนหลัก
ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้ภายในห้องไปหลบอยู่ที่ไหนกันหมด หยวนซื่อเอนตัวนอนสะอื้นไห้เบาๆ อยู่บนหมอนของตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างเพียงลำพัง
เฉิงสวี่มองนางเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินเบามือเบาเท้าเข้าไปตบที่ไหล่ของมารดาเบาๆ
หยวนซื่อรีบคว้ามือของบุตรชายเอาไว้ประหนึ่งคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ กล่าวอย่างร้อนรนว่า “พี่สาวของเจ้ายิ่งโตนางก็ยิ่งไม่เชื่อฟังแล้ว ถึงกับกล้าถากถางข้าแล้ว ท่านย่าของเจ้า…”
เมื่อก่อนเขามักจะรู้สึกว่ามารดานั้นน่าสงสาร
เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่เพราะรักบิดา ดังนั้นก็เลยแต่งเข้ามาโดยไม่รีรอ พี่ใหญ่และพี่รองล้วนเติบโตขึ้นมากับการเลี้ยงดูของท่านย่า นิสัยหรือการกระทำล้วนเหมือนท่านย่า เวลาพูดจาหรือทำอะไรมักจะให้ความรู้สึกที่คล้ายกับดูแคลนมารดาออกมาให้เห็นอยู่รางๆ บิดาก็รับราชการอยู่ต่างเมืองเป็นเวลานาน คนที่พอจะอยู่เป็นเพื่อนมารดาได้จึงมีแต่เขาเท่านั้น
แต่ท่านย่ากลับแตกต่างออกไป
นางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือพวกท่านอา หรือแม้กระทั่งท่านผู้นำตระกูลจวนรองอย่างเฉิงซวี่ ล้วนอย่าได้คิดจะประจบสอพลอต่อหน้านางได้
ฉะนั้นต่อให้มารดาจะทำลายความเชื่อใจของเขา ต่อให้เขาจะพร่ำบ่นอยู่ในใจไม่จบไม่สิ้น ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยนึกเกลียดชังมารดามาก่อน
แต่ครั้งนี้ เขากลับคล้ายกับว่าสูญสิ้นความอดทนแล้วในทันใด กล่าวตัดบทคำพูดของมารดาอย่างอดไม่อยู่ว่า “ท่านแม่ ต่อไปท่านอย่าทะเลาะกับพี่ใหญ่และพี่รองอีกเลย พวกนางล้วนเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ถ้ายังช่วยเหลือที่บ้านอยู่ก็ถือเป็นน้ำใจ แต่หากไม่ช่วยก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ท่านดุด่าพวกนางเช่นนี้ จะทำให้บ่าวไพร่ในบ้านดูแคลนพวกนางได้นะขอรับ”
น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปของหยวนซื่อเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวอย่างสะเทือนใจว่า “เจ้าคนเนรคุณกินบนเรือนขี้บนหลังคาผู้นี้ มีคนที่ช่วยคนนอกอย่างเจ้าด้วยหรือ พวกนางอยากกลับมาก็กลับมา ไม่อยากกลับมาก็ไม่ต้องกลับมา ข้าต้องอาวรณ์พวกนางด้วยหรือ! หากมิใช่เพราะมีตระกูลเฉิง พวกนางจะได้แต่งกับตระกูลที่ดีขนาดนี้หรือ ให้พวกนางไม่ต้องกลับมาก็ดีแล้ว คอยดูว่าข้าจะไปขอร้องอะไรพวกนางหรือไม่”
เฉิงสวี่มีสีหน้าสลดหดหู่ใจ
บางทีคงมีเพียงบิดาเท่านั้นที่ปลอบโยนมารดาและทำให้มารดามีความสุขได้
เฉิงสวี่มิได้กล่าวคำใด
พอหยวนซื่อเห็นว่าไม่มีคนขานรับคำ อีกทั้งเพราะได้ตะโกนระบายออกไปแล้วครั้งหนึ่ง ความทุกข์ระทมและความกรุ่นโกรธในใจก็มลายหายไปแล้วกว่าครึ่ง อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลงมา
เฉิงสวี่ลังเลกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้ถามมารดาว่า “น้องสาวรองตระกูลโจวกำลังจะแต่งกับท่านอาฉือจริงๆ หรือขอรับ”
หยวนซื่อได้ยินแล้วอารมณ์ก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ลงจากตั่งและสวมรองเท้าด้วยอาการกระวนกระวายเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องไปดูที่ประตูเฉาหยางสักหน่อย ครั้งนี้ท่านย่าของเจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ อาเซวียนไม่ดีตรงไหน ท่านย่าของเจ้าถึงไปเลือกคุณหนูรองตระกูลโจว นางไม่รู้หรืออย่างไรว่า…” กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของนางก็หยุดลงกะทันหัน สีหน้าดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางมัวแต่คิดจะตัดพ้อต่อว่าฮูหยินผู้เฒ่า ทว่ากลับลืมไปว่าบุตรชายก็เคยพิสมัยโจวเสาจิ่นมาก่อนเช่นกัน…
เฉิงสวี่ยิ้มขมขื่น ปลอบโยนมารดาว่า “ไม่เป็นไรขอรับ! ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ตอนที่ข้ายังมีโอกาสได้มากลับไม่ทุ่มเทแรงกายไปเอามาให้ได้ ตอนนี้ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว จึงไม่ต้องไปคิดให้เปล่าประโยชน์แล้ว ข้าเพียงลองถามดู เพียงคิดไม่ถึงเท่านั้น…”
ความเสียใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเขา
หยวนซื่อเริ่มกล่าวทับถมโจวเสาจิ่นขึ้นมาอีกครั้ง “นอกจากความงามแล้ว นางยังมีอะไรอีก รอให้นางอายุมากเนื้อหนังแห้งเหี่ยวเจ้าก็จะรู้เองว่าสตรีที่เอาชนะใจผู้อื่นได้ด้วยความงามนั้นสุดท้ายแล้วก็มิใช่ทางออกที่ยั่งยืน ท้ายที่สุดยังต้องมีคุณธรรม ความรู้ความสามารถและพื้นเพของครอบครัวอีกด้วย…”
เฉิงสวี่ไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้
เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ท่านแม่ ข้าไปพบท่านย่าเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่ เรื่องของตระกูลฟางควรจะทำอย่างไรนั้น เกรงว่าท่านคงต้องหารือกับท่านย่าถึงจะใช้การได้”
ไม่อย่างนั้นจะอธิบายกับตระกูลฟางว่าอย่างไร!
ดวงหน้าของหยวนซื่อพลันดำมืดไปทั่วทุกแห่ง
เฉิงสวี่ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเพื่อนหยวนซื่อ
ส่วนเฉิงเจิงตรงไปหาเฉิงเซียว
มาโดยที่มิได้ส่งเทียบมาให้ก่อน
เฉิงเซียวรีบพาเฉิงเจิงไปรับรองในห้องชั้นใน
เฉิงเจิงเองก็ไม่อ้อมค้อม เล่าเรื่องงานแต่งระหว่างเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นให้น้องสาวฟังอย่างตรงไปตรงมา
ครู่ใหญ่กว่าเฉิงเซียวจะได้สติกลับมา แต่เมื่อได้สติกลับมาแล้วก็หัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาฉือจะต้องถูกใจเสาจิ่นมานานแล้วเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ให้พวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนนางหรอก” กล่าวจบ นางเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “เสาจิ่นยังมิได้ปักปิ่นเลยกระมัง ให้ข้าเรียกเด็กสาวที่ยังมิได้ปักปิ่นว่าท่านอาสะใภ้ ข้าคงต้องตั้งใจคิดดีๆ ถึงจะเรียกออกมาได้!”
เฉิงเจิงจึงเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าคิดแค่เรื่องพวกนี้หรือ”
“ไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้วจะให้คิดเรื่องอะไรเจ้าคะ” เฉิงเซียวมิได้รู้เรื่องที่สวนดอกไม้นั่น นางกล่าวยิ้มๆ อย่างสงบว่า “เป็นเรื่องที่พวกผู้ใหญ่ต่างตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว หรือว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะคำคัดค้านของพวกเราอย่างนั้นหรือ แทนที่จะรู้สึกขุ่นเคืองใจจนไม่มีความสุขไปทั้งวัน มิสู้คิดให้ถ่องแท้แล้วไปแสดงความยินดีต่อหน้าผู้ใหญ่อย่างมีความสุขจะดีกว่า! นอกจากนี้ข้ารู้สึกว่าเสาจิ่นเป็นคนนิสัยดีมาก ต่อไปเมื่อเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กับท่านแม่แล้ว ย่อมไม่ถกเถียงอะไรกับท่านแม่อย่างแน่นอน หากครอบครัวสมัครสมานกลมเกลียวกันย่อมนำมาซึ่งความรุ่งเรือง ไม่แน่ว่าอาจเพราะเหตุนี้ท่านย่าถึงได้เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ก็เป็นได้”
“เจ้าช่างพูดได้ผ่อนคลายเสียจริง!” เฉิงเจิงกล่าวกระแนะกระแหนเล็กน้อย ทว่าอารมณ์กลับค่อยๆ สงบลงมา
นางเล่าเรื่องที่ตนทะเลาะกับหยวนซื่อให้น้องสาวฟัง
อาจเพราะเป็นบุตรสาวคนโต เฉิงเจิงก็เลยมีนิสัยแข็งมากเหมือนกัน บางครั้งแม่ลูกจึงขัดแย้งกันบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉิงเซียวกล่าวปลอบโยนนางว่า “นิสัยของท่านแม่ก็เป็นเช่นนั้น ท่านก็อย่าเอามาคิดจริงจังอะไรกับนางเลย” ขณะที่กล่าว หัวข้อสนทนาก็วกกลับมาที่เรื่องของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นอีกครั้ง “ฤกษ์วันแต่งของเจียซ่านถูกกำหนดให้เป็นช่วงเดือนสอง ไม่รู้ว่าฤกษ์วันแต่งของท่านอาฉือจะกำหนดเป็นเมื่อใด หลายวันก่อนท่านแม่ยังให้ข้าไปสอบถามดูว่ามีพ่อครัวดีๆ ที่ไหนบ้างหรือไม่ ตอนเจียซ่านแต่งงาน นางอยากใช้พ่อครัวของทางใต้ ไม่รู้ว่างานแต่งของท่านอาฉือก็จะ…ข้ารู้แล้ว คงต้องไปสอบถามดูก่อนกระมัง ประเดี๋ยวข้ากับท่านไปที่ประตูเฉาหยางด้วยกันสักครั้งดีหรือไม่ ไปดูว่าท่านย่าต้องการให้ช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ท่านแม่วุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเจียซ่าน ทั้งยังมีเรื่องของอาเซวียนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตรงหน้าด้วย แปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมไม่อาจทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยท่านย่าได้อย่างแน่นอน ท่านอาสะใภ้รองก็ร่างกายไม่แข็งแรงไม่อาจเหน็ดเหนื่อยได้ ท่านย่าอายุมากแล้ว หากพวกเราไม่ออกหน้าไปช่วย หากทำให้ท่านย่าเหน็ดเหนื่อยจนล้มป่วยไปจะทำอย่างไร”
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว สองพี่น้องก็รู้สึกเห็นใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงเจิงและเฉิงเซียวจึงไปที่ประตูเฉาหยางอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสนทนากับหยวนซื่ออยู่ในห้อง บ่าวรับใช้ข้างกายล้วนถอยออกไปหมดทุกคน มีเพียงเฉิงสวี่ยืนอยู่ที่เฉลียงทางเดินคนเดียวเท่านั้น
หยวนซื่อพูดประโยคหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ตอบประโยคหนึ่ง อะไรทำนอง “ตอนนั้นหากมิใช่เจ้าเตือนสติข้าบอกว่าอาเซวียนไม่เลว ข้าคงยังคิดไม่ถึงว่าเสาจิ่นเองก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน” หรือ “เจ้าเองก็เป็นสตรีเหมือนกัน เหตุใดเพียงเพราะเจียซ่านเคยชอบเสาจิ่นมาก่อนก็มาพูดว่าเสาจิ่นเป็นคนไม่งามสง่าแล้ว พวกเราและตระกูลโจวได้ทำการแลกใบดวงชะตาและวางของหมั้นกันเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเสาจิ่นเป็นน้องสะใภ้ของเจ้า เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กับเจ้าแล้ว เจ้าจะพูดจาอะไรต้องระมัดระวังด้วย ดูถูกเหยียดหยามนาง ก็เท่ากับดูถูกเหยียดหยามตระกูลเฉิงและดูถูกเหยียดหยามตัวเจ้าเองด้วย” แล้วก็ “ในเมื่อเจ้าถูกใจอาเซวียน แล้วมัวทำอะไรอยู่ เจ้ากลับจิงเฉิงมาก็สองเดือนกว่าแล้วกระมัง” และ “เจ้ายังทำอะไรลับหลังข้าอีกบ้าง เจ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับถึงจะถูก อย่าหวังว่าข้าจะแบกหน้าแก่ๆ นี้ไปขอโทษตระกูลฟางแทนเจ้า!”
เพียงสี่ห้ายก หยวนซื่อก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอกกลับจนไร้คำจะเอื้อนเอ่ยได้อีก
เฉิงสวี่ลอบถอนหายใจ
ชั่วชีวิตนี้ เกรงว่ามารดาอย่าได้คิดจะชูคอต่อหน้าท่านย่าได้อีกเลย