ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 456 กำหนดวันแต่งงาน
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับบีบจมูกของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากลายเป็นคนฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
โจวเสาจิ่นถอยหลังหลบมือของเฉิงฉือ
เฉิงฉือหัวเราะร่า
ทั้งสองคนก่ายกอดพูดคุยกันอยู่บนตั่งกว่าครึ่งค่อนวัน เฉิงฉือเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว กลัวว่าประเดี๋ยวตัวเองจะดื่มด่ำอยู่ในดินแดนแห่งความอบอุ่นแสนหวานแล้วจะยิ่งไม่อยากจากไป จึงหอมแก้มโจวเสาจิ่นพร้อมกับกระซิบเสียงเบาว่า “รีบปักเอี๊ยมชั้นในให้เสร็จแล้วแต่งให้ข้าเร็วๆ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำจนคล้ายจะหลั่งโลหิตออกมาได้ ร้องคำว่า “บ้า” ใส่เฉิงฉือเสียงหนึ่ง แล้วดันตัวเฉิงฉือออกจากประตูเรือนไป ทว่ากลับปีนขึ้นตั่งไปอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ มองเงาหลังของเฉิงฉือที่เดินจากไปผ่านช่องกระจกหน้าต่างอย่างอาลัยอาวรณ์
เฉิงฉือราวกับสัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของนาง หันศีรษะกลับมาโบกมือให้นาง แล้วถึงได้ออกจากประตูชั้นในไป
หัวใจของโจวเสาจิ่นเต้นตึกตักวุ่นวายไปหมด กว่าครู่ใหญ่ถึงได้สงบลงมาได้ มองเอี๊ยมชั้นในที่ปักเสร็จไปกว่าครึ่งในมือ สั่งให้ชุนหว่านไปเปิดหีบและหาผ้าไหมหูโจวสีม่วงไร้ลวดลายออกมาหนึ่งพับ ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนำผ้ามาเทียบบนร่างไปมา ยังกระซิบถามชุนหว่านเสียงเบาด้วยว่า “ข้าสวมสีนี้ดูดีหรือไม่”
ชุนหว่านเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “ดูดีเจ้าค่ะ ช่างขับผิวขาวเนียนดั่งหิมะแรกของท่านยิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง ตัดผ้าผืนนั้นเป็นเอี๊ยมชั้นในชิ้นหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็หาผ้าไหมหูโจวสีชมพูไร้ลวดลายออกมาอีกพับหนึ่ง แล้วก็ตัดเป็นเอี๊ยมชั้นในอีกตัวหนึ่งด้วยเช่นกัน…
ส่วนทางด้านของโจวเจิ้นนั้นเนื่องจากมีซ่งจิ่งหรานผู้เป็นเจ้ากรมการคลังและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออกกับจางฮุ่ยผู้เป็นรองเจ้ากรมโยธาทั้งสองคนออกหน้ามาสู่ขอให้เฉิงฉืออย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ซ่งจิ่งหรานผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เอาวันแต่งงานของเฉิงฉือมาผูกติดกับการขุดลอกคูคลองแม่น้ำเหลืองช่วงที่ไม่มีการทำการเกษตรในฤดูหนาว ไม่ว่าจะด้วยเหตุและผลแล้วโจวเจิ้นล้วนไม่อาจปฏิเสธได้
วันแต่งงานของโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือจึงถูกกำหนดให้เป็นวันที่สองหลังวันปักปิ่นของโจวเสาจิ่น หรือก็คือวันที่หกเดือนสิบเอ็ดนั่นเอง
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้รับกำหนดวันแต่งงานที่แน่นอนแล้วก็ดีใจจนปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด นางและพ่อบ้านใหญ่ฉินฉินโส่วเยว์เรียกตัวฉินจื่ออันและฉินจื่อผิงกลับมาทั้งหมด ให้พวกเขาช่วยกันเขียนเทียบเชิญ
ฉินจื่อผิงและจี๋อิ๋งนั้นไม่ต่างกับคู่รักคู่กัด มีเรื่องทะเลาะอึกทึกกันตลอด เพิ่งจะกำหนดวันแต่งงานเป็นวันที่สี่เดือนสิบได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง
ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองฉินจื่อผิงแล้วจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับพ่อบ้านใหญ่ฉินว่า “ช่วงเวลานี้ของปีหน้าคงจะได้ยินเสียงร้องกระจองอแงของเด็กๆ กันแล้ว”
ก็เท่ากับว่ามีทายาทสืบสกุลแล้ว
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างคิดไปในทางเดียวกันแล้วก็พากันปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามขึ้นว่า “จื่อผิงแต่งงานแล้วก็คงกลับซื่อชวนเลยกระมัง”
ฉินโส่วเยว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กข้าเคยตามบิดากลับไปครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ว่าจะลองไปดูก่อน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงโน้มน้าวว่า “เมื่อก่อนข้าไม่ชอบอยู่จิงเฉิง เนื่องจากว่าญาติพี่น้องและสหายของข้าล้วนอยู่จินหลิงกันหมด แต่ต่อมาเมื่อบิดาของพวกเขาจากไปแล้ว พวกลูกๆ ต่างอยู่จิงเฉิงหมด ข้าจึงคิดเรื่องย้ายมาอยู่จิงเฉิงอีกครั้ง จะได้อยู่ใกล้พวกลูกๆ สักหน่อย กล่าวไปกล่าวมา จะอยู่ที่ไหนล้วนเป็นเรื่องรอง ที่ไหนที่มีคนที่พวกเราคุ้นเคยและมีญาติสนิทมิตรสหายอยู่ด้วยต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด เจ้ากลับไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เพื่อธุระของตระกูลเฉิงของพวกข้าแล้ว ทำให้ถ่วงเวลาของพวกเจ้า แต่ถ้าอยู่ทางด้านโน้นแล้วไม่คุ้นชินจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่าจะต้องกลับไปให้ได้ ย้ายมาอยู่จิงเฉิงเถิด! พวกเราสองครอบครัวก็จะได้มีคนที่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้สักคนหนึ่ง”
ฉินโส่วเยว์พยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด ข้าเองก็มิใช่คนดื้อดึงประเภทนั้น ครอบครัวฝั่งจื่อโหยวพวกเขาอยากจะรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไป เช่นนั้นก็ให้พวกเขารั้งอยู่กับตระกูลเฉิงต่อไปก็แล้วกัน คนที่จื่อผิงแต่งงานด้วยคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลจี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลจี้นั้นมีฝีมือดียิ่ง ดังนั้นข้าถึงได้เตรียมจะพาพวกเขาสองสามีภรรยากลับไปที่ซื่อชวน ส่วนจื่ออัน หากเขาอยากรั้งอยู่ที่จิงเฉิง ข้าก็แล้วแต่เขา”
ดูจากความขุ่นแค้นของตระกูลเฉิงแล้ว เขาพลันรู้สึกว่าชีวิตคนนั้นแสนสั้นนัก คนที่มีชีวิตอย่างที่ใจปรารถนาได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าฉินจื่อผิงสองสามีภรรยาจะรั้งอยู่ที่ซื่อชวนกับฉินโส่วเยว์หรือไม่ ความสัมพันธ์ของตระกูลฉินและตระกูลเฉิงก็ยังเหมือนเดิมมิได้สิ้นสุดลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าอย่างพึงพอใจ
ฉินจื่ออันที่กำลังเขียนเทียบเชิญอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน กล่าวเสียงเคร่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านปู่ ข้าอยากขออะไรพวกท่านสักอย่างขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าวขึ้นว่า “เรื่องอะไรหรือ เจ้าว่ามาเถิด”
ฉินโส่วเยว์เองก็มองหลานชายของตนด้วยความแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน
ฉินจื่ออันกล่าว “ข้าอยากขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านปู่อนุญาตให้ข้าสู่ขอหนานผิงมาเป็นภรรยาขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฉินโส่วเยว์มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
แม้แต่ฉินจื่อผิงเองก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจเช่นกัน
ใบหน้าเคร่งขรึมเด็ดเดี่ยวของฉินจื่ออันขึ้นสีแดงเรื่อเป็นสองดวง กล่าวเสียงพร่าว่า “ข้าชอบหนานผิงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อมาหนานผิงหมั้นหมายกับพี่ใหญ่ ข้าจึงเห็นนางเป็นดั่งพี่สะใภ้ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่จากไปหลายปีแล้ว ข้าไม่อาจทนปล่อยให้หนานผิงเอาแต่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ที่หากไม่เย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นายท่านสี่ ก็ไปหลบสวดพระธรรมอยู่ในห้องพระเล็กเช่นนั้นได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิใช่คนหัวโบราณคร่ำครึประเภทนั้น พอได้ยินแล้วนางก็ปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าต้องไปถามหนานผิง หากนางยินดี ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย”
ฉินโส่วเยว์ไม่ได้กล่าวอะไร
ฉินจื่ออันรีบกล่าว “ท่านปู่ ข้าอยากสู่ขอหนานผิง มิใช่ว่าท่านอยากให้มีคนสายหนึ่งของพวกเรากลับไปอยู่ที่บ้านเดิมหรอกหรือ มิสู้ให้ข้ากับหนานผิงกลับไปอยู่บ้านเดิมจะดีกว่า”
อยู่ที่นั่น ไม่มีใครรู้สถานะของหนานผิง
พวกเขาจะมีชีวิตอย่างมีความสุขได้
ฉินโส่วเยว์ครุ่นคิดกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้พยักหน้าเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดเช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่า เด็กผู้นั้นมีชะตาชีวิตที่ขมขื่น ทว่าก็ไม่อาจดูแคลนนาง เรื่องนี้ต้องให้นางตอบตกลงด้วยตัวเอง”
ฉินจื่ออันลุกพรวดขึ้นมาในทันใด โขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฉินโส่วเยว์
ฉินจื่อผิงลอบก่นด่าพี่ชายอยู่ในใจไปคำรบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
เดิมทีแล้วนายท่านสี่เตรียมให้เขาไปที่ค่ายหุบเขาตะวันตก เวลานี้กลับทำให้แผนการของนายท่านสี่ยุ่งเหยิงเสียแล้ว หากนายท่านสี่รู้เรื่องจะไม่โกรธแย่หรอกหรือ!
เขายิ้มร้ายคล้ายกับยินดีกับหายนะของผู้อื่นออกมาเล็กน้อย
ทางด้านของเฉิงฉือประสบกับเรื่องยุ่งยากเข้าแล้วจริงๆ
ภายในบ้านสวนของเขาที่ตั้งอยู่ที่ต้าซิ่ง ฮั่วตงถิงยืนอยู่ในห้องลับที่จุดตะเกียงเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงเคร่งว่า “เป็นข่าวคราวที่เชื่อถือได้ขอรับ! ข้านั่งเฝ้าอยู่ที่ประตูหลังบ้านของหัวหน้าหมอหลวงด้วยตัวเองและเจอกากยาต้ม จากนั้นแบ่งกากยาต้มออกเป็นสามส่วน นำไปให้ท่านหมอที่ชังโจว เทียนจิน และจี้โจวดู เทียบยาที่ได้ออกมาตรงกับเทียบยาของหัวหน้าหมอหลวงพอดี ข้านำเทียบยาเดินทางไปที่เมืองเป่าติ้งด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ท่านหมอบอกว่าเป็นยารักษาอาการป่วยทางจิตขอรับ”
“อาการป่วยทางจิตอย่างนั้นหรือ!” เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น สมองขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว
องค์รัชทายาททรงประชวรเป็นโรคทางจิต แต่ดูเหมือนกับว่าไม่ว่าจะเป็นสำนักพระราชวังหรือว่าคนของพระราชวังบูรพาต่างไม่ทราบเรื่องเลย
แต่เนื่องจากสำนักหมอหลวงจัดเทียบยาถวายการรักษาให้องค์รัชทายาทแล้ว เช่นนั้นองค์ฮ่องเต้ต้องทรงทราบเรื่องแล้วอย่างแน่นอน
ตามกฎแล้ว คนที่เป็นโรคที่ไม่สมควรกล่าวถึงไม่อาจดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทได้
ทั้งๆ ที่องค์ฮ่องเต้ทรงทราบว่าองค์รัชทายาทเป็นโรคที่ไม่สมควรกล่าวถึงทว่ากลับให้เขาดำรงตำแหน่งรัชทายาท…เป็นเพราะทรงโปรดปรานองค์รัชทายาทเป็นอย่างมากหรือว่าเป็นเพราะองค์รัชทายาททำให้พระองค์บรรลุเป้าหมายได้กันแน่ ได้ทั้งหลบเลี่ยงเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทและได้แต่งตั้งรัชทายาทใหม่เมื่อไรก็ได้อีกด้วย
เฉิงฉือครุ่นคิดถึงเรื่องในชาติก่อนที่โจวเสาจิ่นเคยบอกมา เขาเอามือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องลับสองรอบ ความคิดค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นมา สั่งการฮั่วตงถิงว่า “ให้คนของเจ้าจับตาดูพระราชวังบูรพาและสำนักหมอหลวงต่อไป ดูว่าอาการประชวรขององค์รัชทายาทนั้นมีข้อกฎหมายอะไรให้หาได้หรือไม่ แล้วก็ดูพระราชนัดดาพระองค์โตด้วย สืบมาให้แน่ชัดว่าพระองค์ทรงทราบเรื่องที่พระบิดาของพระองค์ทรงประชวรหรือไม่”
ฮั่วตงถิงขานรับคำแล้วถอยออกไป
เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องลับครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ออกมาจากทางเดินขนาดเล็ก สั่งการหลั่งเย่ว์ว่า “เจ้านำป้ายชื่อของข้าไปพบสือควนที่พระราชวังขององค์ชายสี่ บอกว่าเที่ยงวันพรุ่งนี้ข้าขอเชิญเขาไปร่ำสุรา”
หลั่งเย่ว์ขานรับคำอย่างนอบน้อม
เฉิงฉือนั่งรถม้าออกจากประตูหลักของบ้านสวนไป
***
ณ ซอยจิ่วหรูเมืองจินหลิง นับตั้งแต่แต่งงานมาอยู่ที่เมืองจินหลิงเป็นต้นมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะได้ออกเดินทางไกล
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยืนมองบรรดาบ่าวรับใช้เคลื่อนย้ายหีบสัมภาระของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่ที่เฉลียงทางเดินของเรือนหลัก ส่วนกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ที่เกล้าผมของสตรีที่ออกเรือนแล้วยืนอยู่ที่ลานบ้าน คอยย้ำกำชับพวกบ่าวรับใช้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ระมัดระวังด้วย” พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า “สิ่งของที่บรรจุอยู่ในหีบเหล่านี้ล้วนเป็นกระเบื้องเคลือบทั้งสิ้น”
ส่วนเหอเฟิงผิงยืนอยู่ด้านหลังของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน หน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยนั้นทำให้คนเห็นแล้วก็รู้ได้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว
นางมองกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย กล่าวเสียงอบอุ่นยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่วางใจเถิด เรื่องในบ้านข้าจัดการได้เจ้าค่ะ ต่อให้มีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็มีตัวอย่างของก่อนหน้านี้ให้ดู แล้วก็มีมามามากประสบการณ์คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ ด้วย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกำลังจะแต่งงานกับเฉิงฉือแล้ว
คล้ายกับเป็นพลุลูกหนึ่งก็ไม่ปาน ทำเอาซอยจิ่วหรูระเบิดแตกออกเป็นจุณไปทั้งซอย
กว่าหลายวันฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงจะได้สติคืนกลับมา เอ่ยถามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนำจดหมายที่โจวเจิ้นเขียนส่งมาให้เล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง “…บอกว่าเสาจิ่นไปดูแลชูจิ่นช่วงอยู่เดือนที่จิงเฉิงพอดี พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปจิงเฉิงแล้ว เสาจิ่นก็ไปอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวบ่อยๆ ประจวบเหมาะกับที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังกังวลใจเรื่องงานแต่งของน้องชายฉือพอดี จึงนึกถึงเสาจิ่นขึ้นมา”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มขมขื่นพลางเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปจะนับลำดับญาติพวกนี้อย่างไรดี”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ท่านบุตรเขยยังปรารถนาให้ท่านไปเป็นแม่งานจัดพิธีปักปิ่นให้เสาจิ่นอยู่นะเจ้าคะ”
“จริงด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วพลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงบุ้ยใบ้ปากไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ที่จวนรองตั้งอยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “ความตั้งใจของนายท่านใหญ่ก็คือ มิสู้ให้ท่านแม่ใช้โอกาสนี้ไปดูจิงเฉิงสักหน่อย…เทพเซียนต่อสู้กัน มีแต่วิญญาณเล็กวิญญาณน้อยที่ต้องลำบาก หากหลบเลี่ยงออกไปได้ ก็จะดีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่แยกตระกูลเป็นต้นมา จวนรองและจวนสามก็เปิดศึกขันแข่งกัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องรายได้ของร้านตั๋วแลกเงิน จากการตัดจ่ายบัญชีหนึ่งครั้งต่อหนึ่งฤดูกาลเหมือนสมัยที่เฉิงฉือยังดูแลกิจการอยู่ก็เปลี่ยนเป็นตัดจ่ายหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีแทน จวนสี่ยังดี นอกจากเงินเก็บเก่าแล้วก็ยังมีกิจการอื่นๆ อยู่ อีกทั้งยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสมถะ ซึ่งยังเทียบเท่ากับตอนไม่มีเรื่องได้อยู่ ทว่าจวนห้านั้นมีชีวิตอยู่ด้วยรายได้จากร้านตั๋วแลกเงิน เฉิงเวิ่นบากหน้าไปขอร้องที่จวนรองหลายต่อหลายครั้งจนอับอายกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้านล้วนไม่เป็นสุข เขาคล้ายกับตกลงไปในหม้อน้ำมันก็ไม่ปาน ที่จวนห้านั้นแม้แต่ไก่หรือสุนัขยังไม่อาจอยู่อย่างสงบ ไม่มีสักวันที่สงบเงียบได้เลย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงตัดสินใจตอบรับคำเชิญของโจวเจิ้นไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งของโจวเสาจิ่นที่จิงเฉิง
แต่เหอเฟิงผิงผู้เป็นภรรยาของเฉิงเก้าตั้งครรภ์แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงปรึกษากันว่า จะให้เหอเฟิงผิงสองสามีภรรยารั้งอยู่ที่บ้าน แล้วพาเฉิงเหมี่ยนสองสามีภรรยาและเฉิงอี้สองสามีภรรยาไปจิงเฉิงแทน
เหอเหมี่ยนจือนั้นเมื่อครบกำหนดวันไว้ทุกข์แล้วก็ได้รับการแนะนำจากเฉิงจิงให้ไปที่สำนักสารบรรณกลาง เพิ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งที่สำนักสารบรรณกลางเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีนี้นี่เอง เหอเฟิงผิงอยากไปเยี่ยมบิดามารดาที่จิงเฉิงยิ่งนัก
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้นั้นเป็นคนรูปลักษณ์ธรรมดาสามัญ นิสัยสุภาพอ่อนหวาน ทั้งยังเก่งเรื่องการปรับตัวและสำรวจสีหน้าผู้คน จึงเข้ากับเหอเฟิงผิงได้เป็นอย่างดี
เห็นสีหน้านางดูอิจฉาอยากไปด้วย จึงยิ้มพร้อมกับก้าวออกไปคล้องแขนเหอเฟิงผิงเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สะใภ้มีอะไรที่อยากให้ข้าเอากลับมาฝากหรือไม่ ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้โตอยู่ที่จิงเฉิง ต้องทราบธรรมเนียมปฏิบัติของจิงเฉิงมากเป็นแน่ ถ้าหากมีเวลา ช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้าจะได้ไม่ไปทำขายหน้าที่จิงเฉิง!”
เหอเฟิงผิงเองก็มีใจอยากจะเข้าหาสนิทสนมกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เช่นกัน รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “แม้นข้าจะโตอยู่ที่จิงเฉิง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเดินตลาดมากนัก ธรรมเนียมปฏิบัติในบ้านยังคงเป็นของแถบลุ่มน้ำ ธรรมเนียมปฏิบัติของจิงเฉิงจริงๆ เป็นอย่างไรนั้นข้าเองก็รู้น้อยมากเช่นกัน!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองบุตรสะใภ้ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนมแล้วก็ลอบพยักหน้า
ยังคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่เฉียบแหลม ให้อี้เกอเอ๋อร์แต่งงานกับกูที่สิบเจ็ด
นางสุภาพอ่อนโยนและยังมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความอดทนและไม่ขี้ขลาด เมื่อมีนางเข้ามาในบ้านแล้ว ช่วยปัดเป่าปัญหาความขัดแย้งได้จำนวนมาก
ยิ่งได้ใกล้ชิดนางฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจและชื่นชอบนางมากขึ้น
นางหมุนกายเดินไปที่เรือนหลัก ทว่าด้านหลังกลับมีเสียงของอู๋เป่าจางบุตรสะใภ้ของจวนห้าดังขึ้นว่า “น้องสะใภ้อี้ นี่พวกเจ้ากำลังจะไปร่วมงานแต่งของเสาจิ่นที่จิงเฉิงหรือ”